พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1507 เป็นพ่อสื่อในสวนสาลี่
ดังนั้นที่บอกว่าโค่วเหวินจื่อเป็นฝ่ายขอตามมาเอง เป็นเพราะโค่วเหวินจื่อเลอะเลือนจนไม่รู้ว่าตัวเองโดนดึงเข้ามาในแผนการ คนในบ้านเข้าใจนางดีที่สุด ถ้ามีโอกาสออกไปเที่ยวเล่น แล้วนางไม่เป็นฝ่ายขอออกไปเองก็แปลกแล้ว แค่ปล่อยข่าวให้รู้นิดหน่อยก็ทำให้นางติดเบ็ดแล้ว
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ โค่วเหวินจื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำอะไรที่นี่กันแน่ กำลังจะโดนขายแล้วยังไม่รู้ตัวราวกับคนโง่
เพียงแต่ข้อเสียอย่างเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ นิสัยของโค่วเหวินจื่อซุกซนไปหน่อย นางเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลโค่ว ยามปกติโดนคนในตระกูลตามใจจนเหลิงไปหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นตลอดทางที่มารวมทั้งหลังจากมาถึงแล้ว โค่วเหวินหลานจึงกำชับตลอดว่า ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย! ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย!
ถ้าตำหนิตอนนี้ก็กลัวว่าโค่วเหวินจื่อจะทำเสียเรื่อง ถ้าทำให้หนิวโหย่วเต๋อรำคาญ ความพยายามของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว
ที่จริงโค่วเหวินหลานไม่เต็มใจทำเรื่องแบบนี้เอามากๆ ในใจรู้สึกเซ็ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่ท่านปู่เห็นด้วย ประการต่อมาเป็นเพราะเกิดในตระกูลแบบนี้ เรื่องบางเรื่องจึงทำตามใจตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ขึ้นข้างบนก็ต้องอยู่ข้างล่าง ผู้ที่มีความสามารถจะได้อยู่ข้างบน มันก็เรียบง่ายอย่างนี้! ขอถามคำเดียวว่าอยากจะเงยหน้าไม่ขึ้นในตระกูลหรือเปล่า ถ้าไม่อยากก็ต้องพยายามเอาแล้วกัน!
เมื่อโดนตำหนิ โค่วเหวินจื่อก็เถียงกลับสองสามคำ แต่พอนึกถึงผลประโยชน์ที่พี่ชายตอบตกลงว่าจะให้ นางก็เม้มปาก ได้แต่แสร้งยอมรับคำตำหนิเหมือนผู้หญิงว่านอนสอนง่าย
“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้กลับหัวเราะเบาๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เลย อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับโค่วเหวินหลาน อาศัยที่โค่วเหวินหลานช่วยเขาไว้หลายครั้ง เขาไม่ถึงขั้นถือสาน้องสาวของโค่วเหวินหลานเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ลูกสาวของตระกูลใหญ่จะนิสัยเย่อหยิ่งไปหน่อยก็พอเข้าใจได้
พอเห็นว่าเขาไม่ถือสาแล้วจริงๆ โค่วเหวินหลานก็เบี่ยงตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ “น้องหนิว เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเดินเคียงเขาเข้าไป
โค่วเหวินจื่อเบะปากใส่เงาหลังเขา แต่ไม่นานความสนใจก็ไปหยุดอยู่ที่เหยียนซิวที่ตามมาข้างหลัง นางมองประเมิน ‘ใบหน้าคนตาย’ ของเหยียนซิวอย่างประหลาดใจนิดหน่อย พบว่าผู้ติดตามของเหมียวอี้หน้าตาน่ากลัวจนทำให้คนเห็นรู้สึกหนาว
พอเข้ามาถึงลานบ้านด้านใน สองข้างทางเดินหินเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม ทั้งหมดเป็นดอกสาลี่สีขาวที่ถูกเร่งให้ออกดอก พอเดินอยู่ท่ามกลางแดนที่สง่างาม ก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่นจริงๆ รู้สึกอิสระผ่อนคลายยิ่งกว่าตอนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาอีก
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วถามอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เหมือนตรงนี้จะไม่มีสิ่งปลูกสร้างใช่มั้ย?” เขามีอำนาจอยู่ที่ดาวเทียนหยวนมาหลายปี ย่อมรู้จักสภาพภูมิประเทศรอบๆ ตลาดสวรรค์เป็นอย่างดี
โค่วเหวินหลานตอบไปส่งเดชว่า “ในเมื่อน้องหนิวไม่อยากเข้าไปพักในเมือง ข้าก็เลยสั่งให้คนสร้างที่พักเมื่อไม่นานมานี้”
ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากพูดคุยเรื่องแบบนั้นตอนอยู่ในเมือง ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าก็จะน่าอับอาย การที่เหมียวอี้ไปอยากเข้าไปในเมืองก็ตรงกับที่ใจเขาต้องการพอดี และที่สร้างสวนไว้ที่นี่ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความจริงจัง เหตุผลรองลงมาก็คือเตรียมการอย่างอื่นไว้
ส่วนเหมียวอี้ สาเหตุที่เขาไม่อยากเข้าเมืองก็เพราะไม่อยากรบกวนพวกฝูชิง พวกฝูชิงอยู่ในอาณาเขตของอิ๋งจิ่วกวง เขาล่วงเกินตระกูลอิ๋งไว้หนักเกินไป ไม่อยากเข้าใกล้พวกฝูชิงมากเกินไปจนทำให้พวกฝูชิงเดือดร้อน สาเหตุรองลงมาก็คือ ถ้าแอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวในเมืองก็จะโดนเปิดโปงได้ง่าย เจอกันข้างนอกจะเหมาะสมกว่า
สรุปก็คือเรียกได้ว่าต่างคนก็ต่างมีเจตนาต่างกัน ดังนั้นเหมียวอี้จึงมองไปที่โค่วเหวินหลานโดยจิตใต้สำนึก สร้างสวนขึ้นมาชั่วคราวงั้นเหรอ? แค่จัดงานเลี้ยงต้อนรับตน ถึงกับต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยจะมีเรื่องอะไรจริงๆ
ในสวนดอกสาลี่ ทิวทัศน์ดอกไม่โปรยปรายงดงาม มีกระท่อมปะปนอยู่สองสามหลัง ทั้งสองเดินเข้าไปในศาลามุงจากหลังที่ใหญ่ที่สุด มีบ่าวรับใช้นำสุราอาหารมาวางตั้งนานแล้ว กำลังยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ
“เชิญ!” โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้นั่ง หลังจากตัวเองนั่งลงแล้ว ก็เอียงหน้าบอกข้างๆ ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
บรรดาบ่าวรับใช้รีบออกไป จากนั้นเขาก็จ้องไปที่เหยียนซิว
ตั้งกันซ้ายขวาออกไปให้หมด สงสัยมีเรื่องสำคัญจะเจรจาจริงๆ! เหมียวอี้ที่เข้าใจความหมายก็เอียงหน้าบอกเหยียนซิวเช่นกัน เหยียนซิวถอยออกไปทันที ไปยืนเฝ้าในประตูลานบ้านโดยหันหลังมาทางนี้
โค่วเหวินจื่อเข้ามานั่งลงด้วยอย่างใจกว้างตรงไปตรงมา แต่ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหลานสะบัดหน้ามาบอกว่า “พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องหนิว ในศาลาทางนั้นมีฉินให้ดีด ไปแสดงฝีมือสร้างความบันเทิงให้พวกเราสักหน่อยไป”
โค่วเหวินจื่อถลึงดวงตางามใส่ทันที แต่ก็เข้าใจความหมายแฝงลึกๆ ในแววตาที่อีกฝ่ายมองกลับมา
พอนึกถึงผลประโยชน์ที่พี่ชายสัญญาว่าจะให้ โค่วเหวินจื่อก็กัดฟัน เตรียมจะอดทนสักครั้ง รอให้ผลประโยชน์มาถึงมือก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีทีหลัง นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เข้าไปในศาลามุงจากอีกหลังที่อยู่ลึกในสวนสาลี่ แล้วก็นั่งลงตรงหน้าฉินแล้ว
เหมียวอี้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน ความสนใจไปอยู่ที่โค่วเหวินหลาน ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรกันแน่
