พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1514 ความคิดของหวังเฟย
เดิมทีก็ถูกสายลมกรรโชกสายฝนซัดสาดจนตัวเองเข้ามาอยู่ในแผนการอยู่แล้ว พอมาวันเดียวก็ได้เป็นหวังเฟย[1]เลย ทั้งยังเป็นหวังเฟยภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาสี่อ๋องสวรรค์ด้วย ความมีหน้ามีตา ความมีเกียรติยศศักดิ์ศรีก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่รู้ว่าในใต้หล้ามีผู้หญิงมากมายเท่าไรอิจฉาริษยา
เม่ยเหนียงย่อมเข้าใจชัดเจนว่าเกียรติยศความสูงส่งของตัวเองมีสาเหตุมาจากอะไร รู้ว่าต้นทุนของตัวเองคืออะไร แต่นางก็รู้เช่นกันว่าจุดด้อยของตัวเองอยู่ตรงไหน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ฮูหยินคนแรกของอ๋องสวรรค์ก่วง ภายใต้สถานการณ์ที่อ๋องสวรรค์อีกสามคนเสียสละคนในครอบครัวเพื่อ ‘แสวงหาอำนาจ’ และไม่แต่งงานใหม่เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกผิด สิ่งนี้สร้างแรงกดดันให้นางเป็นอย่างมาก นางอาศัยรูปร่างหน้าตาไต่เต้าขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงเกินไป กอปรกับพื้นเพชาติกำเนิดต่ำต้อย รู้สึกไม่ค่อยสมฐานะนิดหน่อย รากฐานค่อนข้างตื้นเขิน
นางรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าการใช้หน้าตาเอาชนะคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องปรนนิบัติใครสักคนในระยะยาว ต่อให้เจ้าจะสวยขนาดไหน แต่ก็จะมีสักวันที่อีกฝ่ายเบื่อหน่าย และนางก็เข้ามาที่จวนท่านอ๋องช้ากว่าคนอื่น ตอนที่นางเข้าจวนท่านอ๋อง อนุภรรยาคนอื่นๆ ของอ๋องสวรรค์ก่วงก็มีทายาทให้อ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เผชิญกับความกดดันจากตำหนักสวรรค์ สี่อ๋องสวรรค์จึงตั้งใจควบคุมจำนวนทายาท นางจึงเสียสิทธิ์ในการสืบสกุลให้อ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว เขาอนุญาตให้นางคลอดลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในตระกูลใหญ่แบบนี้ ลูกชายกับลูกสาวอยู่ในชุดความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ช้าก็เร็วที่ลูกสาวจะต้องแต่งงานออกไป ลูกชายต่างหากที่มีคุณสมบัติในการทำงานสำคัญ ตอนนี้ลูกชายหลายคนของอ๋องสวรรค์ก่วงก็เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหนึ่งในนั้นได้รับอำนาจที่แท้จริงแล้ว มีหรือที่จะนั่งดูมารดาตัวเองอยู่ในฐานะอนุภรรยาเฉยๆ จะต้องหาทางสนับสนุนมารดาตัวเองให้ขึ้นฐานะฮูหยินเอกแน่นอน ทำให้ฐานะของมารดาถูกต้อง ก็เหมือนกับทำให้ฐานะของตัวเองถูกต้องเช่นกัน แบบนั้นถึงจะใช้อำนาจได้อย่างสมเหตุสมผล
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือตำหนักสวรรค์ หลักการ ‘แม่ได้ดีเพราะลูกชาย’ ก็ล้วนได้รับการยอมทั้งใต้หล้า
แต่ถึงอ๋องสวรรค์ก่วงจะโปรดปรานนาง แต่ก็แค่โปรดปรานนางเฉยๆ ให้นางเพียงเกียรติยศความร่ำรวยเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ให้อำนาจที่สอดคล้องกัน ให้นางสนใจแค่เรื่องมโนสาเร่ในจวนท่านอ๋องก็พอ ไม่ให้นางยื่นมือเขามาแทรกงานหลัก นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเพราะอยากจะหา ‘งานหลัก’ ทำสักหน่อย แต่อ๋องสวรรค์ก่วงก็มักจะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า : จะไปยุ่งเรื่องนั้นทำไม เจ้าไม่เข้าใจเสียหน่อย!
