พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1504 ความมั่งคั่งทำใจคนหวั่นไหว
หลังจากนั้นครึ่งวัน ที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งใกล้ๆ กับทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เหมียวอี้กับเหยียนซิวที่สวมชุดลำลองทั้งตัวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนเรือที่ลอยอยู่บนทะเลกว้าง บนเรือมองไม่เห็นคนขับเรือ ดูกว้างโล่งว่างเปล่า เรือกำลังถูกปล่อยให้ลอยละล่องอยู่ในบนทะเล
เหยียนซิวไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงพาเขามาที่นี่ คาดว่าคงจะอยากประชุมกับใครบางคน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาที่นี่ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาเองก็มองเห็นว่าบนเรือเหมือนจะมีคน แต่เขาก็ไม่ได้พูดมาก ไม่ได้ถามอะไร แต่ไหนแต่ไรมาเหมียวอี้ให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
หลังจากเหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย เหยียนซิวก็ยืนรออยู่ที่หัวเรือข้างนอก
พอขึ้นตึกเรือ เหมียวอี้แหวกผ้าม่านออก ก็เห็นเทพประจำดาวฟ้าเถาะกำลังนั่งถือถ้วยน้ำชาจิบอย่างช้าๆ ข้างกายเขามีชายชราที่หน้าตาฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังจ้องประเมินเหมียวอี้ด้วยใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ
เหมียวอี้เป็นคนนัดเทพประจำดาวฟ้าเถาะมาเอง เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าการเจอกันลับๆ แบบนี้ เทพประจำดาวฟ้าเถาะยังจะพาคนอื่นมาด้วยอีก
ผังก้วนที่เงยหน้าเล็กน้อยวางถ้วยน้ำชาลง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “มาแล้ว้เหรอ”
“คารวะเทพประจำดาว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
ผังก้วนยกมือบอกใบ้ให้นั่งลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีอัธยาศัยดีมากว่า “นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรก เจ้าเองก็ไม่ใช่ลูกน้องข้า ไม่ต้องเกรงใจ นั่งลงเถอะ”
เหมียวอี้เองก็ไม่อ้อยอิ่ง ตอนที่เขาเพิ่งจะนั่งลง ผังก้วนก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ใช้ได้เลยนะ! ข้ายังกลัวอยู่เลยว่าเจ้าจะไม่มีทางอยู่ผ่านเวลารับโทษหนึ่งพันปีไปได้ ถึงไม่ถึงว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกเจ้าฝ่าฟันผ่านมาได้แล้วเช่นกัน ข้าไม่เคยเข้าไปที่นั่นมาหลายปีแล้ว ข้าสนใจอยากจะรู้ว่าข้างในเปลี่ยนไปยังไงบ้างแล้ว ถ้าสะดวกก็เล่าให้ฟังสักหน่อย”
เมื่อเห็นเหมียวอี้มองประเมินเฉินหวยจิ่วไม่หยุด เขาก็พูดเสริมอีกว่า “คนเก่าคนแก่ของตระกูลผัง เฉินหวยจิ่ว พ่อบ้านใหญ่ของจวนผัง เป็นคนข้างกายที่ข้าสนิทที่สุด ข้าไม่เคยปิดบังเรื่องอะไรเขาทั้งนั้น”
ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้วางใจ “จะเปลี่ยนเป็นยังไงไปได้ล่ะ ปราณชั่วร้ายขวักไขว่ รุกเกาะกินต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิต ปราณชั่วร้ายมากมายกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย บางตัวก็วรยุทธ์ไม่ต่ำเลย หนึ่งพันปีมานี้ข้าใช้ชีวิตลำบากมาก สู้กับวิญญาณชั่วร้ายในนั้นหลายครั้ง แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในนั้นแล้ว หลบซ่อนตัวมาตลอด รอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นโชคดีจริงๆ”
เฉินหวยจิ่วที่อยู่ข้างกันรินน้ำชาให้เหมียวอี้ เหมียวอี้กล่าวขอบคุณแล้วยื่นมือรับ
“วิญญาณชั่วร้าย?” ผังก้วนครุ่นคิดเล็กน้อย เห็นเหมียวอี้หยิบน้ำชาที่ทางนี้เตรียมให้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ไม่กังวเลยสักนิดว่าตัวเองวางแผนเล่นไม่ซื่อ เขาก็ยิ้มบางๆ ในใจแอบชื่นชม ว่าช่างเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างจริงๆ เขายิ้มพร้อมถามว่า “ว่ามาเถอะ ครั้งนี้อยากจะพบข้าให้ได้ด้วยธุระอะไร?”
