พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1513 อานุภาพยังหลงเหลือ
ตอนนี้โค่วเหวินหลานเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะแค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวถึงทำให้พ่อบ้านมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ นึกถึงตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อได้รับความสนใจจากตระกูลโค่ว พ่อบ้านก็แค่ถามคำเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้ปฏิบัติด้วยเหมือนมีเรื่องสำคัญแบบนี้
พอนึกถึงภูมิหลังของเหมียวอี้ ในใจเขาก็รู้สึกทอดถอนใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะมีประวัติความเป็นมาอย่างนี้ อาจารย์ของอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก่อนที่ประมุขไป๋จะโด่งดังเสียอีก! พอคำนวณดูแล้ว เกรงว่าตอนนั้นราชันสวรรค์คงจะยังไม่เก่งเท่าไร ในตอนนั้นท่านปู่ตัวเองก็ไม่มีใครชายตาแลเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ลุงรองโค่วฉินก็เรียกเขา “เหวินหลาน ทำไมข้าได้ยินว่าตอนไปเจอหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้ เจ้าพาเหวินจื่อน้องสาวเจ้าไปด้วยล่ะ? ไม่ใช่ว่านิสัยเจ้าอารมณ์ของเหวินจื่อยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อต้องคอยเคารพอยู่ห่างๆ หรอกใช่มั้ย?”
ในตอนนี้เรื่องที่โค่วเหวินหลานปิดบังถูกเปิดโปงแล้ว เท่ากับเป็นการเปิดโปงจิตใจที่เห็นแก่ตัวของบ้านลูกชายคนที่สาม มีความหมายที่ลึกซึ้งแบบนั้น
หางตาโค่วเจิงชำเลืองมองเฒ่าถัง โค่วเหมี่ยนเองก็ขมวดคิ้วสังเกตปฏิริยาของเฒ่าถังเงียบๆ
โค่วเหวินหลานตอบอย่างไม่ลนลานว่า “ลุงรอง ท่านเองก็รู้จักนิสัยของเหวินจื่อ นางเกาะแกะจะออกไปเที่ยวเล่นกับข้าให้ได้ พี่ชายอย่างข้าก็ขัดนางไม่ไหว แต่ข้ารับรองได้ว่าครั้งนี้เหวินจื่อไม่ได้คุยกับหนิวโหย่วเต๋อเลย เรื่องนี้พังพราะเหวินหลานคนเดียว ไม่เกี่ยวกับน้องขอรับ ถ้าลุงรองไม่เชื่อก็ไปสืบถามลูกน้องที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนได้เลย พวกเขาเห็นทุกอย่างกับตาแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้ จะร้อนรนอะไร ข้าก็แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้น จะให้ไปสืบอะไรจากลูกน้องก็เกินไปแล้ว คิดว่าลุงรองจะไม่เชื่อเจ้าเหรอ” โค่วฉินกล่าวกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งใช้สายตาชำเลืองเฒ่าถังอย่างแนบเนียน
สีหน้าของเฒ่าถังสงบเยือกเย็น กล่าวพร้อมรอยยิ้มจืดๆ ว่า “พวกท่านคุยกันไปเถอะ บ่าวยังมีธุระอีกนิดหน่อย” เขากุมหมัดคารวะโดยไม่สนใจว่าคนพวกนี้จะยินยอมหรือไม่ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร หันตัวเดินจากไป เขาเหมือนจะรู้ชัดว่าสามพี่น้องแอบต่อสู้แย่งชิงกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ไม่คิดจะเข้าไปมีส่วนรวม และไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย เพราะการที่สามพี่น้องไม่สามัคคีกันคือสิ่งที่อ๋องสวรรค์โค่วไม่อยากเห็น เขาไม่มีทางไปเติมเชื้อไฟใส่ในนั้น
สามพี่น้องรวมทั้งโค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะส่งพร้อมกัน