สรุปก็คือทุกครั้งเขาจะไล่นางโดยอ้างเหตุผลว่า ‘เจ้าไม่เข้าใจ’ แล้วนางก็ไม่เคยมีงานที่จริงจังผ่านมือมาสักที เขาใช้คำพูดนี้ดักนางไว้ แล้วนางยังจะบ่นอะไรได้อีก?
ดังนั้น ถึงแม้ฐานะของนางจะมีเกียรติ ถึงแม้จะสูงส่งเป็นหวังเฟย แต่อำนาจที่แท้จริงในจวนท่านอ๋องก็สู้บรรดาลูกชายของก่วงลิ่งกงไม่ได้ ภายนอกพวกลูกชายของก่วงลิ่งกงเคารพนอบน้อมต่อนาง แต่นางรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เห็นหัวนางเลย เกรงว่าแต่ละคนคงจะจ้องจะให้มารดาตัวเองมาแทนที่นาง ที่จวนท่านอ๋องนี้นอกจากก่วงลิ่งกงแล้ว คนที่มีอำนจามากที่สุดก็คือพ่อบ้านของจวนท่านอ๋องโกวเยว่ ไม่ใช่หวังเฟยอย่างนางแน่นอน
ดังนั้นตอนที่ก่วงลิ่งกงกำลังมองดูบรรดาหลานสาวและพวกสาวใช้เล่นกัน ความสนใจของเม่ยเหนียงกลับอยู่บนตัวเขา สนใจอารมณ์ของเขาเพื่อจะปรนนิบัติให้ถูกใจ อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน นอกจากจะมีงานราชการเยอะแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาเยอะมากเพื่อฝึกตน ไม่ได้มานั่งว่างแบบนี้บ่อยๆ ขอเพียงแค่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ เม่ยเหนียงก็ย่อมพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ก่วงลิ่งกงมีความสุขที่สุด
คนนอกเห็นเพียงความมีหน้าตามีตาของนาง แต่กลับไม่เห็นความกดดันของนาง
ในขณะนี้เอง ร่างกายของเม่ยเหนียงก็เอนไปข้างหลังเล็กน้อย อาศัยด้านหลังคอของก่วงลิ่งกงบังแดด เหลือบมองชายชราคนหนึ่งที่เดินก้าวยาวเข้ามา เป็นโกวเยว่ พ่อบ้านของจวนท่านอ๋องนั่นเอง ในใจนางรู้สึกเซ็งนิดหน่อย รู้ว่าพอท่านนี้มาจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่นอน ถ้าเป็นเรื่องเล็กคงไม่มารบกวนอารมร์สุนทรีของอ๋องสวรรค์ในเวลานี้ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหาโอกาสอยู่กับอ๋องสวรรค์ได้ เดาว่าครั้งนี้คงจะโดนขัดจังหวะอีกแล้ว
โกวเยว่เดินเข้ามาในตึกศาลาตามทางเดินยาว เขาเอียงหน้าซ้ายขวาบอกใบ้นิดหน่อย บรรดาสาวใช้ที่ล้อมปรนนิบัติอยู่ในศาลาพากันก้มหน้าอย่างเคารพ แล้วทยอยกันถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“ท่านอ๋อง หวังเฟย” โกวเยว่ที่เดินมาข้างที่นั่งหลักทำความเคารพแล้วเงียบไป เขามองไปที่เม่ยเหนียง ถึงแม้จะไม่กล้าพูดอะไร แต่ก็บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้ว ว่าข้ากับอ๋องสวรรค์มีเรื่องสำคัญจะคุยกัน อ๋องสวรรค์ไม่ให้เจ้ามายุ่งเรื่องการเมือง เจ้าก็รู้จักกาลเทศะหน่อยเถอะ
เม่ยเหนียงไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ นางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เอาแต่จ้องฉากอันสนุกสนานรื่นเริงข้างล่าง
ก่วงลิ่งกงที่กำลังจ้องข้างล่างอยู่เหมือนกันสังเกตเห็นแล้วว่าหวังเฟยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเอียงหน้าช้าๆ มองมา แล้วไอแห้งสองที “แค่กๆ” เขาเองก็ไม่สะดวกจะไล่หวังเฟยไปตรงๆ ทำได้เพียงแอบเตือนหวังเฟยว่าให้หลบเลี่ยงไปก่อน
เม่ยเหนียงก้มศีรษะเล็กน้อย บนใบหน้าฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งยังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วย นางบ่นเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋องบอกแล้วว่าวันนี้จะไม่คุยเรื่องงาน บอกแล้วว่าจะอยู่กับข้าและเม่ยเอ๋อร์ทั้งวัน ท่านเห็นมั้ยว่าวันนี้เม่ยเอ๋อร์มีความสุขขนาดไหน พยายามเต้นระบำให้ท่านพ่อของตัวเองดูอยู่ตรงนั้น ท่านอ๋องพูดแล้วคืนคำเหรอคะ?”
