พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1494 สมบัติที่ซ่อนในเผ่ามังกร
น้ำเสียงของประโยคนี้รุนแรงราวกับฟ้าผ่าจริงๆ!
เหมียวอี้งงนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าทำไม่วิญญาณชำรุดถึงอารมณ์เดือดได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังพูดจาเหมือนตัวเองสูงส่งและเหยียดยามทุกสิ่งมาตลอดอยู่เลย แค่คำพูดประโยคเดียวของเฮยทั่นก็โดนยั่วยุขนาดนี้แล้วเหรอ? แค่ไม่ยอมรับก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องด่ากันด้วยรึไง? เสียอาการลืมมาดของเทพมังกรหมดแล้ว
เหมียวอี้มองไปที่เฮยทั่น หึ! กลับเป็นโจรอ้วนของบ้านเรามียังวางมาด!
เฮยทั่นยังคงสั่นหัวส่ายหาง หันซ้ายมองตัวเอง หันขวามองตัวเอง ทำท่าทางเหมือนภาคภูมิใจและยินดีปรีดามาก เหมือนไม่เก็บคำพูดมาใส่ใจเลย กลับถามเหมียวอี้ว่า “เหมือนเขาจะกำลังโกรธข้ามากนะ ลูกผสมนอกคอกหมายความว่ายังไงเหรอ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก สงสัยเจ้าตัวนี้จะไม่รู้ว่าลูกผสมนอกคอกหมายความว่าอะไร จึงถามว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินคนพูดว่า ‘ลูกผสมนอกคอก’ เหรอ?”
“ไม่เคย! เป็นคำที่ใช้ด่าคนเหรอ? ดูจากท่าทางโมโหของเขา นั่นกำลังด่าข้าเหรอ?” เฮยทั่นถาม
“ช่างเถอะ!” เหมียวอี้ไม่ให้มันคิดเล็กคิดน้อย เพราะสู้ไม่นะอีกฝ่าย ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี ชายชราตรีไม่ยอมเสียเปรียบเพราะเรื่องตรงหน้าหรอก
ใครจะคิดล่ะ ฝั่งนี้อุตส่าห์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่หัวมังกรเพลิงกลับยังไม่หายโกรธ อธิบายให้เฮยทั่นฟังตรงๆ ด้วยความเดือดดาลว่า “ลูกผสมนอกคอกก็คือไอ้ตัวที่มันเกิดมาจากพ่อแม่มั่วกันไง ไอ้ตัวที่เกิดจากการผสมต่างสายพันธุ์ สภาพอย่างเจ้าคู่ควรจะเรียกตัวเองว่าเผ่ามังกรเหรอ?”
เฮยทั่นมองตัวเองอย่างอึ้งๆ ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าหมายความว่าข้าเกิดขึ้นมาจากมังกรผสมพันธุ์กับอาชาสวรรค์สินะ?”
เหมียวอี้เข้าใจแล้วเช่นกัน สงสัยวิญญาณมังกรนี่จะโมโหที่เฮยทั่นทำให้สายเลือดของเผ่ามังกรปนเปื้อน เขารู้ว่าเฮยทั่นก็ไม่ได้นิสัยดีอะไร กลัวว่าเฮยทั่นจะข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้วก่อเรื่องขึ้น จึงเกลี้ยกล่อมอีกว่า “โจรอ้วน พอแล้ว”
คนเราก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเรื่องไม่เดือดร้อนมาถึงตัวก็ทำนิ่งเฉยเป็นผู้ชมอยู่ข้างๆ ได้ แต่กลับไม่คิดดูเสียบ้างว่าเหมียวอี้เองก็เป็นคนที่โดนคนอื่นเกลี้ยกล่อมบ่อยเหมือนกัน
เฮยทั่นยังคงสั่นหัวส่ายหางอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นว่ามันจะโมโหเลยสักนิด บอกอย่างไม่ใส่ใจว่า “เขาไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย เดิมทีข้าก็ลูกผสมนอกคอกอยู่แล้ว นี่คงไม่ใช่คำด่าหรอกมั้ง? ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อย ถ้าข้าไม่ถูกนับว่าเป็นเผ่ามังกร งั้นเขาก็ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าเผ่ามังกรยิ่งกว่าอีก”
เหมียวอี้กลอกตามองบน แอบด่ามันว่าปัญญาอ่อน อีกฝ่ายเป็นเทพมังกรนะ ถือเป็นระดับบรรพบุรุษของเผ่ามังกรเลย ถ้าอีกฝ่ายไม่นับว่าเป็นเผ่ามังกร แล้วจะนับว่าใครเป็นเผ่ามังกรได้อีกล่ะ?