หลังจากวางมือลงแล้ว โค่วฉินก็ผิดหวังอยู่บ้าง พูดจาชัดเจนขนาดนั้นแล้ว แต่ผลปรากฏว่าเฒ่าถังไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรสักนิด เฒ่าถังเป็นคนที่ฉลาดขนาดนั้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าเฒ่าถังจะฟังไม่เข้าใจ แต่เห็นได้ชัดว่าตาแก่นี่แกล้งโง่ ที่จริงเขาหวังให้เฒ่าถังสืบให้ละเอียดว่าโค่วเหวินหลานทำอะไรไว้แล้วไปรายงานท่านพ่อ ในบรรดาสามพี่น้อง ลูกชายเขาสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของตระกูลไปแล้ว จะให้เขายอมแพ้ได้อย่างไร
โค่วเจิงกับโค่วเหมี่ยนพากันกวาดตามองเขาอย่างแฝงความหมายล้ำลึก ทั้งสองต่างรู้ว่าตัวเองโดนเจ้ารองโดนวางกับดักแล้ว แต่เรื่องบางเรื่องก็เก็บไว้เพียงในใจ ไม่สามารถฉีกหน้ากันได้ ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้ท่านพ่อโมโห ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย สิ่งที่ท่านพ่อไม่พอใจที่สุดก็คือการที่พวกเขาสาพี่น้องไม่สามัคคีกัน
“น้องรอง น้องสาม พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ” พี่ใหญ่โค่วเจิงพยักหน้าบอก แล้วตัวเองก็หันตัวเดินจากไป
บรรยาไม่ชอบมาพากล โค่วฉินไม่อยากจะอยู่ต่ออีก สุดท้ายก็กล่าวอำลาแล้ว
รอจนคนเดินออกไปแล้ว โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างโมโหนิดหน่อย “ท่านพ่อ ลุงรองทำแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
โค่วฉินกล่าวเสียงเรียบว่า “บังอาจ! ข้าสอนเจ้าไว้ว่ายังไง? ข้าให้เจ้านินทาผู้ใหญ่ลับหลังแบบนี้เหรอ? มิหนำซ้ำลุงรองก็พูดไม่ผิด ถึงยังไงครั้งนี้พวกเราสองพ่อลูกก็ซ่อนความเห็นแก่ตัวเอาไว้ มีอะไรน่าโมโหล่ะ? เขาใจกว้างไม่ซักไซ้ต่อแล้ว ถ้าเจ้ายังวุ่นวายอีกก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวแล้ว พอแล้ว เรื่องผ่านไปแล้ว มีอะไรไม่พอใจก็ปล่อยให้ย่อยลงท้องไป เมื่อเจอลุงรองอีกครั้งเจ้าก็ทำสิ่งที่ผู้น้อยควรจะทำ ถ้ากล้าเสียมารยาทแม้แต่นิดเดียว ข้าจะตดขาเจ้า ไปได้แล้ว!”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง สวนโบราณ เมฆหมอกลอยวนเวียน อิ๋งจิ่วกวงอ๋องสวรรค์อิ๋งนั่งลงหมากอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้ากระดานหมากล้อม บนกระดานแบ่งแยกฝั่งขาวดำชัดเจน แต่กลับไร้คู่ต่อสู้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นหมากล้อมกับตัวเอง
หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา เป็นบ่าวรับใช้เก่าแก่ข้างกายนั่นเอง เป็นผู้ดูแลบ้านจั่วเอ๋อร์ของจวนอ๋องสวรรค์
จั่วเอ๋อร์เรียกเบาๆ อยู่ข้างกายเขา “ท่านอ๋อง!”
อิ๋งจิ่วกวงถือหมากค้างไว้ สายตายังไม่ย้ายออกจากกระดาน ถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “มีเรื่องอะไร?”
จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ข้างนอกมีข่าวลือค่ะ ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี!”
“อสุราอัคนี…” หลังจากอิ๋งจิ่วกวงที่กำลังถือหมากขบคิดตาม ดวงตาสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นหลายเท่า หันกลับมาอย่างสะเทือนใจเล็กน้อย “ยืนยันข่าวหรือยัง?”
