พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1497 ไม่รู้ว่าเป็นใบ้
นกสองตัวลืมตาพร้อมกัน หันหน้ากลับมาพร้อมกัน มองมันพร้อมกัน ในดวงตางามที่ใสแจ๋วดุจกระจกฉายแววโกรธเคืองแล้ว เมื่อได้ยินคำว่า ‘นอนรังเดียวกัน’ พวกมันก็มีปฏิกิริยาทันที ในที่สุดเฮยทั่นที่บ่นเป็นชุดก็ทำให้พวกมันตอบสนองได้แล้ว ราวกับกำลังบอกว่า ใครนอนรังเดียวกับเจ้า?
“เอ๋! นั่นมันแววตาอะไรกัร? ขนาดข้ายังไม่โกรธเลยนะ พวกเจ้ายังจะโกรธอีกเหรอ? อย่านึกว่าพวกเจ้าเป็นหงส์เฟิ่งหวงแล้วจะเจ๋งอะไรนักนะ” เฮยทั่นเงยหน้ายืดอก กล่าวอย่างมั่นใจในตัวเองว่า “พ่อก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่ามังกรเหมือนกัน ไม่ได้แย่กว่าพวกเจ้าเลย!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ นกสองตัวก็มองเฮยทั่นหัวจดเท้าแวบหนึ่ง ในดวงตางามที่ดูฉลาดเฉลียวของทั้งคู่ฉายแววดูถูกเหยียดหยาม
“หมายความว่ายังไง?” เฮยทั่นถูกสายตาของนกทั้งสองยั่วโมโหแล้ว สาเหตุก็เพราะหัวมังกรเพลิงด่ามันว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน เจอผู้มีพลังแข็งแกร่งแล้วสู้ไม่ชนะ แต่เจอผู้มีพลังอ่อนแอแล้วจะรังแกไม่ได้เชียวเหรอ? กรงเล็บข้างหนึ่งยื่นเข้าไป จิ้มเจาะบนร่างของนกตัวหนึ่งในนั้น นกตัวที่โดนจิ้มถอยหลังติดต่อกัน ส่วนอีกตัวก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน “เจ้าก็ด้วย ยังกล้าชักสีหน้าใส่พ่ออยู่มั้ย!” มันดีดกรงเล็บ พิ้ว! ดีดอีกตัวให้กระเด็นออกไป
นกตัวที่ตกกระแทกบนหัวเตียงลุกขึ้นมา เหมือนมันจะโกรธแล้ว บินตรงเข้ามาหาเฮยทั่นทันที ส่วนอีกด้วยที่เห็นเพื่อนโดนทำร้าย ก็พุ่งเข้ามาเช่นเดียวกัน นกสองตัวโฉบเข้ามา แล้วจิกตาเฮยทั่นพร้อมกัน เรียกได้ว่าให้ความร่วมมือกันแบบมองตาก็รู้ใจ ตัวหนึ่งจิกข้างขวา ตัวหนึ่งจิกข้างซ้าย ไม่เห็นความวุ่นวายไร้ระเบียบเลยสักนิด
ใครจะคิดว่าเฮยทั่นจะใช้เท้าหลังสองข้างนั่งยองๆ ทำให้กรงเล็บของเท้าสองข้างว่าง จากนั้นก็ยื่นกรงเล็บออกไปทางซ้ายและขวาอย่างสบายๆ ดูง่ายราวกับควักหยิบของในกระเป๋า ยื่นกรงเล็บสองข้างไปบีบคอนกสองตัวได้อย่างง่ายดาย
ต่อให้นกสองตัวจะทำงานร่วมกันได้อย่างรู้ใจกัน แต่ก็ยังเป็นลูกนกอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นควมเร็วหรือพลังก็เทียบเฮยทั่นไม่ติดเลย ตกอยู่ในเงื้อมือมารของเฮยทั่นราวกับว่งเข้าใส่กับดักเอง เรียกได้ว่าพ่ายแพ้อย่างปวดใจ โดนบีบคอจนใช้กรงเล็บถีบยันดิ้นรน กระพือปีกสุดชีวิต ไม่มีทางหลุดพ้นได้ เหมือนจะโดนบีบคอตายได้ทุกเมื่อ
“นกไก่! ยังกล้าสู้กับข้าอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หัวมังกรเฒ่า วันนี้ปู่จะจับพวกเจ้าสองตัวย่างกินแน่! ฟังเอาไว้นะ จำไว้ว่าที่นี่ใครมีอำนาจ ถ้ามีครั้งต่อไป ข้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!” เฮยทั่นทำเสียงฮึดฮัดสองที แล้วโบกกรงเล็บข้างซ้ายกับข้างขวา ลูกนกขนสีรุ้งสองตัวถูกโยนออกไปทันที มีเสียงดังตุ้บสองครั้ง ทั้งคู่กระแทกผนังแล้วตกลงพื้น