เหมียวอี้พลิกมือหยิบไข่มุกวิญญาณอาฆาตลายสีทองออกมาหนึ่งเม็ด วางไว้บนโต๊ะ แล้วถามว่า “เทพประจำดาวรู้จักสิ่งนี้รึเปล่า?”
แน่นอนว่านี่คือของที่นำออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ไม่กล้านำออกมาเยอะ นำออกมาแค่ไม่กี่เม็ดก็ยังไม่มีปัญหา เป็นสิ่งที่อธิบายแล้วฟังขึ้น บอกว่าตัวเองได้มาจากการฆ่าวิญญาณชั่วร้าย
ผังก้วนเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไปหยิบ คลึงเล่นอยู่ที่ปลายนิ้วพร้อมถามว่า “ไข่มุกวิญญาณอาฆาต! เจ้ามาหาข้าเพื่อถามเรื่องนี้น่ะเหรอ?”
เหมียวอี้เห็นว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้เลยสักนิด ก็เลยถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่น่าเชื่อว่าเทพประจำดาวจะไม่โดนพลังวิญญาณอาฆาตในนี้รุกก่อกวน?”
“เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงได้เฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ? ข้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เดาว่าเจ้าก็คงจะเหมือนกันใช่มั้ย?” ผังก้วนถาม
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง!” เหมียวอี้เข้าใจทันที แล้วถามอีกว่า “สงสัยเทพประจำดาวจะเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน”
ผังก้วนตอบว่า “ในปีก่อนๆ ที่ปราบแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ยังไม่เคยเห็นว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะมีสิ่งนี้นะ ตอนหลังกองทัพองครักษ์กวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์สองครั้ง ถึงได้รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ ถ้าใส่สิ่งนี้เข้าไปในอาวุธ ก็จะเป็นอาวุธที่มีประโยชน์มาก ทางตำหนักสวรรค์รวบรวมสิ่งนี้ไว้ไม่น้อยเลย แต่จนใจที่นักพรตทั่วไปไม่สามารถต้านทานพลังวิญญาณอาฆาตที่อยู่ในนั้นได้ ต่อให้มีอาวุธประเภทนี้อยู่ในมือก้ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นฝ่าบาทจึงเก็บไว้ให้คนส่วนน้อยใช้งาน”
“ยังมีคนใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณด้วยเหรอ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ
ผังก้วนอึ้งเล็กน้อย เหมือนรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ปิดบัง “ข้างกายฝ่าบาทมีหน่วยกล้าตายอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่เปิดเผยโฉมหน้าง่ายๆ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องขึงมีไม่เยอะ แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็ให้คนพวกนี้ไปทำภารกิจลับที่บอกใครไม่ได้มาตลอด หน่วยกล้าตายพวกนี้ทีนามว่า ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกเขาไม่ได้ฝึกวิชามารชั่วร้ายอะไรด้วย แต่วรยุทธ์เพิ่มเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นอาวุธไม้ตายในมือฝ่าบาท ที่พิเศษที่สุดก็คือ ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกนี้เหมือจะไม่กลัวของประเภทเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ไม่กลัวปราณชั่วร้ายพวกนี้ด้วย ดังนั้น ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกนี้จึงใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณ”
“อย่าบอกนะว่าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหมือนกัน?” เหมียวอี้ตกใจ
ผังก้วนตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่วรยุทธ์เพิ่มขึ้นเร็วมาก ได้ยินว่าคนรู้จักบางคนในนั้น เดิมทียังวรยุทธ์บงกชม่วงอยู่เลย ตอนหลังพอประมือกันถึงได้รู้ ว่าใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองฟันปี วรยุทธ์ของคนคนนั้นก็อยู่ระดับบงกชกลายขั้นกลางแล้ว”
“ไวขนาดนั้นเชียว?” เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ถามหยั่งเชิงไปว่า “เคล็ดวิชาของหน่วยองครักษ์เงาพวกนี้มีข้อเสียอะไรรึเปล่า?”
ผังก้วนพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ แต่ก็มีคนไม่น้อยคาดเดาเอาไว้แบบนี้ ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทมีเคล็ดวิชาที่เพิ่มวรยุทธ์ได้เร็วขนาดนี้อยู่ในมือ แล้วทำไมถึงไม่ฝึกเองล่ะ? ประการต่อมา เคล็ดวิชาที่น่าหวาดกลัวแบบนี้ ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในมือคนอื่นง่ายๆ การที่ฝ่าบาทสามารถวางใจมอบเคล็ดวิชาให้คนกลุ่มนี้ได้ ก็แปลว่าจะต้องมีวิธีควบคุมคนพวกนี้แน่นอน คนส่วนใหญ่เดาว่าเคล็ดวิชานี้อาจจะมีปัญหาบางอย่าง”
เหมียวอี้เงียบงัน ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร
ผังก้วนวางไข่มุกวิญญาณอาฆาตในมือลง แล้วนั่งพิงบนเก้าอี้ เอียงหน้ามองเขาแล้วถามว่า “คุยธุระหลักเถอะ เรียกข้ามาด้วยธุระอะไร?”