หัวมังกรเพลิงหัวเราะอย่างโมโห “สัตว์เลื้อยคลายก็คือสัตว์เลื้อยคลาย ขนาดตัวเองยังยอมรับแล้วว่าเป็นลูกผสมนอกคอก ข้าไม่ถือสาเจ้าก็แล้วกัน”
เฮยทั่นจึงถามเหมือนแปลกใจมากว่า “ข้ามีอะไรให้เจ้าถือสา? ข้าเป็นแค่ลูกผสมนอกคอกสองสายพันธุ์ แต่เจ้าเป็นลูกผสมนอกคอกที่รวมกันตั้งแปดคน ผสมกันมั่วยิ่งกว่าข้าอีก ถ้าถือสาข้าต่อไปจะไม่เข้าตัวเองเหรอ?” ฟังจากน้ำเสียงของมันแล้ว เหมือนจะภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ที่ข้าไม่ถือสาเจ้าก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว’
“…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้างทันที มองไปที่เฮยทั่นด้วยความตกใจถึงขีดสุด มิน่าล่ะเจ้าตัวนี้ถึงไม่เห็นด้วยตามที่อีกฝ่ายพูด สงสัยมันจะมีวิธีการทำความเข้าใจแบบแปลกพิลึกแบบนี้นี่เอง การทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ลูกผสมนอกคอก’ แบบตื้นๆ ก็มีข้อดีของมันเหมือนกัน
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” หัวมังกรเพลิงเจิ้นถามอย่างโมโห
“พอแล้ว ถือว่าข้าผิดไปแล้ว ถึงยังไงข้าก็สู้ไม่ชนะเจ้า” เฮยทั่นสะบัดหาง ยอมแพ้แต่โดยดี วางมาดเหมือนชายชาตรีที่รู้ว่าเสียเปรียบเลยต้องยอมถอย มันถึงได้ยอมแพ้ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเถียงไม่ชนะเลย
ปาดเหงื่อ! ในที่สุดเหมียวอี้ก็พบว่าการไม่รู้คือความสุขอย่างหนึ่ง เขาสังเกตเห็นว่าเปลวไฟในหัวมังกรเพลิงสั่นไหวอย่างรุนแรง รู้ว่าความไร้เหตุผลของเฮยทั่นทำให้อีกฝ่ายโมโหแล้ว
ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยพอใจหัวมังกรเพลิงนิดหน่อยเช่นกัน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เริ่มด่าก่อน แต่ต่อให้ไม่โดนแบบนี้ เขาก็ยังเข้าข้างเฮยทั่นอยู่ดี เขารีบไปบังหน้าเฮยทั่น แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสดูแคลนมัน ก็ไม่จำเป็นต้องไปถือสาสัตว์ธรรมดาอย่างมันหรอกขอรับ”
“ข้าถือสาสัตว์ธรรมดาอย่างมันเหรอ? แค่สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง มันยังไม่คู่ควรที่จะเป็นด้วยซ้ำ?” หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม แล้วเงาร่างก็กะพริบหายไป เพลิงเดือดบนบ่อเพลิงกลับกลายเป็นรูปมังกรเลื้อยอีกครั้ง
เหมียวอี้โล่งอก แล้วหันกลับมากวักมือเรียกเฮยทั่น “ตามข้ามา”
เฮยทั่นเดินวางมาดตามหลังเหมียวอี้ไป เดินไปที่ตำหนักหลัง ตอนที่กำลังจะเลี้ยว มันก็หันกลับมาด่าอีกว่า “เจ้าสิ่งของไร้กระดูก!”