โค่วเหวินหลานเพิ่งจะยกกาสุรารินให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงฉินที่ไพเราะงดงามลอยมาแล้ว ไพเราะเสนาะจับใจมาก เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความอึ้ง แต่หลังจากเห็นกลีบดอกสาลีโปรยปรายในบางครั้ง โค่วเหวินจื่อที่นั่งอยู่ในศาลามุงจากก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นิ้วเรียวยาวกำลังยกขึ้นดีดลงอย่างสง่างาม ดีดเสียงฉินอันไพเราะออกมา
มุมนี้สามารถมองเห็นสภาพในศาลามุงจากทางนั้นได้พอดี บวกกับกลีบดอกสาลี่โปรยปรายขับบรรยากาศให้โดเด่น ทั้งยังมีเสียงดนตรีอันไพเราะชั้นสูง ก็ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่บรรยายเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ โค่วเหวินจื่อที่ยกแขนเสื้อขึ้นลงก็ราวกับเป็นคนในภาพวาด สง่างามสุดๆ เสียงพิณที่เกิดขึ้นจากนิ้วเรียวสวยก็ไพเราะเช่นกัน ราวกับเป็นเสียงจากธรรมชาติ
พอเห็นเหมียวอี้มองจนเหม่อลอยเล็กน้อย โค่วเหวินหลานก็แอบยิ้มอย่างขื่นขม ไม่เสียแรงที่ตนพยายามทุ่มเทวางแผนจัดสถานที่ เพียงแต่ผู้หญิงของตระกูลโค่วจำเป็นต้องมาดัดจริตแบบนี้ถึงจะขายออกตั้งแต่เมื่อไรกัน? คนที่อยากจะแต่งงานกับลูกสาวบ้านนี้ต้องต่อแถวยาวเท่าไรก็ยังไม่รู้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เตรียมการไว้เยอะเกินไปหรือเปล่า
“น้องหนิว เชิญดื่ม”
พอเสียงของโค่วเหวินหลานเอ่ยเชิญ ก็ทำให้เหมียวอี้ได้สติกลับมา รีบยกจอกสุราขึ้นดื่มพร้อมกัน พอวางจอกสุราลงก็กล่าวชมว่า “นึกไม่ถึงว่าน้องสาวของท่านจะดีดฉินได้เก่ง”
“เป็นเพราะอาจารย์สอนดีก็เท่านั้นเอง ตระกูลโค่วหายอดอาจารย์ฉินในใต้หล้ามาให้ก็ไม่มีปัญหา นางเล่นเก่งตั้งแต่เด็กแล้ว พูดไปน้องหนิวก็อาจจะไม่เชื่อ น้องสาวข้าอาจจะไม่มีฝีมือด้านอื่น แต่ฉินฉีซูฮว่า[1]นั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้ซุกซนเหมือนอ่ยางที่เห็นภายนอก” โค่วเหวินหลานเอ่ยชม แล้วถามอีกว่า “ไม่รู้ว่าฉินฉีซูฮว่าของน้องหนิวเป็นยังไงบ้าง ถ้าสนใจก็ประลองกับน้องสาวข้าสักหน่อยมั้ย”
ปาดเหงื่อ! ตอนยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอเอ่ยถึง เหมียวอี้ก็รีบโบกมือ “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย ตอนเด็กแค่จะกินให้อิ่มยังลำบากเลย ไม่ได้มีความภูมิฐานแบบนั้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือฉินฉีซูฮว่า จะมีคุณสมบัติอะไรไปประลองกับน้องสาวท่านล่ะ”
เขาไม่ได้พูดเพราะเกรงใจ เรื่องดีดฉินกับเขียนพู่กัน เขาไม่ชำนาญเลยสักนิด ส่วนการเขียนตัวอักษร ถ้าไม่ใช่เพราะถูกอวิ๋นจือชิวบังคับให้คัด ตัวหนังสือที่ออกมาจากมือเขาก็ไม่มีหน้าไปเจอใครได้เลย ตอนนี้เขานับว่าเขาใจความลำบากหวังดีของอวิ๋นจือชิวในตอนแรกแล้ว อยู่ในตำแหน่งระดับนี้แล้ว ถ้ายังเขียนคำสั่งด้วยตัวอักษรบิดเบี้ยวอยู่ คาดว่าลูกน้องที่ได้อ่านคำสั่งคงจะแอบหัวเราะเยาะ แต่ตอนนี้เนื่องจากอยู่ห่างจากอวิ๋นจือชิวเป็นเวลานานแล้ว ต่อให้อวิ๋นจือชิวอยากจะควบคุมให้เขาฝึกเขียน แต่ก็ควบคุมไม่ไหวอยู่ดี แต่ตัวหนังสือของเขาในตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนหัวเราะเยาะแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งเช่นกัน เจตนาเดิมของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่เพื่อกดดันให้เขากลายเป็นนักวรรณกรรมอะไร แค่เขียนได้ไม่แย่ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเล่นหมากล้อม นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นิสัยแย่ๆ ตอนเล่นโดนอวิ๋นจือชิวถือกระบี่แก้ให้หมดแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเล่นหมากล้อมแย่ๆ เหมือนในตอนแรก ตอนหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เหอะๆ ดื่มสุรา!”