นกสองตัวที่กระพือปีกขึ้นมาอีกครั้งสุมหัวกันกลางอากาศ พวกมันสบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนยอมถอยเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ จากนั้นรีบบินหนีอย่างรวดเร็ว รีบบินออกนอกวังใต้ดิน
เมื่อเห็นว่าไล่นกสองตัวออกไปได้แล้ว เฮยทั่นก็เหมือนจะภูมิใจพอสมควร รู้สึกว่าหงส์เฟิ่งหวงมันก็เท่านี้เอง แต่ก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาล่อกแล่กไม่สงบ อุทานว่า “แย่แล้ว!”
มันเริ่มหนีด้วยความเร็วปานสายลม กระโดดข้ามเตียงหินหลังหนึ่งไป รีบพุ่งออกจากวังใต้ดินไล่ตามนกสองตัวนั้น
พอเลี้ยวผ่านโถงกั้นของตำหนักหลัง พุ่งเข้าตำหนักหน้า ก็เห็นนกสองตัวนั้นกำลังกระพือปีกร้องจิ๊บๆ อยู่บนฟ้าตรงข้ามกับหัวมังกรเพลิงไมม่หยุด ดูออกเลยว่าโมโหมาก ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ ถึงอย่างไรเฮยทั่นก็ฟังไม่เข้าใจ
แต่ไม่ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เฮยทั่นก็มั่นใจว่าต้องไม่ใช่คำพูดดีๆ แน่นอน มันรีบหยุดอย่างกะทันหัน เบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาสายไปเสียแล้ว ห้ามไว้ไม่ทันเวลา
หัวมังกรเพลิงหันขวับ ดวงตาเพลิงทั้งคู่จ้องเฮยทั่นอย่างกราดเกรี้ยว ในบ่อเพลิงมังกรมีกรงเล็บมังกรเพลิงที่ดุร้ายน่ากลัวคู่หนึ่งโผล่ออกมา ร่างกายท่อนบนขนาดใหญ่ของมังกรไฟค่อยๆ เผยออกมาทีละนิด
เฮยทั่นไม่พูดพร่ำทำเพลง เลี้ยวหนีทันที
“สัตว์เลื้อยคลาน!” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้า
เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ริมทะเลสาบหินหนืดได้ยินแล้วตกใจ รีบถลันตัวออกมาจากหมอกที่ปกคลุมร่างกาย
“ไสหัวไป!” มีเสียงตะคอกเดือดดาลดังอีกครั้ง
เหมียวอี้เงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงในประตูใหญ่บนไหล่เขามีแสงของไฟพ่นออกมาจางๆ เงาร่างดำๆ เงาหนึ่งถูกโยนออกมา กระเด็นจากฟ้าสูงและกำลังจะตกกระแทกพื้นเป็นแนววิถีโค้ง
เงาร่างที่ขาทั้งสี่ดิ้นรนอยู่กลางอากาศ ถ้าไม่ใช่เฮยทั่นแล้วจะเป็นใครไปได้? เหมียวอี้ตกใจมาก ในมือมีแสงสว่างวาบ โยนกระจกทองแดงโบราณอันหนึ่งออกไป ผิวกระจกขยายใหญ่ราวกับเป็นถาดใบหนึ่ง รับเฮยทั่นเอาไว้แล้ว ร่างของเฮยทั่นยังไม่จมลงในนั้น
กระจกทองแดงโบราณลอยวนกลับมา จากนั้นพลิกกลางอากาศเพื่อเทเฮยทั่นออกมา หลีกเลี่ยงไม่ให้มันตกจากที่สูงจนเกิดอันตราย