สายตาของก่วงลิ่งกงมองไปยังสาวงามคนหนึ่งที่กำลังเต้นระบำอยู่ท่ามกลางผู้หญิงอีกหลายคน ไม่ใช่แค่หน้าตาสวย ที่มากกว่านั้นคือบุคลิกยั่วเย้าออดอ้อน มีลักษณะของดาวยั่วทั้งภายนอกและภายใน ได้รับจุดเด่นจากมารดามาเต็มๆ ทั้งยังมีกลิ่นอายความเยาว์วัยที่มารดานางไม่มี นางชื่อว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนเล็กของเขา สาเหตุที่อายุน้อยที่สุด ก็เพราะเม่ยเหนียงเข้าจวนมาช้าที่สุด ตอนนี้กำลังเล่นอยู่กับรุ่นหลายที่อายุไล่เลี่ยกัน
พอมองไปยังใบหน้าที่น้อยใจของฮูหยินอีกครั้ง ในใจก่วงลิ่งกงก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเอียงหน้าไปอีกข้างแล้วบอกว่า “เรื่องนี้เป็นความลับเหรอ?”
โกวเยว่ชำเลืองมองเม่ยเหนียง แล้วตอบว่า “ก็ไม่ถือว่าเป็นความลับขอรับ”
ก่วงลิ่งกงจับมือที่เรียวยาวอ่อนนุ่มของเม่ยเหนียงมาลูบไล้ในมือตัวเอง พร้อมบอกว่า “ในเมื่อไม่ใช่ความลับ ก็ไม่มีอะไรให้หลบเลี่ยง ว่ามาเถอะ เรื่องอะไร?”
“เป็นเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” โกวเยว่ตอบ
“หนิวโหย่วเต๋อ…” ก่วงลิ่งกงงุนงงไปชั่วขณะ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ถึงขั้นมาเกี่ยวข้องอยู่ในงานประจำวันของเขา หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เขาก็แค่รอดออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เหรอ? มีเรื่องอะไรอีก? ตระกูลอิ๋งลงมือแล้วเหรอ?”
“ได้รับข่าวลือมา มีคนลือกันว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นศิษย์ของอสุราอัคนี” โกวเยว่กล่าว
“อะไรนะ?” ก่วงลิ่งกงร่างกายสั่นสะเทือน สะบัดมือเม่ยเหนียงออกไปโดยตรง แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากหลังโต๊ะยาว มาอยู่ตรงหน้าโกวเยว่แล้วถามเสียงต่ำว่า “ข่าวนี้เชื่อถือได้มั้ย?”
เม่ยเหนียงที่นั่งอยู่ข้างกันลุกขึ้นตามอย่างช้าๆ แววตาเป็นประกายไม่หยุดนิ่ง คิดในใจว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ตัวเองเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่อสุราอัคนีคือใครล่ะ ทำให้ท่านอ๋องตกตะลึงจนเสียอาการขนาดนี้เลยเหรอ?