เหมียวอี้เรียกสติกลับมาแล้ว ชี้ไปยังไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่เพิ่งวางลง “ข้าก็มาเพื่อสิ่งนี้นั่นแหละ! ข้าจะพูดให้ชัดเจนก็ได้ ตอนอยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ข้าได้สิ่งนี้มาเยอะมาก แต่น่าเสียดายที่เอาออกมาไม่ได้ ซ่อนเอาไว้ในนั้นชั่วคราว ตอนหลังข้าอยากจะเอาของพวกนั้นออกมา”
ผังก้วนยิ้มบางๆ พอจะเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว “เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าแอบเปิดประตูแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อปล่อยเจ้าเข้าไปหรอกใช่มั้ย? ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ข้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”
เหมียวอี้หยิบไข่มุกวิญญาณอาฆาตขึ้นมาถาม “เทพประจำดาวไม่กลัวของสิ่งนี้ ไม่อยากจะได้เอาไว้สักหน่อยเชียวเหรอ?”
ผังก้วนตอบว่า “ถ้าในมือข้ามีอาวุธแบบนี้ ถ้าข่าวหลุดออกไป แล้วคนที่เฝ้าประตูแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างข้าจะอธิบายกับตำหนักสวรรค์ยังไงล่ะ? จะไม่ให้คนอื่นสงสัยว่าข้าขโมยทรัพย์สินที่ตัวเองมีหน้าที่เฝ้าหรอกก็คงยาก คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างข้า โดยทั่วไปเรื่องเข่นฆ่ากันยังไม่ถึงคราวของข้าหรอก ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของข้าก็คือความขัดแย้งจากเบื้องบน” ขณะที่พูดก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ถ้าอยากจะเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากเทพประจำดาวฟ้าเถาะก็ไม่มีทางสำเร็จได้เลย ถึงได้โยนเหยื่อล่ออีคครั้ง “เทพประจำดาวไม่สนใจสิ่งนี้ แต่จะไม่สนใจทรัพย์สมบัติที่อยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เชียวเหรอ?”
ผังก้วนหัวเราะเบาๆ แล้วถามอย่างสงสัย “ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เคยมีทรัพย์สมบัติอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่จากที่ข้ารู้มา โดนตำหนักสวรรค์เก้บรวบรวมไว้เกือบหมดแล้ว ว่ามาเถอะ ที่เจ้าอยากจะเข้าไปในนั้น เพราะอยากจะทำอะไรกันแน่?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เกรงว่าเทพประจำดาวจะเข้าใจผิดแล้ว เป็นไปได้สูงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่รู้เหมือนกัน ทรัพย์สมบัติที่ตำหนักสวรรค์เก็บยึดไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมดในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้นเอง ครั้งนี้ข้าไปสืบมา พบว่าในนั้นมีทรัพย์สมบัติเยอะจนน่าทึ่ง!”
“ที่ตำหนักสวรรค์เก็บยึดได้เป็นแค่ส่วนเดียวเหรอ?” เสียงของผังก้วนดังขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงเผยความตกตะลึง ร่างกายก็นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน มองเหมียวอี้อย่างหนักแน่นมาก
เขาย่อมรู้ว่าตอนที่เพิ่งก่อตั้งตำหนักสวรรค์แล้วขาดเงินทอง ตอนนั้นกวาดสมบัติมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่น้อยเลย คาดเดาจำนวนได้ยาก เอาเป็นว่าสามารถก่อโครงสร้างในตอนเริ่มแรกให้ตำหนักสวรรค์ได้อย่างราบรื่น ทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แบบนี้ก็แปลว่าทรัพย์สมบัติที่เหลือจะต้องมีตัวเลขที่น่าตกตะลึงน่ะสิ
เฉินหวยจิ่วที่นั่งอยู่ข้างกันก็มองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัยเช่นกัน
เหมียวอี้พยักหน้ายืนยัน “ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาแต่คิดจะกลับเข้าไปในสถานที่บ้าๆ นั่นทำไมอีก”
ผังก้วนถามซักไซ่ “ถ้าตำหนักสวรรค์รู้เข้า ก็ไม่มีทางที่จะไม่ไปเอา ขนาดตำหนักสวรรค์ยังไม่รู้เลย ทรัพย์สมบัติพวกนั้นซ่อนอยู่ตรงไหนของแดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า นิ่งเงียบไม่พูดแล้ว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ แทน
ผังก้วนชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเบาๆ รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามฟังดูบุ่มบ่ามไปหน่อย ตัวเองเป็นคนเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าให้รู้จริงๆ ว่าทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ตรงไหน ใครจะกล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่ฮุบไว้คนเดียว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกังวลก็ได้ว่าตัวเองจะฆ่าปิดปากหรือเปล่า ย่อมไม่บอกอยู่แล้ว “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต่อให้ข้าส่งกำลังผลที่ไว้ใจได้ไปเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่กล้าเปิดทางเข้าออกง่ายๆ หรอก ใครจะกล้ารับประกันว่าในนั้นมีสายลับหรือเปล่า ถ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้เข้า แบบนั้นก็หนีพ้นโทษตายได้ยากแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประหารล้างตระกูล!”