พรึ่บ! เพลิงเดือดในบ่อเพลิงมังกรเปลี่ยนรูปทันที หัวมังกรเพลิงปรากฏอีกครั้ง จ้องมาทางนี้พร้อมตะโกนว่า “เจ้าสัตว์เลื้อยคลาน เจ้าว่าอะไรนะ?”
เฮยทั่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร มันรีบเลี้ยวและวิ่งเข้าไปข้างในแล้ว
เหลือเพียงเหมียวอี้ที่ยืนอึ้งพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้น จากนั้นเหมียวอี้ก็รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ผู้อาวุโส มีบางเรื่องที่ข้ารู้สึกแปลก ข้าพบว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้สะสมทรัพย์สินไว้เยอะมาก แต่กลับไม่เห็นว่าจะมีของวิเศษสักเท่าไรเลย อย่าบอกนะว่านักพรตที่บุกเข้ามาในนี้ไม่มีใครพกของวิเศษมาเลย?”
หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม “สงสัยเจ้าจะบังเอิญเจอวิญญาณชั่วร้ายที่มีสมบัติติดตัวเยอะสินะ!”
“ไม่ผิดหรอก เจอพวกวิญญาณชั่วร้ายที่หนีการปราบปรามของตำหนักสวรรค์ได้สองครั้ง” เหมียวอี้กล่าว
“หรือเจ้าคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วจะรอดจากการปราบปรามของเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรได้จริงๆ?” หัวมังกรเพลิงถาม
เหมียวอี้ตะลึงงัน เดิมทีเขาแค่จะถามเล่นๆ มีจุดประสงค์เพื่อให้อีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจจากเฮยทั่น นึกไม่ถึงว่าจะถามจนได้ความจริงๆ พอครุ่นคิดนิดหน่อยก็พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “อย่าบอกนะว่า เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรจงใจปล่อยพวกมันไป?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เจ้าเดาถูกแล้ว! หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ตำหนักสวรรค์ลงมือกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในปีนั้นก็คือ สมบัติที่พวกนักพรตทิ้งไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ในหลายปีที่ผ่านมา ตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้ง ก็จำเป็นต้องรีบใช้ทรัพย์สินจำนวนมากเพื่อวางโครงให้แข็งแรงมั่นคง หลังจากลงมือกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว พวกเขาก็กวาดเอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากของเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรออกไป ทว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมบัติในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้น เพราะทรัพย์สมบัติพวกนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์กับเผ่าหงส์และเผ่ามังกรในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มากนัก พวกสมบัติมากมายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ปกติแล้วเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรก็ไม่ได้ตั้งใจไปเก็บรวบรวมเลย แต่หลังจากมีวิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้น พวกเราก็ย่อมเก็บรวบรวมไว้ใช้ประโยชน์แอง ในเมื่อรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าตำหนักสวรรค์จะปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย เจ้าคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้ของพวกนั้นตกไปอยู่ในมือตำหนักสวรรค์อีกเหรอ?”
