พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1491 กระดูกมังกรทั้งแปด
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ตัดสินใจว่าจะสำรวจสถานการณ์ของถ้ำมังกรก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ประการแรกเป็นเพราะเขายังยืนยันไม่ได้ว่าต้องโยนไข่หินลงในบ่อเพลิงมังกรหรือไม่ ประการต่อมาเป็นเพราะไม่สามารถยืนยันได้เต็มร้อยว่านี่คือบ่อเพลิงมังกร ถึงมาจะดูสอดคล้องกับชื่อ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ก็ตาม แต่ใครจะไปรู้ว่าที่นี่จะใช่บ่อเพลิงที่คล้ายมังกรเพลิงหรือเปล่า ถ้ามีอีกที่หนึ่งขึ้นจะมาจะทำอย่างไรล่ะ? ต่อให้จะโยนก็ต้องโยนให้ถูกที่ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เผ่าหงส์ก็ไหว้วานไว้ ถ้าประมาทเกินไปก็อาจจะทำผิดต่อมโนธรรมของตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงเก็บไข่หินสองใบเอาไว้อีก
พอเงยหน้ามองเพลิงมังกรแหวกว่ายที่อยู่สูงหลายจั้งอีกครั้ง เปลวเพลิงรูปหัวมังกรที่ดุร้ายและมีพลังอำนาจก็เปลี่ยนกลับไปเป็นมังกรเลื้อยอีกครั้ง เหมียวอี้ไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้เลยสักนิด ตอนนี้เขาหันมองไปทั่วทุกที่ แล้วเดินเข้าไปทางถ้ำที่อยู่ด้านซ้ายหลังเก้าอี้ทั้งแปดตัวตำหนักใหญ่
และในเพลิงมังกรแหวกว่ายนั้นก็ปรากฏดวงตาเพลิงสองดวงอันน่าสะพรึงให้เห็นรางๆ มองตามเหมียอวี้ที่เหลียวซ้ายแลขวาและหายไป
ถ้ำซ้ายขวาที่อยู่หลังตำหนักเป็นทางที่ใช้ร่วมกัน ในแผนที่ที่หลิงหลันให้เหมียวอี้มีเพียงสภาพภูมิประเทศอย่างคร่าวๆ นอกถ้ำมังกร ไม่ได้มีแผนที่ข้างในแบบละเอียด ดังนั้นเหมียวอี้จึงเดินมั่วอย่างเดียว
ที่นี่แตกต่างจากรังหงส์ ในถ้ำมังกรเหมือนกับเขาวงกตจริงๆ เส้นทางและทางแทบจะเหมือนกันหมด เหมียวอี้ที่เดินไปทางซ้ายทีขวาทีแทบจะมึนแล้ว หลงทางแล้ว ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของถ้ำมังกร
ชายผมแดงคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพังหันหน้ามาช้าๆ มองดูเหมียวอี้ที่เดินหน้าตึงเข้ามา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหมียวอี้ล่วงล้ำเข้ามาในสถานที่ฝึกตนของคนอื่น เวลาหลงทางก็มักเจอเผลอเดินผิดเข้าห้องคนอื่น แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เหมียวอี้ที่ทำหน้าตึงแต่ในใจรู้สึกอับอายต้องการจะขอยืมใช้ทาง เส้นทางภายในพาเขาอ้อมจนมึนหัวแล้วจริงๆ หาทางกลับตำหนักใหญ่ไม่เจอ รอให้ออกจากห้องคนอื่นได้แล้วค่อยว่ากันดีกว่า
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีปากและไม่รู้จักถามทาง ประเด็นคือถามชายผมแดงหรือไม่ก็หญิงผมแดงที่นิสัยป่าเถื่อนไปหลายคนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีใครสนใจเขาสักคน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ได้แต่มองเขาเงียบๆ หรือไม่ก็มองเขาแวบหนึ่งแล้วก็หลับตาเสียเลย แต่ละคนทำตัวราวกับโดนผนึกปากให้เป็นใบ้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าที่นี่มีหลิงหลงสักคนที่คุยด้วยได้เหมือนที่รังหงส์ เขาก็อาจจะลงมือกดดันถามไปตรงๆ เสียเลย เวรเอ๊ย น่าโมโหเกินไปแล้ว!