โกวเยว่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ข่าวจะเชื่อถือได้หรือไม่ก็ไม่มีทางยืนยันได้ แต่เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะเป็นความจริงขอรับ”
“ทำไมคิดอย่างนั้น? อ๋อ…” ก่วงลิ่งกงที่เพิ่งถามไปทำสีหน้าเข้าใจกระจ่างทันที พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ใช่แล้วๆ คงจะเป็นอย่างนี้ มิน่าล่ะ ตอนแรกข้าก็แปลกใจอยู่ ว่าทำไมประมุขชิงถึงส่งคนต่ำต้อยอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปที่หน่วยองครักษ์ซ้าย พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยคงตั้งใจจะชุบเลี้ยงจริงๆ”
โกวเยว่บอกว่า “ใช่แล้ว! โพ่จวินปกป้องเขา แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนี้ไม่เหมือนลักษณะของลาดื้ออย่างโพ่จวิน เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าประมุขชิงรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่แรกแล้ว ตอนหลังก็บอกโพ่จวินด้วยเช่นกัน ถึงได้ทำให้โพ่จวินยอมตอบตกลง นอกจากนี้ การที่หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้เหมือนอสุราอัคนีก็คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด แถมยังได้ยินว่าวรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้วด้วย ก้าวหน้าเร็วมาก ทั้งยังสอดคล้องกับสิ่งที่อสุราอัคนีประสบพอดี! ท่านอ๋อง หากไร้ลมคงไม่เกิดขึ้น หัวหแกต่างๆ ชี้ไปที่จุดเดียว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากจริงๆ”
เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างกายแอบตื่นเต้นเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นเร้าใจยามเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง จากนั้นก็คอยฟังเนื้อหาเรื่องสำคัญอยู่ข้างๆ ท่านอ๋อง นึกไม่ถึงว่าจะได้ฟังเรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่พวกชอบก่อเรื่อง ครั้งนี้ผู้บัญชาการโพ่จวินของหน่วยองครักษ์ซ้ายปกป้อง อีกทั้งประมุขชิงยังตั้งใจจะชุบเลี้ยง อสุราอัคนีนั่นมีภูมิหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวนางจะต้องไปสืบให้ดีๆ สักหน่อยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้บุคคลสำคัญมากมายให้ความสำคัญได้
ก่วงลิ่งกงหรี่ตาพลางครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าเจ้าเด็กนี่มีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของอสุราอัคนีอาจารย์ของเขา ก็จะต้องมีอนาคตไกลไร้ขอบเขตแน่นอน หยกงามขนาดนี้มีหรือที่ข้าจะปล่อยไป ใช้วิธีการอะไรถึงจะดึงตัวเขามาได้ล่ะ?”
โกวเยว่ตอบว่า “ถึงยังไงเขาก็อยู่ในมือประมุขชิง ต่อให้จะอยากมาขอพึ่งพิงเป็นลูกน้องท่านอ๋อง แต่ถ้าประมุขชิงไม่ยอมปล่อยคนก็จะจัดการเรื่องนี้ได้ยาก วิธีการเดียวก็คือ…แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”
ก่วงลิ่งกงพยักหน้า “เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก กลายเป็นเขยของตระกูลก่วงแล้ว ต่อให้ประมุขชิงอยากจะกักตัวไว้ แต่ก็จะฟังดูเหลวไหลแล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่มีประวัติภูมิหลังอะไร หลังจากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้วก็จะกลายเป็นคนของตระกูลก่วงอย่างเต็มตัว ดี!” เขาหันตัวไปมองในกลุ่มผู้หญิงที่กำลังร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน “เจ้าคิดว่าให้ใครแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเหมาะสมที่สุด?”
