พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1506 ลูกสาวโตแล้วไม่เชื่อฟังมารดา
ที่จริงก็พอจะสังเกตได้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้มองเห็นชัดเจนเหมือนตอนที่ลูกสาวอาบน้ำล้างเครื่องประทินโฉมออกจนหมดอย่างในครั้งนี้
หลังจากที่นางสังเกตเห็น ก็แอบสืบมาตลอดว่าใครกันแน่ที่แอบลักลอบอยู่กับลูกสาว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ลูกสาวตัวเองปิดบังเรื่องแบบนี้กับครอบครัวมาตลอด เรื่องที่ชายหญิงสมัครใจรักใคร่กัน มารดาอย่างนางก็ไม่ขัดอะไร ถ้าลูกสาวได้ตกลงปลงใจเรื่องแต่งงานเร็วๆ นางเองก็อยากจะเห็นความสำเร็จในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรเสียลูกสาวก็อยู่ในช่วงอายุที่จะมีความรักตั้งนานแล้ว ดื่มด่ำความสุขระหว่างชายหญิงก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสม เพียงแต่การแอบลักลอบแบบนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม
นางจะอยากจะบีบว่าที่ ‘ลูกเขย’ ให้ปรากฏตัวออกมาจริงๆ อยากจะเห็นว่าเป็นใครกันแน่
ทว่าที่แปลกก็คือ ใช้หมดทุกวิธีการแล้ว อาศัยความสามารถของสมาคมวีรชน ในหนึ่งพันปีนี้ก็ยังสืบไม่เจอว่ามีผู้ชายคนไหนไปมาหาสู่กับลูกสาวเป็นพิเศษ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ถ้ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ภายในหนึ่งพันปีหญิงชายจะไม่พบหน้ากัน?
นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวเองตัดสินผิดผิดพลาดหรือเปล่า?
แต่ก็มีพิรุธบางอย่างที่ทำให้นางจำเป็นต้องสงสัยต่อไป ยกตัวอย่างเช่นตอนที่แนะนำชายหนุ่มที่มีความสามารถจำนวนหนึ่งให้ ลูกสาวก็ไม่สนใจที่จะติดต่อคบค้าเลยสักนิด ถ้าเป็นเหมือนก่อนหน้านี้มีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานก่อกวนก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตายแล้ว โค่วเหวินหลานเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย ต่อให้เมื่อก่อนจะมีสองคนนั้นก่อกวน แต่อย่างน้อยลูกสาวก็ยินดีที่จะไปเจอหน้ากับคนที่แนะนำให้ แต่ตอนนี้ไม่มีคนก่อกวนแล้ว ทำไมถึงไม่แม้แต่จะไปเจอหน้าด้วยซ้ำล่ะ?มีปัญหา มีปัญหาแน่นอน!
นอกจากนี้ หลายครั้งที่อยากจะให้ลูกสาวเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนให้มาอยู่ใกล้กับตระกูลหวงฝู่สักหน่อย นางหนูกลับหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ มาปฏิเสธ แค่เพราะไม่อยากออกไปจากที่นี่ แบบนี้แสดงว่ามีปัญหา
ดังนั้นนางจึงสงสัยว่าคนที่ลูกสาวแอบคบอยู่ที่ดาวเทียนหยวน หรือไม่ก็อยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากดาวเทียนหยวน
แต่เบาะแสบางอย่างที่เจอในการมาตรวจสอบบัญชีครั้งนี้ก็ทำให้นางระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม ปกติตอนมาตรวจสอบบัญชี ถึงแม้ลูกสาวจะเคารพยำเกรงแต่กลับไม่มีอย่างอื่น แต่ครั้งนี้กลับอยากจะให้ตนออกไปเร็วๆ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?ความผิดปกติแบบนี้ทำให้นางหาข้ออ้างที่จะอยู่ต่อไป ผลปรากฏว่าเริ่มสังเกตได้ทีละนิดว่าลูกสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งพิสูจน์สิ่งที่นางสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อจ้องลูกสาวที่ผิวขาวดุจหิมะแช่อยู่น้ำครู่หนึ่ง หวงฝู่ตวนหรงก็ยกมือขึ้นสองข้าง ม้วนแขนเสื้อสองข้างขึ้น เผยให้เห็นแขนสองข้างที่ขาวละเอียดอ่อน แล้วเดินไปข้างหลังหวงฝู่จวินโหรวที่กำลังพิงขอบอ่างอาบน้ำ ช่วยลูกสาวเกลี่ยผมงามมาไว้ตรงหน้าอก แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมาจุ่มน้ำ ช่วยลูกขัดหลังให้ลูกสาวขัดหลังอย่างช้าๆ
“คิคิ…” หวงฝู่จวินโหรวจั๊กกะจี้จนบิดตัวเล็กน้อย “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะคะ ข้าทำเองก็ได้”