พอเก็บกระจกทองแดงโบราณแล้ว เห็นเฮยทั่นหันกลับไปมองประตูใหญ่ถ้ำมังกรบนไหล่เขาด้วยสีหน้าอับอาย เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “โจรอ้วน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เอ่อ…” เฮยทั่นหันขวับ สายตาล่อกแล่ก รีบส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีอะไร ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ที่นี่จะเกิดเรื่องอะไรได้ล่ะ หัวมังกรเฒ่ากับข้าเล่นกันเฉยๆ สนุกมากเลย”
“ไม่มีอะไรงั้นเหรอ?” เหมียวอี้เลิกคิ้ว คิดว่าเขาโง่นักหรือไง อยู่ที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญไม่ใช่แค่วันสองวัน ใกล้จะถึงห้าร้อยปีแล้ว ไม่เคยเห็นหัวมังกรเฒ่าเดือดดาลขนาดนี้มาก่อน เพื่อที่จะปิดบังความลับการมีตัวตนอยู่ หัวมังกรเฒ่าไม่เคยให้เสียงตัวเองดังออกมาข้างนอกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคำรามเสียงดังสะเทือนฟ้าแบบนี้
เพื่อที่จะเล่นกับเจ้า คงไม่ถึงขั้นยอมเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้จนเปิดเผยตัวเองหรอกมั้ง? เหมียวอี้อยากจะถามเฮยทั่นมากว่า เจ้านึกว่าเมื่ออยู่ในสายตาอีกฝ่าย ตัวเองมีฐานะสูงส่งขนาดนั้นเชียวเหรอ?
เฮยทั่นยังไม่พูดว่าไม่มีอะไรก็ยังดีๆ อยู่ ตั้งแต่ที่มันพูดภาษาคนได้ ก็คลุกคลีกับมันอยู่เกือบหนึ่งพันปีแล้ว เหมียวอี้ก็พบว่าหลังจากเจ้าสัตว์นี่อ้าปากพูดก็เป็นคนจัญไรดีๆ นี่เอง เป็นประเภทที่วอนเจ็บตัว ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังบอกว่าไม่มีอะไร เหมียวอี้ไม่สงสัยก็แปลกแล้ว
สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เฮยทั่นมีสันดานที่ชอบล้างแค้น เยารั่วเซียนนับว่าอ่านคนออก เขาเรียกมันว่า ‘โจรอ้วน’ ก็ไม่นับว่าผิดเลยสักนิด พออ้าปากพูดได้ก็ยิ่งฉลาดเฉลียว ตอนหลังพอได้รับความไม่ยุติธรรมนิดเดียวก็จะพูดบรรยายเกินจริงหมื่นเท่าเพื่อให้เจ้าช่วยล้างแค้นให้มัน ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง ขอเพียงทำให้มันไม่สบอารมณ์ มันก็จะกัดไม่ปล่อยแน่นอน ถ้าเจอใครที่สู้ด้วยไม่ได้ก็จะด่าลับหลังเหมือนกัน
แค่สันดานแบบนี้ โดนจับโยนออกมาข้างนอกแบบนี้ ยังจะบอกอีกว่าไม่มีอะไร ช่างเหมือนลักษณะของโจรอ้วนเกินไปแล้ว คงจะไม่ใช่ไม่มีเรื่องหรอก แต่ก่อเรื่องแล้วกลัวตนรู้แล้วจะทำโทษมันมากกว่า
แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเฮยทั่นไม่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าโดนหัวมังกรเฒ่าทำร้ายจนบาดเจ็บ เช่นนั้นเขาก็จะไม่สนใจว่าเฮยทั่นจะมีเหตุผลหรือไม่ เขาจะไปถามหัวมังกรเฒ่าว่าหมายความว่าอะไร เฮยทั่นก็ไม่สำคัญน้อยกว่าอั้นโยวหลิน เขาควรจะเข้าข้างก็ยังต้องเข้าข้าง เขาเหมียวอี้จะตีเฮยทั่นจนสาหัสก็ไม่เป็นไร แต่จะไม่ยอมให้คนอื่นแตะต้องตามอำเภอใจ
เมื่อตรวจอาการอย่างเต็มที่หมดแล้ว ก็พบว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงโล่งใจขึ้นนิดหน่อย เฮยทั่นมีชีวิตตามเขาเข้ามา เขายังอยากให้เฮยทั่นรอดชีวิตออกไป