โกวเยว่ก้าวขึ้นมา กวาดสายตามองไปข้างล่าง ขณะกำลังจะเลือก เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างกันก็กัดฟันแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า “ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งกับเขาก็สิ้นเรื่องแล้วค่ะ”
ก่วงลิ่งกงกับโกวเยว่หันไปมองพร้อมกัน กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ เกือบจะลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ด้วย ทั้งคู่ประหลาดใจเล็กน้อย
ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้ว “เม่ยเอ๋อร์เหรอ? ไม่ค่อยเหมาะมั้ง? เม่ยเอ๋อร์เกิดจากหวังเฟยของข้า เป็นลูกสาวภรรยาหลวงของจวนอ๋องสวรรค์ เอามาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อาจจะเกินไปหน่อย เลือกคนที่เหมาะสมจากรุ่นหลานเถอะ”
เม่ยเหนียงก้าวขึ้นมาคล้องแขนก่วงลิ่งกง “ในเมื่อเป็นลูกของภรรยาหลวง ก็ย่อมต้องเป็นหนังหน้าไฟช่วยแบ่งเบาความกังวลของบิดาอยู่แล้ว! ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ยินก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อได้ยินแล้ว จะแสร้งไม่ได้ยินแล้วปกป้องลูกสาวตัวเอง แต่ปล่อยให้ลูกสาวอนุภรรยาคนอื่นไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้ยังไงคะ ถ้ารู้ไปถึงไหน ชาวบ้านจะไม่ตำหนิแกนหลักอย่างหวังเฟยเหรอคะ! ท่านอ๋อง ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานเถอะค่ะ!” ในแววตาซ่อนการเฝ้าคอย
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากแต่งงานกับลูกสาวนาง คนที่อยากแต่งงานด้วยมีเยอะมาก แต่ก็ต้องดูด้วยว่านางจะชอบหรือไม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนิวโหย่วเต๋ออะไรนั่นคือคนที่นางดูถูกเหยียดหยาม แต่วันนี้ได้ยินหมดแล้ว ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าอสุราอัคนีเป็นใคร แต่คนที่มีคนใหญ่คนโตจับตาดูเยอะขนาดนี้ ขนาดท่านอ๋องบ้านตัวเองยังต้องการจะลงทุนชุบเลี้ยงเลย ขอเพียงตาไม่บอด ก็จะมองออกว่าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อจะมีอนาคตยาวไกล สักวันหนึ่งจะต้องเป็นคนที่กุมอำนาจมหาศาลเอาไว้ในมือแน่!
ลูกหลานของตระกูลใหญ่มาขอแต่งงาน ลูกหลานชนชั้นสูงมาขอแต่งงาน ลูกสาวนางไม่เคยขาดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ที่ขาดแคลนที่สุดก็คือคนที่กุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ขาดคนที่จะมาเป็นที่พึ่งพิงให้พวกนางสองแม่ลูกได้ เมื่อมีที่พึ่งพิงแบบนี้แล้ว พวกนางสองแม่ลูกถึงจะมีความสำคัญที่จวนท่านอ๋องอย่างแท้จริง ถึงจะทำให้พวกนางสองแม่ลูกยึดอกได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ปลอมเปลือกแค่ภายนอก แบบนั้นจะได้ไม่ต้องกังวลว่านางจะเสียตำแหน่งหวังเฟยไปง่ายๆ กับเรื่องพวกนี้ ลูกหลานของตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ทำไม่ได้!
ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางก็อาจจะเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เมื่อได้ยินว่าเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางชนชั้นสูง ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถทำได้ทุกอย่าง หลังจากอยู่ที่จวนท่านอ๋องมาหลายปี ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ไม่ใช่ว่าลูกหลานขุนนางทุกคนจะก้าวหน้าถึงระดับนั้นได้ หลังจากประสบพบเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ บางสถานการณ์การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็มีประโยชน์ แต่บางสถานการณ์ ตอนนี้แต่ละบ้านต่างคนต่างสนใจผลประโยชน์ของตัวเอง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น ไม่สู้ในมือมีลูกเขยที่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้เยอะๆ ดีกว่า
ถ้าไม่ได้บังเอิญได้ยินและได้รู้ก็จะปล่อยผ่าน แต่ในเมื่อนางบังเอิญเจอโอกาสดีแบบนี้แล้ว ต่อให้จะห้ามไม่ให้นางเข้าร่วมการเมือง แต่นางก็แน่วแน่แล้วว่าจะพลาดไม่ได้ ต่อให้นางโดนด่าแต่ก็ต้องช่วงชิงโอกาสให้ลูกสาวให้ได้
…………………………
[1] หวังเฟย 王妃 ตำแหน่งภรรยาเอกของท่านอ๋อง