“ไม่ทราบเหมือนกันว่าข่าวมาจากไหน ไม่มีทางยืนยันได้ค่ะ” จั่วเอ๋อร์ตอบ
สายตาของอิ๋งจิ่วกวงเหลือบซ้ายเหลือบขวา กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย มือที่คีบตัวหมาตบลงบนกระดานพร้อมเสียงดังปั้ง แล้วจู่ๆ ก็ยืนขึ้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ประมุขชิง โพ่จวิน รังแกกันเกินไปแล้ว! เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้กำพืดหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยส่งหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างไม่กลัวอะไรเพื่อจะให้คำอธิบายกับข้าเท่านั้น ปั่นหวัข้าเหมือนคนโง่จริงๆ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!” ส่วนมืออีกข้างที่กำหมากล้อมไว้หลายเม็ดก็บีบจนมีเสียงดังแกร๊ก
ในขณะที่หมากหลายเม็ดกำลังจะโดนบีบแตก จู่ๆ เขาก็คลายมือออก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์…ถ้าไม่มีมูลหมาไม่ขี้จริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าเสียดายแล้ว”
จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเขาหมายความถึงด้านไหน “น่าเสียดายเหรอ?”
อิ๋งจิ่วกวงพยักหน้าเบาๆ “เป็นคนมีฝีมือที่หาพบได้ยาก! ถ้ารู้แต่แรกคงยุให้หรูอี้แต่งงานกับเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ในเมื่อประมุขชิงถูกใจหรูอี้แล้ว ข้าก็ทำอะไรไมได้เหมือนกัน จั่วเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าในบรรดาหลานสาวข้ามีใครที่หน้าตาและคุณสมบัติดีบ้าง?”
จั่วเอ๋อร์อึ้งไปครู่หนึ่ง พอจะเดาความคิดเขาออกแล้ว เพียงแต่ไม่สะดวกจะตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “หลานสาวท่านอ๋องก็ย่อมมีหน้าตาและคุณสมบัติดีทุกคนอยู่แล้ว”
อิ๋งจิ่วกวงหัวเราะเบาๆ รู้ว่านางไม่กล้าบอก จึงโบกมือแล้วบอกว่า “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย มีหรือที่จะไม่รู้จักความคิดของคนในสังคม กลุ่มเด็กสาวที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เกิด แต่ละคนจะมีทั้งหน้าตาและคุณสมบัติได้ยังไง แค่ไม่เจ้ากี้เจ้าการก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว เจ้าไม่อยากพูดข้าก็ไม่บังคับหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะส่งเรื่องนี้ให้เจ้าคิดต่อ เลือกคนดีๆ มาสักคน พยายามเลือกคนที่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อใจสั่นหวั่นไหวได้”
จั่วเอ๋อร์รู้ว่าเขาต้องการจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงเตือนว่า “ท่านอ๋อง ตอนแรกเขาก่อเรื่องแบบนั้นที่อุทยานหลวง ทำแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”
อิ๋งจิ่วกวงโยนหมากที่เหลือกลับไปบนกระดาน มีเสียงกระเด็นเปาะแปะอยู่พักหนึ่ง “ถ้าสามารถรับศิษย์ของอสุราอัคนีมาเก็บไว้ได้ แค่โดนตบหน้านิดหน่อยจะสำคัญอะไร วันหลังที่เขากลายเป็นหลานเขยที่คุกเข่าหมอบกราบเรียกข้าว่าท่านปู่ แค่นั้นก็กู้หน้ากลับมาได้ทุกอย่างแล้ว เออใช่ ออกคำสั่งลงไปบอกพวกลูกน้องด้วย ว่าอย่าคิดสั้นทำอะไรซี้ซั้ว”
จั่วเอ๋อร์เข้าใจเจตนาของเขา หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ลูกน้องที่อยู่ระดับล่างของตระกูลอิ๋งจะต้องมีคนแสดงผลงานแน่นอน นางจึงพยักหน้ารับคำสั่ง “บ่าวเข้าใจแล้ว”
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวที่ถูกปกคลุมด้วยละอองฝน ใต้ชายคาของเรือนพักที่งดงาม อ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟางที่สวมชุดหรูหราทั้งตัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้ว ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วพยักหน้าบอกว่า “เรื่องนี้อธิบายชัดเจนแล้ว ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมโพ่จวินปกป้องแล้วแต่ยังตอบตกลงให้ส่งเจ้าเด็กนั่นไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สงสัยประมุขชิงจะมีแผนการในใจตั้งนานแล้ว การที่เจ้าเด็กนั่นรอดชีวิตออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์ได้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานยืนยันแล้ว เฒ่าซู ศิษย์ของอสุราอัคนีเชียวนะ ถ้าในอนาคตมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของอสุราอัคนี แบบนั้นก็จะช่วยพวกเราได้เยอะ ข้าอยากได้ตัวเขามาอยู่ฝ่ายเรา แต่คงจะไม่ได้มีแค่ตระกูลเราที่อยากได้เขา เจ้าคิดว่าจะฉวยโอกาสก่อนยังไงดี?”