ภายใต้สายตาของชายผมแดง เหมียวอี้ออกจากถ้ำไปแล้ว พอโผล่ออกมาจากปากถ้ำห้องหนึ่ง อุณหภูมิสูงเดือดก็โผเข้ามาใส่หน้าอีกครั้ง
พอมายืนตรงไหล่เขา ก็เห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เหมียวอี้โล่งใจแล้ว เตรียมจะกลับไปที่ตำหนักใหญ่ ถึงอย่างไรพอเดินไปเดินมาก็ไม่เห็น ‘บ่อเพลิงมังกร’ แห่งที่สอง คาดว่าบ่อเพลิงบ่อนั้นในตำหนักใหญ่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าบ่อเพลิงมังกร
ขณะกำลังเดินไปทางประตูใหญ่ทิศตะวันออกของถ้ำมังกรได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็เงยหน้ามองยอดบนที่ปราณชั่วร้ายลอยโขมงขึ้นมาราวกับควันหนา เขาเอามือลูบคาง พร้อมตัดสินใจว่าจะไปดูก่อนว่าแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของที่นี่มีสภาพเป็นอย่างไร อยากจะดูว่าในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายซ่อนชองอะไรเอาไว้หรือเปล่า
เขามักจะทำเรื่องประเภทหาสมบัติอยู่บ่อยๆ ค่อนข้างชำนาญกับเรื่องสำรวจความลี้ลับแบบนี้
ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่เด็ดขาดพอสมควร วิ่งไปที่ยอดเขาอย่างรวดเร็วราวกับกระโดดข้ามกำแพง
พอมาถึงจุดที่มีปราณชั่วร้ายลอยขึ้นมาเหมือนปากภูเขาไฟ เหมียวอี้ก็มองประเมินรอบๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกาย จากนั้นกระโดดลงไปโดยตรง เป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครนำทางเลยจริงๆ เขาหาทางไปแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายไม่เจอ ในถ้ำมังกรมีสภาพเหมือนเขาวงกต ทั้งยังมีคนเยอะ เขาไม่สะดวกจะร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาซี้ซั้ว จึงปีนขึ้นมาใช้ทางลัดบนยอดเขาเสียเลย
พอดิ่งตรงลงมาทางหลักข้างล่างแล้วก็เจอทางแยกเยอะมาก เหมียวอี้รู้ว่านั่นคือช่องทางที่จะนำปราณชั่วร้ายไปยังห้องถ้ำต่างๆ ในจุดนี้มีความคล้ายคลึงกับรังหงส์ ส่วนทางที่เล็กจนคนมุดเข้าไม่ได้ เขาก็ย่อมไม่ฝืนมุดเข้าไป เดินไปที่ทางแยกหลักเท่านั้น ถ้าเดินไปทางทิศที่ปราณชั่วร้ายพ่นออกมาก็น่าจะไม่ผิดพลาด
พอใช้ความพยายามไปนิดหน่อย ในที่สุดก็กระโดดออกมาจากโพรงถ้ำแห้งหนึ่งแล้ว ถลันออกมาจากปราณชั่วร้ายที่เหมือนพายุหมุน มาเหยียบลงในวังใต้ดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ใหญ่กว่าโถงหลักของตำหนักใหญ่ถ้ำมังกรหลายเท่า
ยังไม่ทันจะตกถึงพื้น เขาก็ตะลึงค้างกับสภาพภายในวังใต้ดินแล้ว
เตียงหินขนาดใหญ่แปดหลังจัดวางเป็นรูปวงกลมในวังใต้ดิน บนเตียงทุกหลังมีปราณชั่วร้ายลอยโขมงขึ้นมา เป็นปราณสังหาร ปราณอาฆาต ปราณโหดเหี้ยม ปราณมรณะ แบ่งเป็นปราณชั่วร้ายเตียงละสองชนิด
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ตกตะลึงที่สุดก็คือ ด้านหลังของเตียงหินแปดหลังมีโครงกระดูกวางแปดกอง แต่ละเตียงมีโครงกระดูกกองเหมือนภูเขาเล็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโครงกระดูกของมังกรตัวใหญ่แปดตัว ส่วนบนสุดของกองก็มีหัวมังกรน่าเกลียดดุร้ายที่กลวงเปล่าจนน่าตกใจ ย่อมเป็นกระดูกแห้งเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางเตียงหินแปดหลังรู้สึกเหมือนตัวเองโดนจับจ้องจากสายตาที่อยู่ในโพรงถ้ำลึกเงียบแปดห้องนั้น ความรู้สึกลึกล้ำเงียบขรึมที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังปราณชั่วร้ายแปดสายราวกับยังมีชีวิตอยู่ ทำให้คนขนลุกขนพอง
หลังจากคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเบาๆ พลางมองไปโดยรอบ ในใจกำลังครุ่นคิดว่า อย่าบอกนะว่าเป็นโครงกระดูกของเทพมังกรทั้งแปดของเผ่ามังกร?