เหมียวอี้เข้าใจได้ในชั่วพริบตาเดียว “ดังนั้นพวกเจ้าก็เลยจงใจปล่อยวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นไปบางส่วน?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรถูกกักกันโดยตำหนักสวรรค์แล้ว ถ้ำมังกรกับรังหงส์ถูกตำหนักสวรรค์ตัดกำลังให้อ่อนแอลงด้วย ไม่มีปัจจัยจะไปลงมือกับวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ทำได้เพียงปล่อยให้ยอดฝีมือวิญญาณชั่วร้ายลงมือกับวิญญาณชั่วร้ายที่เหลือ ใช้วิธีให้ปลาใหญ่กินปลาเล็กเพื่อรวบรวมทรัพย์สมบัติที่กระจายอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนที่ตำหนักสวรรค์ปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย เพื่อที่จะไม่ให้ทรัพย์สมบัติพวกนั้นตกไปอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ให้ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอีก พวกเราย่อมต้องปล่อยพวกมันไป”
เหมียวอี้พยักหน้า “ของวิเศษล่ะ? อย่าบอกนะว่าในบรรดาทรัพย์สมบัติที่วิญญาณชั่วร้ายเก็บได้ไม่มีของวิเศษอยู่เลย?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ของวิเศษก็ย่อมมีอยู่แล้ว แต่กำลังของถ้ำมังกรและรังหงส์กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถ้าให้วิญญาณชั่วร้ายที่มีกำลังแข็งแกร่งกุมของวิเศษไว้เยอะเกินไป เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะต้านทานความกระเหี้ยนกระหือรือที่วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นมีต่อแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายไหวเหรอ? หนึ่งในเงื่อนไขที่ปล่อยวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นไป ก็เพราะพวกเขาต้องการของวิเศษที่รวบรวมได้ทั้งหมด ถ้าพวกมันอยากจะเข้ามาในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ก็สามารถใช้วิธีการใดก็ได้ แต่ห้ามใช้ของวิเศษ ทางนี้ขู่พวกมันเอาไว้ ว่าจะแจ้งให้ตำหนักสวรรค์มาปราบพวกมันทันที พวกมันจำเป็นต้องเชื่อฟัง”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย “หมายความว่าของวิเศษพวกนั้นอยู่ในมือพวกเจ้าหมดเลยเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เปล่า! พวกเราไม่ให้พวกมันใช้ของวิเศษ พวกมันก็ย่อมไม่ให้พวกเราใช้ของวิเศษเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะมีโอกาสเข้ามาในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายได้ยังไง พวกมันไม่ได้โง่อย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ ไม่ส่งส่งสมบัติมาไว้ในมือพวกเราจนสร้างปัญหาให้พวกมันเองหรอก นี่ก็คือเงื่อนไขที่พวกมันตอบตกลง ทะเลสาบหินหนืดก็คือสถานที่ที่สมบัติจมอยู่ในนั้น ของวิเศษที่พวกมันเก็บรวบรวมได้ถูกโยนลงในทะเลสาบหินหนืดต่อหน้าทั้งสองฝ่ายและถูกทำลายทิ้งต่อหน้าทุกคนแล้ว”
เหมียวอี้ถอนหายใจทันที “แบบนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
“ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ถ้าศักยภาพไม่แข็งแกร่ง อาศัยแค่ของวิเศษพวกนั้นก็พลิกสถานการณ์ไม่ได้อยู่ ถึงที่สุดแล้วนั่นก็คือของช่วยเสริม ต้านทานการโจมตีหมู่ของทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ว่าใต้หล้าเป็นของใคร แน่นอน ถึงแม้จะไม่มีสมบัติล้ำค่าแล้ว แต่ใต้ทะเลสาบหินหนืดกลับมีวัตถุดิบหลอมสมบัติอยู่ไม่น้อยเลย เห็นแก่ที่เจ้าทำเรื่องที่เผ่าหงส์ไหว้วานสำเร็จ ในภายหลังถ้าเจ้าอยากได้ ก็หยิบไปได้เลย ถือว่าเป็นการตอบแทนเจ้าก็แล้วกัน!” หัวมังกรเพลิงกล่าว
เหมียวอี้ตาลุกวาวอีกครั้ง ใช่แล้ว! แค่สมบัติชิ้นเดียวก็ใช้ผลึกสกัดไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธหนึ่งชิ้นกับเกราะรบหนึ่งชิ้นจะเทียบติด แค่คิดก็จินตนาการออกแล้วว่ามีอะไรอยู่จมอยู่ใต้ทะเลสาบหิน เขาฮึกเหิมทันที “ในเมื่อผู้อาวุโสในกว้างขนาดนี้ เช่นนั้นถ้าผู้น้อยปฏิเสธก็จะเป็นการแสดงความไม่เคารพแล้ว”
“อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก รอให้เจ้ามีวิธีการนำของพวกนั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” หัวมังกรเพลิงกล่าว
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ไม่ผิดหรอก ตอนจะเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ต้องถูกทหารยามค้นตัว ถ้าผ่านด่านของทหารยามไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำออกไปได้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าโดนตำหนักสวรรค์จับได้ เกรงว่าจากที่ไม่มีความผิดจะกลายเป็นมีความผิด เดิมทีราษฎรไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด!