เฒ่าซูคือสตรีวัยกลางคนหน้าสวยที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตชาย ชื่อว่าซูอวิ้น ทำหน้าที่เหมือนพ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์ แต่ไม่เหมือนกับพ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์อื่นๆ ซูอวิ้นไม่ใช่บ่าวรับใช้ของตระกูลฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางเคารพนางมาตลอด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ซูอวิ้นเป็นหญิงงามรู้ใจของฮ่าวเต๋อฟาง ทั้งสองเคยมีความรักอันน่าซาบซึ้งใจต่อกัน เพียงแต่คู่รักในโลกนี้อาจจะไม่ได้ครองเรือนอยู่ด้วยกันเสียทั้งหมด ด้วยความที่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ต่อให้เป็นอ๋องสวรรค์ฮ่าวในตอนนี้ แต่ปีนั้นก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยต้องแต่งงานกับอีกคนเช่นกัน ก่อนที่ฮูหยินของเขาจะตาย นางก็พะวงเรื่องหนึ่งมาตลอดจนไม่ยอมตายตาหลับ ฮ่าวเต๋อฟางไม่เข้าใจ แต่ซูอวิ้นกลับเข้าใจ ซูอวิ้นจึงสาบานตรงนั้นว่าทั้งชาตินี้จะไม่แต่งงานกับฮ่าวเต๋อฟาง ถึงได้ทำให้ฮูหยินของฮ่าวเต๋อฟางยอมตายตาหลับ
ตั้งแต่นั้นมา ซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่แสดงความรู้สึกต่อกันอย่างเกินขอบเขต ต่อให้จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นแม้เพียงครึ่งก้าว ทั้งยังเป็นฝ่ายวางแผนเรื่องการแต่งงานให้ฮ่าวเต๋อฟางเองด้วย ส่วนฮ่าวเต๋อฟางถึงแม้จะรับอนุภรรยาไว้เพื่อสืบทายาท แต่กลับไม่แต่งงานอีกเลยตลอดชีวิต ตำแหน่งฮูหยินเอกจึงว่างมาตลอด
ซูอวิ้นกล่าวอย่างลังเลว่า “ประเด็นสำคัญของปัญญานี้ก็คือ ประมุขชิงรู้เบื้องลึกของเขาแล้ว จะยอมปล่อยมือง่ายๆ เหรอคะ?”
“เรื่องนี้เอาไว้จัดการอีกทีก็ได้ ข้าอยากได้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เจ้าคิดว่ายังไง?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม
ซูอวิ้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “พวกเราก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรมาควบคุมเขา ตอนนี้มีเพียงการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่จะผูกมัดเขาไว้ได้ เป็นวิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดแล้ว เพียงแต่ทำแบบนี้อาจจะต้องเสียสละผู้หญิงของตระกูลฮ่าวสักคน ท่านอ๋องคิดไว้หรือยังว่าจะเลือกใคร?”
ฮ่าวเต๋อฟางตอบว่า “ไม่นับว่าเสียสละหรอก หนิวโหย่วเต๋อนั่นหน้าตาไม่ได้แย่ ความสามารถก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย สักวันหนึ่งลูกสาวหลานสาวของตระกูลฮ่าวก็จะต้องแต่งงาน แต่งออกไปอาจจะไม่ได้เจอคนที่ดีกว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ มิหนำซ้ำหลังจากจบเรื่องนี้ข้าก็ไม่เสียเปรียบแน่นอน ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ในบรรดาคนที่ยังไม่แต่งงาน เจ้าว่าใครสวยที่สุด?”