ถ้าดูจากจำนวนแล้ว ก็คล้ายๆ อยู่นะ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เขาเดินผ่านระหว่างเตียงหินออกไป เดินอ้อมโครงกระดูกแปดกองพร้อมมองประเมิน เขาพบว่าใต้โครงกระดูกทั้งแปดล้วนมีเกราะเกล็ดแผ่นใหญ่กองรวมกันอยู่ เกราะเกล็ดมีสีสันต่างกัน มีทั้งหมดแปดสี คาดว่าคงเป็นเกราะเกล็ดตอนที่โครงกระดูกมังกรทั้งแปดนี้ยังมีชีวิตอยู่
สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงหน้าโครงกระดูกร่างหนึ่ง เขาพบว่าเป็นกระดูกที่ขาวสะอาดดุจหยกทั้งยังเป็นมันระยับแวววาวด้วย แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมารางๆ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ธรรมดา เขาจึงยื่นมือไปคว้ากระดูกชิ้นหนึ่ง อยากจะทดสอบความแข็งแรงทนทานของกระดูกนี่สักหน่อย
ใช้แรงปกติไม่สามารถทำให้มันขยับได้ เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ทดลอง พบว่ากระดูกชิ้นนี้แข็งแรงทนทานไม่ธรรมดาจริงๆ เขาเองก็ไม่กล้าบีบแรงเกินไปจนกระดูกแตกเช่นกัน ถึงได้หยิบกระบี่ผลึกแดงออกมาแทงดูนิดหน่อย แข็งแรงมากจริงๆ พอใช้แรงน้อยก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทิ้งร่องรอยไว้บนนั้นไม่ได้เลย เขาจึงร่ายอิทธิฤทธิ์ออกแรงแทงทีละนิด
ตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นของเขา ใครจะคิดว่าแทงไม่กี่ครั้งกระดูกมังกรตรงหน้าก็มีเสียงดังกรอบแกรบแล้ว
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ค่อยๆ เงยหน้ามองขึ้นไป ดวงตาสองข้างเริ่มเบิกกว้าง กระดูกมังกรเอียงล้ม ถล่มลงมาเสียงดังโครม กระดูกที่สมบูรณ์แตกแยะพังถล่มลงมาทันที ล้มเฉยๆ ก็ยังไม่เท่าไร แต่ร่างกระดูกที่ล้มนั้นใหญ่เกินไป มีบางส่วนตกกระแทกใส่ปราณชั่วร้ายที่กำลังหมุนเหมือนพายุหมุน
เหมียวอี้ที่ได้แต่มองดูตาปริบๆ แทบจะประสาทเสียแล้ว เห็นเพียงพายุหมุนตีกวนจนกระดูกที่แตกกระจายปลิวว่อนออกไป กระดูกมังกรอีกเจ็ดร่างประสบภัยพิบัติทันที สภาพในที่เกิดเหตุยับเยินจนทนมองไม่ได้ เรียกได้ว่ากระดูกแตกกระจายอย่างต่อเนื่องกันจนเต็มพื้น
โชคดีที่เหมียวอี้ตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน เขายกสองมือขึ้นมา รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ผนึกพายุหมุนที่พุ่งออกมาจากโพรงถ้ำ ตัดขาดกระดูกที่กำลังจะถูกพัดม้วนออกมา ไม่อย่างนั้นถ้าพุ่งตกลงในหินหนืดด้านนอก เขากลัวว่าจะรวบรวมให้กระดูกมังกรที่ถล่มลงมากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ยาก
หัวมังกรขนาดใหญ่ใบหนึ่งตกกระแทกอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เขามังกรที่กำลังม้วนกลิ้งตกลงกับพื้นแล้ว
หลังจากกระดูกที่แตกกระจายร่วงลงพื้นหมดแล้ว เหมียวอี้ก็มองดูที่เกิดเหตุอันยุ่งเหยิง เขาเองก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน รู้สึกว่าไม่สมควรเลย! พลังของกระบี่ผลึกแดงเบาไปก็ทำให้กระดูกขยับไม่ได้ แต่ทำไมล้มกระจายง่ายขนาดนี้ล่ะ?