เหมียวอี้ตอบว่า “คิดหาทางย้ายข้าเข้าไปเป็นลูกน้องท่านสิ ให้ข้าไปเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าจะคิดหาทางเอง”
ผังก้วนลูบหนวดพลางพึมพำว่า “เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ชื่อเสียงเจ้าฉาวโฉ่ บวกกับเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย อยู่ดีๆ ข้าจะย้ายเจ้าเข้ามาได้ยังไง เกรงว่าจะต้องรอโอกาสอย่างช้าๆ”
เหมียวอี้ “เทพประจำดาวพูดก็มีเหตุผล รีบร้อนไม่ได้จริงๆ ครั้งนี้นัดเทพประจำดาวมาก็เพื่อจะบอก เพียงอยากจะให้เทพประจำดาวเตรียมใจไว้ก่อน ถึงตอนนั้นเมื่อโอกาสมาถึงจะได้ไม่พลาด”
ผังก้วนพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองเฉินหวยจิ่ว “ด้วยฐานะอย่างข้า ไม่สะดวกจะมาเจอเจ้าเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ ต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องเจรจา เฒ่าเฉินจะเป็นตัวแทนข้ามาเจรจากับเจ้า”
เหมียวอี้ลุกขึ้นกุมหมัดคารวะเฉินหวยจิ่ว “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”
“เป็นสิ่งที่สมควรทำ” เฉินหวยจิ่วพยักหน้าอย่างสุภาพ
ผังก้วนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องตลาดผีครั้งก่อนก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงจะมีปัญหายุ่งยากไม่น้อยเลย ตรงขอขอบคุณตรงนี้” เขากุมหมัดคารวะ
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วขอยืมคำของเฉินหวยจิ่วมาพูด “เป็นสิ่งที่สมควรทำ”
ผังก้วนก็หัวเราะเบาๆ เช่นกัน จากนั้นก็บอกด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าประมาทเกินไปนัก ครั้งก่อนเจ้าตบหน้าตระกูลอิ๋งเร็วเกินไป ที่สำคัญคือตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งในงานนั้น ครั้งนี้เจ้ารอดกลับมาได้ เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงจะไม่ปล่อยเจ้าไป แตะต้องเจ้าแบบโจ่งแจ้งอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ระวังจะมีคนใช้วิธีต่ำทราม สิ่งที่มีเยอะที่สุดในใต้หล้าก็มีคนต่ำช้าที่ประจบสอพลอเอาใจเจ้านายนี่แหละ!”
“ข้าจะจดจำคำชี้แนะไว้! เหมียวอี้รับไมตรีนี้ไว้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผังก้วนก็กล่าวอำลา แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปทางท้ายเรือ เฉินหวยจิ่วรีบก้าวขึ้นไปแหวกม่านไข่มุก แล้วทั้งสองก็ถลันตัวดำลงไปในทะเลกว้างอย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้ตามหลังไปแหวกมม่านไข่มุกดู เห็นผิวทะเลเงียบสงบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองหายไปทางไหนแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เรือก็แตกกระจายอยู่บนผิวน้ำพร้อมเสียงระเบิด ถูกทำลายกลบร่องรอยแล้ว เหมียวอี้กับเหยียนซิวเพิ่งจะพุ่งขึ้นฟ้า แต่ใครจะคิดว่าตรงหน้าจะมีเงาคนคนหนึ่งลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า มาขวางทั้งสองเอาไว้ กำลังมองมาข้างล่างด้วยสายตาเย็นเยียบ
จู่ๆ คนคนนี้ก็ปรากฏตัว เรียกได้ว่าทำให้เหมียวอี้กับเหยียนซิวตกตะลึงพรึงเพริด
…………………………