หลังจากแน่ใจว่าเฮยทั่นไม่บาดเจ็บแล้ว เหมียวอี้ก็อยากจะรู้มากว่าเฮยทั่นก่อเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้หัวมังกรเฒ่าโมโหขนาดนั้น แต่เขาก็พอจะรู้ ว่าเฮยทั่นไม่ซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นจะขัดต่อคำเรียก ‘โจรอ้วน’
ดังนั้นเหมียวอี้จึงพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นอะไรก็ช่างเถอะ ชายชาตรีเมื่อรู้ว่าเสียเปรียบก็ควรถอย ต่อไปอย่าไปหาเรื่องหัวมังกรเฒ่า พวกเราสู้ไม่ชนะอีกฝ่ายก็ต้องทำตัวซื่อสัตย์หน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน เข้าไปหลบภัยในกระเป๋าสัตว์ก่อน”
เฮยทั่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ให้เหมียวอี้เก็บตัวเองเข้ากระเป๋าสัตว์อย่างรวดเร็ว
ปิดหูปิดตาไว้แล้ว ตอนนี้หนีไปไม่ได้แล้ว เหมียวอี้มองดูในกระเป๋าสัตว์ครู่หนึ่ง แล้วถลันตัววิ่งขึ้นไปบนภูเขา ไม่นานก็กระโดดเข้าไปในถ้ำใหญ่ของถ้ำมังกร
บรรยากาศในตำหนักใหญ่แปลกนิดหน่อย หัวมังกรเพลิงปรากฏตัวอยู่อย่างนั้นตลอด ลูกหงส์สองตัวกระพือปีกบินอยู่ข้างๆ จ้องเขาที่เดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมกัน เหมือนกำลังรอให้เขาเดินเข้ามา
หลังจากเหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้ว หัวมังกรเพลิงก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ครั้งนี้พวกมันสองตัวเห็นแก่ที่เจ้าลำบากพาพวกมันมาจากรังหงส์ จะไม่สืบสาวเอาเรื่องแล้ว ทางที่ดีอย่าให้เกิดเรื่องแบบวันนี้เป็นครั้งที่สอง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า!”
พอเห็นลูกหงส์อยู่ตรงนี้ด้วย เหมียวอี้ก็พอจะเดาออกแล้วว่าเกี่ยวอะไรกับพวกมัน ก็บอกแล้วไง ว่าเฮยทั่นเป็นยอดโจรมาก รู้ว่าเอาชนะหัวมังกรเฒ่าไม่ได้ แต่ทำไมยังยั่วโมโหหัวมังกรเฒ่าขนาดนี้อีก แบบนี้ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ
แต่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย เท่ากับยอมรับแล้วว่าลูกหงส์ฟักออกมาจากไข่สองใบที่ตัวเองนำมาจากรังหงส์จริงๆ
เขายิ้มบางๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงทำให้ผู้อาวุโสเดือดดาลขนาดนี้ ให้ข้าน้อยรู้หน่อย จะได้สังสอนได้สะดวก”
“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานเหลวไหลเกินไปแล้ว…” หัวมังกรเพลิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที
เหมียวอี้ฟังจนหนังตากระตุก ในใจกำลังปาดเหงื่อด้วยความอับอาย
หลังจากแน่ใจแล้วว่าสองตัวนั้นคือหงส์เฟิ่งหวง เขาก็รู้แล้วว่าหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนี้มีความสำคัญต่อเผ่าหงส์และเผ่ามังกร นี่เป็นการปิดบังตำหนักสวรรค์ว่าที่นี่กำลังสร้างเทพสตรีเผ่าหงส์รุ่นที่สองขึ้นมาเพื่อต่อต้านตำหนักสวรรค์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผนการใหญ่ในการเลิกเเป็นทาสตำหนักสวรรค์ ถ้าไข่ที่เพิ่งฟักโดนเฮยทั่นบีบคอตายจริงๆ ก็เท่ากับว่าทำให้เผ่าหงส์และเผ่ามังกรไม่มีทางกลับตัวได้อีกต่อไป แบบนั้นหัวมังกรเฒ่าไม่โมโหก็แปลกแล้ว
