พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1493 ไอ้ลูกผสมนอกคอกตัวนี้มาจากไหน
ประเด็นนี้เหมือนจะเหนือจินตนาการของเหมียวอี้ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชำรุดรวมกันเหรอ?
เขาไม่มีชุดความคิดในด้านนี้ อย่าว่าแต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อะไรรวมตัวกันเลย ต่อให้เป็นระดับสำแดงฤทธิ์ก็เป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา เรื่องระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่เขาเคยฟังจากตำนานมาบ้างเช่นกัน นั่นล้วนเป็นคนยอดเยี่ยมในสมัยก่อนอันเนิ่นนาน เหมือนจะไม่มีใครรอดมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าวันนี้ตัวเองจะได้เห็นการรวมตัวกันของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชำรุด
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมกันได้ด้วยเหรอ ล้อเล่นแล้วมั้ง?” เขาสงสัยอยู่บ้างนิดหน่อย
“ถ้าอยากจะรวมก็แน่นอนว่าไม่ง่าย นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสนใจในตอนนี้เช่นกัน” หัวมังกรเพลิงกล่าว
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก เหมียวอี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว มิน่าล่ะอีกฝ่ายถึงมีเสียงของคนหลายคนรวมกัน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เขาถามหยั่งเชิงอีกว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าโดนพระปีศาจหนานโปสังหารเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ! พระปีศาจหนานโปอาศัยว่าตัวเองเป็นคนรุ่นหลังที่ฝีมือดีแล้วหยิ่งผยอง เป้นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าตัดด้านที่ใจคดของเขาออกไป ก็นับว่าเป็นคนคนมีพรสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ พวกเราทั้งแปดตายด้วยน้ำมือเขาก็ไม่นับว่าไร้ความยุติธรรม คนแบบนี้เป็นปาฏิหาริย์ที่เลียนแบบได้ยาก ไม่มีทางปรากฏขึ้นมาบ่อยๆ ได้ยินว่าตอนหลังก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีอะไร คนในยุคนั้นเห็นเขาเป็นบทเรียน ไม่อาจทำผิดอย่างกำเริบเสิบสาน!”
เหมียวอี้จ้องสภาพหัวมังกรเพลิงของอีกฝ่าย พร้อมถามด้วยความประหลาดใจ “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าอยู่ในสภาพเปลวเพลิงเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงเหมือนจะไม่อยากตอบคำถามนี้ ดวงตาเพลิงที่น่ากวาดกลัวจ้องประเมินเฮยทั่น
หลังจากเหมียวอี้สังเกตได้ก็ตกใจมาก ในหัวพลันมีเรื่องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปที่อยากจะแย่งร่างคนอื่นเพื่อเกิดใหม่ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ตามที่ข้ารู้มา วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถแย่งร่างเพื่อเกิดใหม่ได้ เจ้าจะไม่อยากทดลองเชียวเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชำรุดจนยับเยิน แค่รวมกันเพื่อต่อชีวิตก็ดันทุรังแล้ว จะแย่งร่างเพื่อเกิดใหม่ได้ยังไงกัน? ต่อให้มีโอกาสแบบนั้น แค่เผ่ามังกรก็ไม่ทำเรื่องที่ผิดกฎฟ้าอย่างนั้นหรอก”
งั้นเหรอ? เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า ได้แต่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปอีก จึงหันตัวไปกวักมือเรียกเฮยทั่น “พวกเราไปกันเถอะ!”
หัวมังกรเพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ อีกว่า “เจ้ามาจากรังหงส์ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ อย่าบอกนะว่ามาดูเฉยๆ แล้วก็จะไป?”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วหันตัวมาถามอย่างสงสัย “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ามาจากรังหงส์?”
“เพราะเรื่องที่รังหงส์ไหว้วานให้เจ้าทำ เจ้ายังทำไม่เสร็จเลยนี่” หัวมังกรเพลิงตอบ
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก พลิกมือหยิบไข่หินสองใบออกมา “เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือเปล่า?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ในเมื่อของอยู่ในมือเจ้าแล้ว และเจ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว ข้าคิดว่าทางนั้นคงจะบอกเจ้าแล้วว่าให้เจ้าทำของสิ่งนี้ให้บ่อเพลิงมังกรที่เป็นที่อยู่ของข้า”
เหมียวอี้มองบ่อเพลงิที่อยู่ด้านล่างของเขาอย่างอึ้งๆ ถามว่า “เจ้าคือบ่อเพลิงมังกรเหรอ?”