“ใช่แล้ว!” หวงฝู่ตวนหรงมองเรือนร่างที่ทำให้คนเลือดลมสูบฉีดของลูกสาว แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เติบโตแล้ว ตอนนี้รู้จักอายแล้ว”
“มีอะไรน่าอาย”
“แม่ก็ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ถ้าไม่อายแล้วทำไมกอดอกไม่ปล่อยล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวปล่อยมือจากหน้าอกอย่างช้าๆ แล้วใช้มือนวดคลึงต้นขาที่อยู่ในน้ำอย่างเขินอาย
“โหรวโหรว เจ้ามีผู้ชายที่ถูกใจหรือยัง?” หวงฝู่ตวนหรงที่กำลังขัดหลังให้ลูกสาวเอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
คำพูดแบบนี้มารดาไม่ได้ถามเป็นครั้งแล้ว หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ”
หวงฝู่ตวนหรงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้ามีคนชอบแล้วก็บอกมาได้เลย ถ้าหากเหมาะสม แม่จะออกหน้าจัดการให้เอง ไม่มีอะไรน่าอาย ชายหญิงเติบโตแล้วก็ควรจะแต่งงาน เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ถึงแม้ตระกูลหวงฝู่ของเราจะรักษากฎลำบากไปหน่อย แต่อาศัยศักยภาพของสมาคมวีรชน อาศัยความงามที่พบเจอเพียงหนึ่งในพันของโหรวโหรว ถ้าไปชอบใครก็คือวาสนาของคนนั้น แล้วอีกอย่าง ภูมิหลังของตระกูลเราก็สูงทะลุฟ้าเช่นกัน ต่อให้ไม่มีผลานแต่ก็ทำงานอย่างยากลำบาก ถ้าลูกสาวข้าถูกใจใคร แค่เบื้องบนเอ่ยปากคำเดียว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สำเร็จ เจ้ายังมีอะไรน่ากังวลอีก?”
หวงฝู่จวินโหรวตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านแม่ ข้าบอกไปหลายรอบแล้ว ไม่มีจริงๆ ค่ะ ถ้าข้าเจอแล้วก็ย่อมบอกท่านแม่เอง”
หวงฝู่ตวนหรงแววตาวูบไหว “ในเมื่อยังไม่มี งั้นแม่จะก็จะแนะนำคนดีๆ ให้เจ้าสักคน หลานชายของนายท่านจินของคฤหาสน์จินหู แม่เคยเจอมาแล้ว หน้าตาดีมีความสามารถจริงๆ สง่างามดุจต้นอวี้ซู่ลู่ลม วรยุทธ์ก็ไม่ได้แย่…เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธนะ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ลองไปเจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าถูกใจขึ้นมาล่ะ? อาศัยความงามของลูกสาวข้า ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ชอบเจ้า”
หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้า ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ คนที่ท่านแม่บอกข้าเคยเจอแล้ว เคยมาซื้อของที่ร้านค้า ทั้งยังบอกด้วยว่าจะเจอข้า บอกว่ารู้จักกับท่าน ถ้าลูกเดาไม่ผิด ท่านแม่บอกใบ้ให้เขามาใช่มั้ยคะ?”
หวงฝู่ตวนหรงตอบว่า “ข้าแนะนำให้เขามาแล้วยังไงล่ะ? อีกฝ่ายเคยเห็นเจ้าก็แปลว่ายอมรับแล้ว แค่อให้เจ้าตอบตกลงเท่านั้น ในเมื่อเจ้าเคยเห็นแล้ว ก็น่าจะรู้นะว่าแม่ไม่ได้พูดซี้ซั้ว คนหนุ่มนั่นหน้าตาดีจริงๆ ใช่มั้นล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวบ่นว่า “เป็นหนุ่มน้อยหน้าขาวที่แต่งหน้าจัด หน้าตาดีตรงไหน ข้าเห็นแล้วสะอิดสะเอียน”
หวงฝู่ตวนหรงจงบอกว่า “เจ้าสำนักไท่อี้ก็มีหลานชายคนหนึ่ง มีความเป็นชายเต็มเปี่ยม หน้าตาบุคลิกองอาจห้าวหาญ วรยุทธ์ก็โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน คนนี้ไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าขาวแน่นอน ไปดูสักหน่อยว่าถูกปากเจ้าหรือเปล่า”
“เชอะ! ยังจะมาถูกปากไม่ถูกปากอะไรอีก? ท่านแม่ นี่ไม่ใช่การดูอาหารเตรียมใช้ตะเกียบคีบเสียหน่อย องอาจอ้าวหาญอะไรกัน ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเจ้านั่น ข้างกายมีบ่าวหญิงสองคนสวมชุดขาวถือกระบี่ทำวางมาด ก็แค่อาศัยว่ามีตระกูลหนุนหลัง คนทั่วไปก็เลยไม่กล้าหาเรื่องเขาเฉยๆ หรอก เลยทำตัวหยิ่งผยองอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นคงถูกตำหนักสวรรค์เรียกตัวไปรับตำแหน่งตั้งนานแล้ว ถ้ามีความสามารถก็ลองให้เขาไปทำตัวหยิ่งผยองที่ตลาดผีคนเดียวดูสิ ดูว่าเขาจะรอดกลับมาได้หรือเปล่าแล้วค่อยว่ากัน…ท่านแม่ อย่าบอกนะว่าท่านก็ให้เขามาที่ร้านข้าด้วยเหมือนกัน?”