เหมียวอี้ไม่พูดพร่พทำเพลง เรียกเฮยทั่นออกมาจากกระเป๋าสัตว์แล้ว
พอเฮยทั่นโผล่หน้ามาก็พบว่าตัวเองอยู่ในตำหนักใหญ่ของถ้ำมังกร หัวมังกรเพลิงกับลูกหงส์คู่นั้นก็อยู่ ทำให้มันงุนงงทันที หันหน้าช้าๆ ไปมองทางเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววหวาดกลัว เหมือนกำลังถามว่า เจ้าบอกว่าจะให้ข้าหลบภัยไม่ใช่เหรอ? เจ้าหลอกข้า!
“ในวังใต้ดิน…” เหมียวอี้พูดสิ่งที่หัวมังกรเพลิงพูดเมื่อครู่นี้อีกรอบ จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย พวกมันพูดอะไรใส่ร้ายเจ้ามั้ย? ห้ามโกหกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะหักขาเจ้าซะ!”
เฮยทั่นลังเลครู่หนึ่ง ผลปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้หรี่ตา ในร่องตาฉายแววเย็นเยียบดุร้าย หัวใจมันกระตุกวูบทันที พูดแบบตะกุกตะกักว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ไก่นกสองตัวนี้รังแกข้าเกินไปแล้ว ข้าพูดกับพวกมัน อยากจะคุยกับพวกมันสักหน่อย แต่พวกมันไม่แยแสข้า ข้าโมโหสุดๆ…”
“เจ้าโมโหสุดๆ เหรอ?” ยังไม่ทันรอให้เหมียวอ้าปากพูด หัวมังกรเพลิงก็คำรามอย่างกราดเกรี้ยวแล้วว่า “พวกมันเพิ่งจะออกจากไข่ ยังพูดไม่ได้ จะให้คุยบ้าอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้ายังจะบังคับให้นกใบ้พูดอีกเหรอ?”
เฮยทั่นกล่าวเสียงอ่อนว่า “ข้าจะไปรู้เหรอว่าพวกมันเป็นใบ้ ข้าก็นึกว่าพวกมันแกล้งวางมาดสูงส่ง!”
เหมียวอี้ยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้หัวมังกรเพลิงพูดอะไรอีก แล้วจ้องไปที่เฮยทั่นพร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า พวกมันไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าใช่มั้ย?” อีกมือหนึ่งถือทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาแล้ว เฮยทั่นเป็นพวกที่ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ ในบางด้านเหมียวอี้ไม่อยากจะให้ท้ายมัน ถ้าตอนนี้คุมไม่ได้ ในภายหลังจะก่อเรื่องแหกกฎอะไรก็ยังไม่รู้เลย
เฮยทั่นจ้องทวนเกล็ดย้อนในมือเข้าวยแววตาตะลึงค้างเล็กน้อย สุดท้ายก็ครางออกมาอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรม หมอบลงไปแล้ว ใช้กรงเล็บสองข้างปิดตาไว้ รู้ว่าต้องโดนตีสักยกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงรีบให้เหมียวอี้ตีให้เสร็จไว้ๆ เพียงแต่ดวงตาที่อยู่ในซอกกรงเล็บแอบมองลูกหงส์ทั้งสอง ในแววตาสื่อความหมายชัดเจนมาก เหมือนกำลังพูดว่า รอพ่อก่อนเถอะ เรื่องนี้ยังไม่จบหรอก!
…………………………