“ไม่เหมือนเชียวเหรอ? ของสองชิ้นนั้นเก็บไว้ที่เจ้าก็ไม่มีประโยชน์ โยนเข้ามาเถอะ” หัวมังกรเพลิงบอกเขา
เหมียวอี้เงียบไปประเดี๋ยวเดียว จัดระเบียบความคิดนิดหน่อย อีกฝ่ายพูดชัดเจนขนาดนี้ คงจะไม่ได้หลอกลวงหรอก ว่ากันตามจริง…เขาถามว่า “เผ่าหงส์รู้หรือเปล่าว่าเจ้ายังมีตัวตนอยู่?”
“แน่นอนว่ารู้ ไม่อย่างนั้นจะส่งเจ้ามาทำไมล่ะ” หัวมังกรเพลิงตอบ
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว มิน่าล่ะถึงพูดไม่ชัดเจน เลยว่ามาถึงที่นี่แล้วจะเข้าใจเอง ที่แท้ก็จะนำสิ่งนี้มาให้มันนี่เอง เขาจึงชูไข่สองใบในมือพร้อมถามว่า “แล้วหินสองก้อนนื้ออะไรกันแน่?”
หัวมังกรเพลิงพลันถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้านับว่าดูออกแล้ว สงสัยจะมีอีกหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้จริงๆ แล้วอาจารย์เจ้าล่ะ อาจารย์เจ้าไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยเหรอ?”
“อาจารย์ช้าน่ะเหรอ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจังทันที เงียบงันไปนานมาก อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่มีอาจารย์”
“ตลกแล้ว! อย่าบอกนะว่าเจ้ามีความสามารถนี้เองโดยไม่ผ่านอาจารย์? ถ้าเจ้าไม่มีอำนาจภูมิหลังของอาจารย์เจ้าปูทางให้ อาศัยแค่วรยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ จะมีสิทธิ์เข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่โดนตำหนักสวรรค์ผนึกปิดไว้เหรอ? มีหรือที่ข้าจะโผล่มาเปลืองคำพูดกับเจ้าแบบนี้ เจ้าคิดว่าไม่ว่าใครก็เจอข้าได้งั้นเหรอ?” หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม
เหมียวอี้เผยสีหน้ามืดหม่นเย็นชา พร้อมบอกว่า “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของข้าหรือใคร บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่ควรรู้เยอะเกินไป ถ้าเจ้ายินดีจะบอก ข้าจะอยากจะถามเจ้าเหมือนกัน เจ้าคิดว่าอาจารย์ของข้าเป็นใครล่ะ?”
“…” หัวมังกรเพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!” หลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเป็นถามว่า “เจ้าอยากจะมาฝึกตนที่นี่ใช่มั้ย?”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความกังวลด้านความปลอดภัยของเหมียวอี้ก็หายไปอย่างน่าประหลาด “ข้าเตรียมจะทำแบบนี้จริงๆ จะให้ความสะดวกเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงบอกว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าสะดวกมันก็สะดวก ถ้าเจ้าคิดว่าไม่สะดวกก็ไม่สะดวก ไม่มีใครไล่เจ้า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ”
“ให้ข้าจัดการอะไร?” เหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย จู่ๆ ก็ใช้สองมือโยน ไข่หินสองใบถูกโยนออกไปแล้ว ทยอยตกหายไปในบ่อเพลิงแล้ว “มิน่าล่ะตอนที่ข้ามา วิญญาณอัคคีที่เฝ้าอยู่ข้างนอกถึงมีท่าทีขัดขวางข้าเลยสักนิด สงสัยที่นี่ใครอยากมาก็มาก็ได้ ใครอยากไปก็ไปได้ ใจกว้างเหมือนกันนะ”
หัวมังกรเพลิงบอกว่า “เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าเดินมาจากทะเลสาบหินหนืดแน่นอน ถ้าเหาะข้ามมา จะต้องมีคนขัดขวางแน่”
“เหาะมาจากฟ้าคือวิญญาณชั่วร้าย จะมีคนขัดขวางข้าก็เข้าใจ แต่ทำไมเดินมาจากทะเลสาบหินหนืดแล้วไม่ขัดขวาง?” เหมียวอี้แปลกใจ
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เพราะคนที่เดินมาจากทะเลสาบหินหนืดได้ ก็แปลว่าเข้าใจวิชาการควบคุมไฟ ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไว้แล้ว คนที่เข้ามาได้จะต้องเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ในเมื่อตำหนักสวรรค์จงใจส่งคนที่รู้จักวิชาควบคุมไฟมาตรวจดู ที่นี่จำเป็นต้องขัดขวางด้วยเหรอ? หรืออยากจะหาเรื่องเผ่ามังกรที่อยู่ในอุปการะของตำหนักสวรรค์ล่ะ?”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนแรกเจ้าไม่รู้ว่าข้ามาจากรังหงส์ จนกระทั่งข้าหยิบสองสิ่งนี่ออกมา ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อาจจะไม่ปรากฏตัวเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ต่อให้เจ้านำของสองสิ่งนั้นออกมา ข้าก็อาจจะไม่ปรากฏตัวให้เจ้าเห็น เป็นเพราะเจ้าลังเลอ้อยอิ่งไม่ยอมนำออกมาเสียที ทั้งยังกล้านำวิญญาณชั่วร้ายเข้ามาด้วยอีก ข้าถึงได้ปรากฏตัวเพราะความจนใจไงล่ะ”
พอนึกถึงภาพที่ตัวเองลังเลก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็ปาดเหงื่ออย่างอับอาย แต่พอพูดถึงเรื่องวิญญาณชั่วร้าย คำตอบที่เขาไม่ได้จากรังหงส์ คาดว่าเจ้าหมอนี่คงจะรู้ จึงถามว่า “แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาจากไหน?”