พอนึกถึงกระบี่ผลึกแดง เหมียวอี้ก็มองดูกระบี่วิเศษที่อยู่ในมือ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนดังเข้ามา ตอนนี้เข้ากลัวทันที รีบเก็บกระบี่วิเศษไว้ในกำไลเก็บสมบัติแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาจะอยากถลันตัวขึ้นหลังคาสูงแล้วหนีออกไปผ่านโพรงถ้ำด้านบน แต่ก็สายไปเสียแล้ว มีคนมาถึงแล้ว
ตรงประตูวังใต้ดิน มีชายผมแดงและหญิงผมแดงหลายคนปรากฏตัวแล้ว เป็นชายสี่หญิงสี่ เมื่อเห็นฉากตรงหน้า แต่ละคนก็เบิกตากว้าง ทำท่าทางเหมือนตะลึงค้าง
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองกระดูกที่แตกกระจายเรียกได้ว่าเก้อเขิน รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ทำ เพราะตรงนี้มีเขาอยู่แค่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เขาทำแล้วจะเป็นใครทำล่ะ ทำได้เพียงกุมหมัดขออภัยอย่างซื่อสัตย์ “ทุกท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะคิดหาทางทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิม!”
ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาก็ทำได้เพียงแสดงความจริงใจให้ถึงที่สุด
ชายหญิงแปดคนนั้นโมโหแล้ว แต่ละคนจ้องกดดันเหมียวอี้ราวกับดวงตาจะพ่นไฟได้ เหมือนดวงตากำลังจะพ่นไฟจริงๆ มีแสงของเปลวไฟกำลังกะพริบอยู่ในลูกตาของพวกเขาจริงๆ
แต่ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกวังใต้ดินก็มีลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง มีเสียงวูบๆ ดังแว่วมา
ชายหญิงแปดคนที่ประชิดเข้ามาระงับไฟโกรธ แสงไฟในดวงตาเลือนรางไป ไม่สนใจเหมียวอี้ที่หยิบทวนออกมาเตรียมป้องกันตัวอีก แต่ละคนก้มหน้าร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บกวาด เก็บกระดูกมังกรที่กระจายเต็มพื้นไว้ในกำไลเก็บสมบัติทั้งหมดแล้ว แม้แต่เศษเล็กเศษน้อยก็ไม่ปล่อยไปแม้แต่ชิ้นเดียว
ในระหว่างนี้ ในที่สุดเหมียวอี้ก็ค้นพบแล้วว่าทำไมกระดูกที่แข็งแรงทนทานขนาดนี้ถึงถล่มลงมาได้ง่ายๆ เป็นเพราะกระดูกมังกรพวกนั้นเดิมที่ก็ถูกเก็บมาประกอบรวมกันอยู่แล้ว เหมือนกระดูกจะเคยถูกโจมตีมาอย่างหนักหน่วง มีหลายจุดที่เต็มไปด้วยรอยแยก
ตามหลักการแล้ว ไม่มีเหตุผลที่คนทั่วไปจะลงมือกับกระดูกกองนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่ากระดูกพวกนี้จะเคยโดนโจมตีอย่างหนักมาก่อนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ไปขยับมัน มันก็ไม่น่าจะถล่มได้ง่ายขนาดนี้ กระดูกมังกรทั้งแปดไม่ได้มีพลังอิทธิฤทธิ์ต้านทานด้วย