พอเป็นแบบนี้ เขาก็เริ่มปวดหัวนิดหน่อยแล้ว ไม่ใช่แค่วัตถุดิบหลอมสมบัติที่จมอยู่ในทะเลสาบหินหนืด แต่สมบัติจำนวนมหาศาลที่ได้จากตัวอวี้ซาก็เป็นปัญหาเช่นกัน เป็นปัญหาว่าจะนำออกไปอย่างไร
พอคิดไปคิดมา ก็ไม่เจอวิธีการอยู่ดี บังเอิญว่าด้านนอกเป็นอาณาเขตของเทพประจำดาวฟ้าเถาะพอดี ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกเฝ้าโดยกำลังพลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ สงสัยจะต้องค่อยๆ คิดหาวิธีจากตัวเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว
รอจนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง ก็พบว่าหัวมังกรเพลิงหายไปแล้ว เปลวเพลิงกำลังขยับราวกับมังกรเลื้อย
ในวังใต้ดิน หลังจากเหมียวอี้นำเฮยทั่นออกไปแล้ว พอมองรอบข้างแล้วพบว่าไม่มีใคร ถึงได้เตะเฮยทั่นเข้ามุม แล้วด่าว่า “เจ้าไม่รู้เหรอว่าปากจัญไรของเจ้าจะก่อเรื่องได้ง่ายๆ? ข้าบอกไม่ให้เจ้าเอ่ยปากพูดง่ายๆ เจ้าไม่ได้ยินรึไง?”
เฮยทั่นตอบว่า “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่ถือสาเขาหรอกน่า รอให้วันไหนข้าสู้ชนเขาก่อน ข้าจะรื้อรังของเขาแน่นอน ให้เขาโมโหจนไฟลุกเลย”
มีจิตใจอยากจะล้างแค้นแรงขนาดนี้ ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่ถือสา? เหมียวอี้เตือนว่า “ถ้าเจ้ายังสนใจแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็หุบปากเส็งเคร็งของเจ้าเอาไว้ให้สนิท”
พอเหลือบมองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแปดกลุ่ม เฮยทั่นก็ตาเป็นประกายแพรวพราวแล้ว ไม่มีอารมณ์โมโหอะไรแล้ว หุบปากแล้ว มันกลิ้งเข้าไปแล้วกระโดดขึ้นเตียงหิน จากนั้นนอนหมอบดื่มด่ำอยู่ตรงปากปล่องแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย
ส่วนเหมียวอี้ก็มุดเข้าไปสำหรับในบ่อลึกที่ปราณชั่วร้ายพ่นออกมา เขาสำรวจแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายทั้งแปดจนครบแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ค้นพบอะไร พบเพียงว่าที่จริงแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของที่นี่มีสี่โพรง เพียงแต่ขุดแบ่งออกเป็นแปดโพรงก็เท่านั้นเอง
หลังจากปีนออกมาแล้ว เขาก็มองดูวังใต้ดินที่กว้างโล่ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกมังกรทั้งแปดนั้นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า
เขาย่อมไม่ต้องการปราณชั่วร้ายอยู่แล้ว เขาทิ้งเฮยทั่นเอาไว้ในนั้น แล้วก็ออกข้างนอกไปหาสถานที่ฝึกวิชาที่สะดวกต่อการดูดซับธาตุไฟ ต้องทราบไว้ว่าไม่ใช่ทุกที่ที่จะมีธาตุไฟหยางที่อุดมสมบูรณ์เข้มข้นเหมือนหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เขาย่อมพลาดไม่ได้อยู่แล้ว
…………………………