ซูอวิ้นยิ้มเจื่อนๆ แบบนี้แปลว่าต้องการจะลงทุนเยอะ นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ชายหนุ่มมากฝีมือที่ตามจีบเยี่ยนจื่อมีเยอะที่สุด”
“ข้าก็คิดว่าเป็นนางเหมือนกัน งั้นก็เยี่ยนจื่อแล้วกัน เจ้าไปจัดการเถอะ” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว
“รับทราบ!” ซูอวิ้นที่แต่งตัวเป็นชายกุมหมัดคารวะ จากนั้นหันตัวจากไป บางทีอาจจะเป็นเพราะเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นเกินไป ชุดบัณฑิตที่อยู่บนตัวจึงดูหลวมโคร่ง
ถึงแม้จะยังมีสง่าราศีอยู่ แต่ฮ่าวเต๋อฟางที่หัวหงอกแล้วก็หันตัวไปมองเงาหลังของนาง ในดวงตาสื่ออารมณ์ซับซ้อน พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้ายังมีช่วงวัยที่งดงาม แต่ข้าแก่แล้ว ไม่ได้คาดหวังอย่างอื่น โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ได้แต่หวังว่าจะปกป้องให้เจ้าอยู่อย่างสงบสุขตลอดชีวิตได้…”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในสวนหยก มีเสียงหัวเราะพูดคุยดังจ้อกแจ้กจอแจ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังเต้นแข่งกันอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม ด้านนอกมีคนล้อมไว้วงหนึ่ง ตรงกลางสลับกันจับคู่ขึ้นไปเต้นไม่หยุด
บนตึกที่อยู่ด้านข้าง โต๊ะและเก้าอี้อยู่ท่ามกลางการปรนนิบัติจากสาวใช้ ด้านหลังโต๊ะยาวที่วางผลไม้หลากสีสันเอาไว้เต็ม อ๋องสวรรค์ก่วงลิ่งกงกำลังมองข้างล่างพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน
สตรีวัยกลางคนที่นั่งแอบอิงอยู่ข้างเขาเรียกได้ว่าหยาดเยิ้มออดอ้อนไร้ที่เปรียบจริงๆ หายากมากในใต้หล้า หน้าอกแบบนั้น บั้นท้ายแบบนั้น ทั้งยังมีเอวที่เพรียวบาง จุดที่อวบอัดก็ทำให้คนใจเต้นแรง จุดที่เพรียวบางก็ทำให้คนมองปราดเดียวแล้วเพ้อฝัน ดวงตางามที่อ่อนโยนราวกับน้ำนั่นเหมือนจะชุ่มฉ่ำออดอ้อนอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มยั่วเย้ากระชากวิญญาณให้คนเหม่อลอยได้ ย่อมไม่ต้องพูดถึงความงามแล้ว ถ้าพูดถึงท่วงท่าออดอ้อนเย้ายวนของนาง ในใต้หล้าก็ไร้เทียมทาน และการที่นางสามารถนั่งเทียบเสมอกัยอ๋องสวรรค์ก่วงได้ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
ในปีแรกๆ ที่สี่อ๋องสวรรค์ติดตามประมุขชิงบุกยึดใต้หล้า คนในครอบครัวก็ล้มตายไปเกือบหมด คนที่แต่งงานรับฮูหยินเอกมีเพียงก่วงลิ่งกง นางก็คือผู้หญิงที่อยู่ข้างกายนี่เอง ชื่อก็มความหมายเหมือนกับตัวนาง ชื่อว่าเม่ยเหนียง เดิมทีผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ก่วงลิ่งกงไม่ได้มีเจตนาจะแต่งงานอีก แต่ตอนหลังเมื่อลูกน้องนำเม่ยเหนียงมามอบให้ อ๋องสวรรค์ก่วงก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ทุนเม่ยเหนียงบ่นไม่ไหว เลยช่วยให้เม่ยเหนียงสมปรารถนาแล้ว
…………………………