โค่วเหวินหลานรินสุราให้เขาดื่มจอกหนึ่ง หลังจากดื่มไปจอกหนึ่งแล้ว เจ้าตุ้งติ้งก็ออกอาการเดิม สะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดมุมปากด้วยมาดผู้ดี
ผิวหนังใต้ร่มผ้าของเหมียวอี้แอบมีขนลุก แล้วก็เป็นฝ่ายแย่งจอกสุรามาช่วยรินเอง ก่อนจะไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่โค่ว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรอ้อมค้อม มีอะไรจะสั่งก็บอกมาตรงๆ ได้เลย ขอเพียงหนิวคนนี้ทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!” นี่กำลังเป็นการบอกให้เขาคุยธุระหลัก
โค่วเหวินหลานเงียบไปครู่หนึ่ง จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย มองไปยังโค่วเหวินจื่อที่กำลังดีดฉิน พร้อมถามว่า “น้องหนิว เจ้ารู้สึกว่าน้องสาวข้าเป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าตอบว่า “ก็เหมือนอย่างที่พี่โค่วบอก เชี่ยวชาญฉินฉีซูฮว่า บวกกับหน้าตางดงามปานเทพธิดา ก็ย่อมไม่เลวอยู่แล้ว”
“ถ้าให้แต่งเป็นภรรยาของน้องหนิวดีมั้ย?” โค่วเหวินหลานถามพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อ…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก นึกว่าตัวเองฟังผิดไป รีบโบกมือบอกว่า “พี่โค่ว อย่าล้อเล่นแบบนี้เด็ดขาด หนิวเป็นคนไร้สติปัญญา จะไปคู่ควรกับน้องสาวท่านได้ยังไง”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ!” โค่วเหวินหลานส่ายหน้าอย่างจริงจัง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “น้องหนิวมาตั้งตัวที่ตลาดสวรรค์ตัวเปล่า เริ่มก้าวขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นทีละก้าวยังไงบ้าง ในใจข้ารู้ดี ความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าก็เริ่มแน่นหนาขึ้นทีละนิด ข้าชื่นชมน้องหนิวมาก หลังจากน้องหนิวมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์อิ๋ง ข้าก็เริ่มกังวลกับอนาคตของน้องหนิว พอได้รู้ว่าน้องหนิวกำลังจะหลุดพ้นจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าก็ยิ่งกังวลกว่าเดิมอีก ตระกูลอิ๋งไม่ได้มีเรื่องด้วยง่ายๆ ขนาดนั้นนะ ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไปง่ายๆ หรอก ต่อให้ตระกูลอิ๋งไม่เอาเรื่องต่อ คนระดับล่างของตระกูลอิ๋งก็อาจจะไม่ปล่อยน้องหนิวไป ข้าจะช่วยน้องหนิวยังไงดีนะ ข้าครุ่นคิดมานานมาก อาศัยความสามารถอย่างข้า ถ้าอย่างจะต่อต้านตระกูลอิ๋งก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ตอนหลังพอข้าเห็นน้องสาว ตรงหน้าข้าก็มีแสดงสว่างแล้ว คนอื่นเชื่อถือไม่ได้ แต่ข้าเชื่อในการความประพฤติของน้องหนิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าในอนาคตข้าต้องฝากน้องสาวไว้กับคนผิด ไม่สู้ทำให้น้องหนิวสมความปรารถนาดีกว่า ขอเพียงน้องหนิวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตระกูลโค่ว ตระกูลอิ๋งก็จะไม่พุ่งเป้ามาที่น้องหนิวอีกแล้ว พวกเขาจะชั่งน้ำหนัก อย่างน้อยคนชั่วก็จะไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ อีกด้านหนึ่งก็ย่อมมีตระกูลโค่วออกหน้าให้ ไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลอิ๋งมาทำซี้ซั้วกับน้องหนิง!”
เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่านี่คือความคิดของท่านปู่อ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรู้จักแบ่งแยกเวลา ตอนที่เหมียวอี้ก่อเรื่องที่อุทยานหลวงจนแทบจะหัวตกพื้น อ๋องสวรรค์โค่วก็สามารถพูดได้เลยว่าเหมียวอี้คือหลานเขยตัวเองเพื่อเป็นการปกป้องชีวิตเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็มีแต่จะขอบคุณทราบซึ้ง แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าจะให้อ๋องสวรรค์โค่วกดเสียงต่ำมาขอร้องให้เหมียวอี้แต่งงานกับหลานสาวตัวเอง นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก็มีแต่ต้องให้โค่วเหวินหลานออกหน้ารับช่วงต่อไว้ที่ตัวเองทั้งหมด
เมื่ออยู่ในฐานะระดับนั้นของตระกูลโค่ว เวลาทำเรื่องอะไรก็ย่อมต้องมีกลยุทธ์ ถ้าเปลี่ยนวิธีการทำงาน ต่อให้ทำงานพัง ต่อให้เหมียวอี้ไม่ตอบตกลง แต่นั่นก็จะไม่ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า โค่วเหวินหลานที่เหมาเรื่องนี้ไว้ที่ตัวเองทั้งหมดแสดงความจริงใจขนาดนี้ ต่อไปไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จรือไม่ เหมียวอี้ก็ยังจะจดจำน้ำใจนี้ของโค่วเหวินหลานได้อยู่ดี แบบนี้พอตระกูลโค่วเอ่ยปากก็จะไม่มีความเสียหายอะไร ถ้าอ้างอ๋องสวรรค์โค่วโดยตรง แล้วเรื่องนี้ทำไม่สำเร็จ แบบนั้นจะให้อ๋องสวรรค์โค่วเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ขอให้เจ้าแต่งงานกับหลานสาวข้า แต่เจ้ายังไม่เอาอีกเหรอ? ทั้งสองฝ่ายได้แปรพักตร์ต่อกันแน่!
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ได้ยินแล้วซาบซึ้งอยู่สักพัก ถ้าเป็นเหมียวอี้ในปีก่อนๆ เกรงว่าคงจะซาบซึ้งสุดๆ แต่เหมียวอี้ในวันนี้ผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ผ่านความเป็นความตายมามากมาย โดนญาติที่เกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงานทรยศจนแทบเอาชีวิตไม่รอดก็เคยมาแล้ว ทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย ญาติที่เกี่ยวดองกันหกฝ่ายทรยศเขาทั้งหมด ทั้งหมดล้วนจะเอาชีวิตเขา ดังนั้นที่บอกว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการรับประกันอะไรนั่น ในสมองเขาอดไม่ได้ที่จะคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ เขาสงบเยือกเย็นขึ้นหลายส่วนแล้ว
…………………………
[1] ฉินฉีซูฮว่า 琴棋书画 คือศิลปะสี่แขนงที่ปัญญาชนร่ำเรียน ได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม(โกะ) การเขียนอักษรจีนและการวาดพู่กันจีน