“คนนี้เจ้าก็ไม่ชอบ คนนั้นเจ้าก็ไม่ชอบ แล้วเจ้าชอบแบบไหนกันแน่?”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยจริงๆ”
“ไม่ต้องกังวลเหรอ? สหายของเจ้าคนนั้น เจ้ารู้จักมั้ยสนมสวรรค์คนปัจจุบันน่ะ?”
“ท่านแม่ ทำไมโยงไปถึงหรูอี้อีกแล้ว?”
“ปู่เจ้าก็รู้เรื่องนี้มาบ้างแล้ว ท่านวางแผนเพื่อตระกูล ตั้งใจจะส่งเจ้าเข้าวังไปเป็นสนม เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเบื้องบน”
“หา!” หวงฝู่จวินโหรวร้องตกใจมาก พลันหันตัวมานั่งคุกเข่า ร่างกายท่อนบนเปิดเผยออกมาจนหมด ราวกับบัวขาวโผล่พ้นน้ำ มีหยดน้ำที่เหมือนเม็ดไข่มุกกระเพื่อมสั่นไหว งดงามเย้ายวนใจมาก นางจับมือสองข้างของมารดา “ท่านแม่ ท่านตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่อยากเข้าวังไปเป็นสนม!”
หวงฝู่ตวนหรงแกะมือสองข้างของนางออก “แม่ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว ย่อมไม่อยากให้เจ้าไปทนทุกข์อยู่แล้ว ก็เลยพยายามจะให้เจ้าหลุดพ้น แต่จะว่าไปแล้ว คนที่ตระกูลเอามาให้เจ้าเลือกก็มีไม่เยอะเท่าไร ถ้าเจ้าถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไป แม่ก็ไม่กล้ารับประกันนะว่าวันไหนจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเจ้า!”
หวงฝู่จวินโหรวถอนหายใจแรงๆ หันตัวกลับมานั่งลงในขณะที่ใจยังหวาดกลัวอยู่
หลังจากคุยเล่นกันไปสักพัก หวงฝู่จวินโหรวก็เอ่ยเหมือนเดิมว่า “ท่านแม่ ตรวจสอบบัญชีทางนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว ท่านจะกลับไปเมื่อไรเหรอ?”
หวงฝู่ตวนหรงตอบเสียงเรียบว่า “เราสองแม่ลูกไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลย ทั้งยังอยู่ไกลกัน ครั้งนี้แม่เตรียมจะอยู่กับเจ้านานๆ หน่อย เดี๋ยวกลับไปจัดแจงของในห้องสักหน่อย แม่จะอยู่กับเจ้าที่นี่ชั่วคราว”
หวงฝู่จวินโหรวเลยบอกว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรอกค่ะ ในมือข้ามีงานเยอะมาก อย่าทำให้งานของตระกูลล้าช้าเสียหาย…”
บางทีอาจจะเป็นเพราะเชื่อฟังคำโน้มน้าวขอลูกสาว วันต่อมาหวงฝู่ตวนหรงก็เร่งให้ลูกน้องรีบตรวจสอบบัญชี หลังจากนั้นสามวันก็พาคนออกไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวออกมาส่งนอกเมืองด้วยตัวเอง ขณะมองส่งมารดาจากไป เมื่อเห็นว่าส่งมารดาที่ ‘น่ากลัว’ ไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ดีใจไม่หยุด เพราะอีกไม่นานก็จะได้เจอกับเจ้าคนไม่รักดีคนนั้นแล้ว
หารู้ไม่ว่าหวงฝู่ตวนหรงออกไปแล้วก็กลับมาอีก เพียงแต่ไม่ได้เข้าเมือง แต่พักชั่วคราวอยู่ในภูเขาทางตะวันตกของเมือง
สำหรับคนส่วนใหญ่ เรื่องบางเรื่องอาจจะเรียกว่าคนรวยพูดเสียงดังกว่าคนอื่น สำหรับบางคนกลับเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นในป่าภูเขาทางทิศตะวันออกของเมือง ที่ดินดีๆ ผืนหนึ่งที่ติดภูเขาและแหล่งน้ำ โค่วเหวินหลานที่มารอล่วงหน้าสั่งให้คนสร้างสวนที่เรียบง่ายทว่าเผยความหรูหราเสร็จภายในไม่กี่วัน
เหมียวอี้นำเหยียนซิวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงที่ประตูสวน
“น้องหนิว!” โค่วเหวินหลานที่มายืนต้อนรับตรงประตูกุมหมัดทักทายเสียงดัง ข้างกายมีสตรีชุดม่วงคนหนึ่งที่สูงสง่า หน้าตางดงามดุจดอกไม้ บุคลิกสุภาพสง่างาม แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงจากครอบครัวธรรมดา
“พี่โค่ว” เหมียวอี้เพิ่งจะกุมหมัดคารวะ สตรีชุดม่วงคนนั้นก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงใสพร้อมรอยยิ้มที่เป็นกันเองแล้ว “หนิวโหย่วเต๋อ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
“เอ่อ…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าคนนี้ค่อนข้างคุ้นตา เหมือนจะเคยเจอแต่ก็ไม่เคยเจอ อย่าบอกนะว่าน้องสาวคนนั้นของโค่วเหวินหลาน? เขาไม่กล้าแน่ใจเกินไป
โค่วเหวินหลานพูดคลายปริศนา “อาจจะเป็นเพราะเวาผ่านมานานมากแล้ว น้องหนิวลืมไปแล้ว นี่คือโค่วเหวินจื่อน้องสาวข้า ในปีนั้นเคยมาที่ตลาดสวรรค์ พวกเจ้าเคยเจอกัน”
“อ้อ!” เหมียวอี้เข้าใจทันที นึกออกแล้ว ในปีนั้นที่เจอกันยังเป็นแม่นางน้อยอยู่เลย ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว หลุดจากความเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว เต็มไปด้วยลักษณะของตรีที่โตเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งนับวันก็ยิ่งสวย เขาจึงรีบกุมหมัดขออภัย “แม่นางโค่วยิ่งนับวันยิ่งสวย หนิวเกือบจะจำไม่ได้ ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว!”
“เชอะ! พอสูงส่งแล้วคงจะลืมมิตรภาพเก่าๆ แล้วล่ะสิ? กล้าก่อเรื่องในงานรับสนมของฝ่าบาท เก่งขนาดไหนกันล่ะ มีหรือที่จะเห็นข้าอยู่ในสายตา” โค่วเหวินจื่อทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
โค่วเหวินหลานทำหน้าเข้มทันที “เหวินจื่อ ทำไมพูดจาอย่างนั้น? เจ้าอยากตามข้ามาเองนะ อยากจะให้ข้าไล่กลับไปใช่มั้ย?”
เขามาครั้งนี้เพราะได้รับภารกิจ มาเพื่อเป็นพ่อสื่อ บิดาอธิบายรายละเอียดของเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ว่าท่านปู่ตัดสินใจจะให้หลานสาวแต่งงงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้ เตรียมจะรับเหมียวอี้เข้ามาเป็นลูกน้องในตระกูลโค่ว ส่วนจะเลือกใครให้แต่งงานก็ยังไม่แน่นอน สำหรับตระกูลโค่วแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานกับคนไหนก็ถือว่าแต่งงานเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่จะมาเลือกที่รักมักที่ชัง เพียงดูว่าเหมียวอี้ถูกใจคนไหน สรุปก็คือต้องพยายามประสานงานเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ แต่บิดาของเขาแอบซ่อนจิตใตที่นึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวเอาไว้ นับว่าตั้งใจจะสนับสนุนลูกชายตัวเองเช่นกัน จึงบอกกับลูกชายไว้ชัดเจน ว่านี่คือคนที่ท่านปู่ชอบและคิดจะเลี้ยงดูฝึกฝน ต่อไปอาจจะมีอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต ถ้าได้น้องเขยที่ท่านปู่เล็งเห็นความสำคัญช่วยเหลือ ก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องอำนาจในตระกูลไม่น้อยเลย
สิ่งที่เรียกว่าจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้นจะแสดงออกมากเกินไปไม่ได้ เพียงแต่ถือโอกาสให้โค่วเหวินหลานพาน้องสาวตัวเองมาด้วยก็เท่านั้นเอง จะได้ได้เปรียบที่มีโอกาสเจอก่อน คุยกันแบบเห็นตัวก็ดีกว่าเจรจาแบบไม่เห็นตัว ยิ่งไปกว่านั้นโค่วเหวินจื่อก็หน้าตางดงามมากจริงๆ หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี เชื่อว่าทำให้ผู้ชายทุกคนหวั่นไหวได้ง่ายๆ กอปรกับมีตระกูลชนชั้นสูงอย่างตระกูลโค่วช่วยเหลือ โอกาสที่จะตอบตกลงก็มีเยอะมาก
…………………………