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าแล้ว จำเป็นต้องให้ข้าพูดซ้ำอีกรอบด้วยเหรอ?” หัวมังกรเพลิงถาม
“บอกข้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้สงสัย “เคยเหรอ? ข้าคงไม่ได้ความจำแย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าความจำไม่ดีหรอก แต่เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจต่างหาก! ข้าบอกแล้ว ของพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านลบของหัวใจคน”
“ผู้น้อยยังฟังไม่เข้าใจ” เหมียวอี้งงงวย
หัวมังกรเพลิงขี้ค้รานจะสนใจเขา เงาแสงไฟวับวาบหายไปแล้ว เพลิงเดือดกลายสภาพเป็นมังกรเลื้อยอีกรอบ
เหมียวอี้เร่งฝีเท้าเดินไปข้างบ่อเพลิงมังกร “ผู้อาวุโส หวังว่าจะช่วยคลายปริศนาให้ผู้น้อย! ผู้อาวุโส ท่านมีธุระเหรอ?”
ในตำหนักใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ แสงไฟก็สั่นไหว หัวมังกรเพลิงปรกาฏอีกครั้ง จ้องมองเหมียวอี้ไปได้สักพัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเริ่มคลายความสงสัยให้เหมียวอี้อย่างละเอียด
อีกฝ่ายถามก่อนว่า “เจ้าน่าจะรู้จักลูกแก้วพลังปรารถนาใช่มั้ย?”
“ก็ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว”
“ในลูกแก้วพลังปรารถนาแฝงปัจจัยด้านลบอะไรบาง?”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามี ชอบ โกรธ เศร้า กลัว รัก รังเกียจ ความปรารถนา”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามีทั้งหมดสิบสามอย่าง เจ้าบอกมาแค่เจ็ดอย่าง ไม่รู้สึกเหรอว่าขาดอะไรไป?”
“ท่านหมายความว่า สังหาร โหดเหี้ยม ชั่วร้าย อาฆาต มรณะก็อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเหมือนกันเหรอ?”
“ดูท่าแล้วเจ้าคงจะไม่ได้โง่เกินไป”
“งั้นก็ยังขาดอีกสองอย่างนะ?”
“ยังมี ‘เมตตา’ กับ ‘กรุณา’ เพียงแต่สองอย่างนี้คือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เป็นนามธรรม มีอยู่แต่สัมผัสไม่ได้เท่านั้นเอง แต่กลับเป็นสองอย่างที่สำคัญที่สุดในการรักษาสภาพต่างๆ ในชีวิตมนุษย์ให้สมดุล”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แล้วทำไมปราณสังหาร ปราณเหี้ยมโหด ปราณอาฆาตและปราณมรณะถึงไม่มีอยู่ในลูกแก้วพลังปรารถนาล่ะ ทำไมมารวมอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ซะแล้ว?”