ดังนั้นเหมียวอี้จึงแอบปาดเหงื่อในใจ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะไม่ระวังก่อหายนะแบบนี้ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกมังกรทั้งแปดใช่เทพมังกรทั้งแปดท่านหรือเปล่า ถ้าใช่จริงๆ เรื่องนี้ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว
หลังจากชายหญิงผมแดงทั้งแปดเก็บกระดูกเสร็จแล้ว ก็หันหน้าหนีเดินจากไปโดยไม่เหลียวมองเหมียวอี้สักนิดเลยด้วยซ้ำ ไม่พูดหรือทำอะไรให้เหมียวอี้ลำบากเลย
เก็บกวาดกระดูกมังกรทั้งแปดร่างไปแล้ว ในวังใต้ดินว่างเปล่าขึ้นเยอะเลย
เหมียวอี้ชำเลืองมองโพรงถ้ำบนเตียงหินทั้งแปดที่มีแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายพ่นออกมา ก่อนหน้านี้เตรียมจะลงไปหาสมบัติสักหน่อย แต่ตอนนี้พอได้ก่อหายนะแบบนี้แล้ว เขาก็หยุดความคิดนี้ไว้ชั่วคราว จากนั้นเงยหน้ามองโพรงถ้ำที่อยู่บนเพดาน แล้วก็มองดูประตูใหญ่ทางเข้าออกของวังใต้ดิน สุดท้ายเขาก็ยังเดินไปที่ประตูหลัก ไม่ได้ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อีก กะว่าจะอาศัยยืมทางลัดอีกครั้ง
หลังจากเดินขึ้นบันไดจนไปเจอเส้นทางข้างบนแล้ว เขาก็ปาดเหงื่อด้วยความอับอายอีกรอบ ที่แท้ทางออกอยู่ตรงทางแยกด้านหลังโถงหลักของตำหนักใหญ่นี่เอง เป็นเพราก่อนหน้านี้ตนไม่ได้เลือกไปทางแยก ทำเอาต้องปีนขึ้นไปบน ‘ปล่องควัน’ ราวกับเป็นโจร
พอวนกลับมาที่ตำหนักหลักที่มีเพลิงมังกรแหวกว่ายลุกโชน เหมียวอี้ก็เดินไปข้างบ่อเพลิงมังกรอีก แล้วหยิบไข่หินสองใบออกมา โยนเข้าไปในบ่อเพลิง ใครจะคิดล่ะว่าฝั่งรังหงส์ไม่บอกสถานการณ์ของบ่อเพลิงมังกรให้ชัดเจน ต่อให้ตนเข้าใจผิดไปก็จะมาโทษตนไม่ได้นะ
ทว่าทำท่าโยนไปหลายครั้ง แต่สุท้ายก็ยังไม่ได้ปล่อยให้หลุดมือไป สาเหตุเป็นเพราะทำแบบนี้รู้สึกว่าสะเพร่าเกินไป ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตรงนี้ใช่บ่อเพลิงมังกรหรือเปล่า เพื่อให้สะดวกต่อการฝึกตนของเขา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มอบ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ให้เขาได้ฝึกวิชาอย่างสงบใจตั้งห้าร้อยปี ตอนที่หลิงหลันมาส่งเขา นางก็เตรียมทางใต้ดินไว้ให้เขาอย่างเหมาะสมตลอดทาง แต่เขากลับทำเรื่องที่อีกฝ่ายไหว้วานอย่างลวกๆ แบบนี้ มันก็จะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!
เขาทำท่าจะโยนแต่ก็ไม่โยนซ้ำไปซ้ำมาอย่างลังเล ในที่สุดก็กดดันให้มังกรเพลิงเดือดเปลี่ยนเป็นหัวมังกรขนาดใหญ่อีกแล้ว ดวงตาเพลิงจ้องมองมาอย่างเย็นเยียบ ราวกับรู้สึกทนไม่ไหวที่โดนเหมียวอี้ปั่นหัวเล่น
…………………………