“เพราะสี่อย่างนั้นคือปราณชั่วร้ายที่ดุร้ายมาก มนุษย์ในโลกต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติสุดๆ เท่านั้นถึงจะกลั่นกรองออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่นปราณสังหาร ปราณมรณะ ปราณสังหารที่เจ้าเข้าใจได้ดีที่สุด มีเพียงตอนเข่นฆ่าเท่านั้นถึงจะปรากฏให้เห็นได้ง่ายๆ ส่วนปราณมรณะจะปรากฏตอนใกล้จะตายเท่านั้น”
“แล้วสิ่งนี้เกี่ยวอะไรกับการปรากฏขึ้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
“ที่จริงแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นกรวยอันหนึ่งในดาราจักร จะเรียกว่าเป็นจุดสมดุลจุดหนึ่งในดาราจักรก็ได้ ปราณชั่วร้ายทั้งสี่มีแรงปะทะเยอะเกินไป ก็จะถูกกรองเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์”
“แล้วทำไมเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรถึงไม่กลัวปราณชั่วร้ายนี่ล่ะ กลับดูดซับมาเพิ่มวรยุทธ์ให้ตัวเองด้วยซ้ำ?”
“จุดประสงค์ที่ให้เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรมาควบคุมแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่เพื่อให้เพิ่มพลังของตัวเองอย่างเดียวหรอกนะ เผ่ามังกรดูดซับปราณชั่วร้ายแล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็น ‘เมตตา’ ส่วนเผ่าหงส์ก็ดูดซับปราณชั่วร้ายแล้วเปลี่ยนให้กลาย ‘กรุณา’ ถ้าเจ้าใส่ใจ ก็จะพบว่าหลังจากเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรดูดซับปราณชั่วร้ายแล้วก็จะเกิดกลิ่นหอมอัศจรรย์อยู่ท่ามกลางความลี้ลับ มีประโยชน์ในการสร้างสมดุลให้สรรพสิ่งในโลก นี่คือพันธกิจโดยธรรมชาติของเผ่าหงส์กับเผ่ามังกร นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตั้งแต่สมัยโบราณคนในโลกถึงมองว่าเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรเป็นสัญลักษณ์มงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย แน่นอน การที่พวกเราทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย มันทั้งเกิดประโยชน์ต่อการฝึกตน และทำให้พวกเราได้สะสมบุญกุศลของตัวเองด้วย”
“บุญกุศล? บุญกุศลอะไร?”
“ดาราจักรกว้างใหญ่ไฟศาล มิมีสิ่งมหัศจรรย์ใดที่ไม่มี เผ่าหงส์เผ่ามังกรฝึกตนต่างจากนักพรตคนอื่นๆ ไม่มีการฝึกตนหรือพลังอิทธิฤทธิ์อะไรนั่นหรอก ยิ่งย่อยปราณชั่วร้ายได้มาก บุญกุศลที่สะสมไว้ก็ยิ่งมาก เมื่อบุญกุศลสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถพูดภาษาคนได้ สามารถกลายร่างเป็นคนได้ สำหรับเผ่ามังกร ขอเพียงสะสมบุญกุศลให้เพียงพอ ก็ถึงขั้นได้รับพลังอภินิการอย่างที่คาดคิดไม่ถึงเลย ส่วนเผ่าหงส์ก็ไม่มีวันดับสูญ เมื่อประสบเคราะห์ก็เกิดใหม่ ถ้าทั้งสองเผ่าไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายสะสมบุญกุศลนานๆ เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรที่โดนกักขังไว้ที่ตำหนักสวรรค์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ขาดความสามารถในการกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ทำได้เพียงอาศัยกำลังรับใช้คนอื่นเหมือนวัวเหมือนม้า”
พอได้ยินคำพูดแบบนี้ เหมียวอี้กับเฮยทั่นก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก เหมียวอี้หันกลับมาถามหยั่งเชิงว่า “เผ่ามังกรต้องย่อยปราณชั่วร้ายมากขนาดไหนถึงจะพูดภาษาคนได้?”
“นี่คือการตอบแทนของบุญกุศลแบบพื้นฐานที่สุด ย่อยปราณชั่วร้ายนิดหน่อยก็พูดได้แล้ว” หัวมังกรเพลิงตอบ
เฮยทั่นที่เงียบมาตลอดรู้สึกบันเทิงแล้ว ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะปากมาก มันสั่นหัวส่ายหางพูดอย่างโอ้อวดว่า “โคตรบิดาเจ้าเถอะ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! ที่แท้ข้าก็เป็นเผ่ามังกรเหมือนกันนี่นา! ที่แท้ข้าก็ประเมินตัวเองต่ำมาตลอด”
หัวมังกรเพลิงพลันใช้ดวงตาเพลิงพลันจ้องไปที่เฮยทั่น แล้วตะคอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไอ้ลูกผสมนอกคอกตัวนี้มาจากไหน! บังอาจมาเรียกตัวเองว่าเผ่ามังกรอย่างไร้ยางอาย เจ้าจำไว้นะ เจ้ามันก็แค่ลูกผสมนอกคอกตัวหนึ่ง เป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง!”
…………………………