พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1517 โจรราคะปรากฏตัว
ดาวจิ่วหวน ตลาดสวรรค์ หออวิ๋นฮว๋า ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของอวิ๋นจือชิวกำลังเดินเนิบนาบอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้ ยกมือลูบกลีบดอกไม้เบาๆ แต่งหน้าสุภาพทว่าเย้ายวน สีหน้าซึมเศร้าเล็กน้อย ความรู้หราสง่างามของนาง ท่าทางชดช้อยมีเสน่ห์ของนาง บนเรือนร่างสวยหยาดเยิ้มเผยเสน่ห์เย้าย้วนใจ เป็นผู้หญิงที่หาพบได้ยากของแท้
เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างๆ หลังจากนางหยุดยืนเงียบๆ อยู่หน้าดอกไม้ดอกใหญ่อยู่นานมาก เสวี่ยเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถามเบาๆ ว่า “ฮูหยิน! ใกล้จะถึงวันที่ฉู่จื่อซานจะมาแต่งงานกับท่านแล้ว ทำไมนายท่านยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยล่ะ?”
เชียนเอ๋อร์ก็มีสีหน้ากังวลเช่นกัน ถามว่า “ฮูหยิน หรือว่านายท่านจะติดธุระเรื่องอะไร?”
อวิ๋นจือชิวที่ใช้นิ้วลูบไล้กลีบดอกไม้อย่างอาลัยอาวรณ์ยิ้มเจื่อน “ครั้งนี้เขาโมโหมาก ข้าถามอะไรเขาก็ไม่บอกเลย บอกให้ข้ารออยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์ ไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใช้วิธีเผด็จการกับข้าแล้ว กลับไปคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขายังไง…เฮ้อ! ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์แบบนั้นของเขา ทำเอาข้าอกสั่นขวัญแขวนตั้งแต่เช้ายันค่ำ”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองก็กังวลเช่นเดียวกัน
ตลาดสวรรค์ประตูเมืองเขตเหนือ ชายชุดคลุมดำที่ปิดบังใบหน้าคนหนึ่งกำลังเดินเบาๆ อย่างสบายใจ เดินเข้ามาในเมืองแล้ว
เขาเดินเท้าอยู่บนถนนที่เจรญรุ่งเรืองตลอดทาง ชายคนนี้เหมือนจะไม่สนใจสินค้าอะไรที่อยู่ข้างทาง เพียงเดินไปข้างหน้าเงียบๆ ใบหน้าถูกปิดบังอยู่ภายใต้หมวกงอบ
นอกโรงเตี๊ยม ‘เรือนรับแขก’ ชายชุดคลุมดำหยุดฝีเท้า หันตัวมาช้าๆ แล้วเดินเข้าไป ย่อมมีคนงานออกมาต้อนรับ
เมื่อจ่ายเงินตรงโต๊ะคิดเงินแล้ว คนงานก็นำชายชุดคลุมดำขึ้นไปบนตึก ส่งเข้าไปในห้องพักแขก
คนที่ถอยออกมาและกำลังปิดประตูชำเลืองมองเงาหลังของชายชุดคลุมดำสองครั้ง พึมพำในใจว่า ทำไมรู้สึกว่าคนคนนี้แปลกจัง
คนงานลงมาจากตึก การต้อนรับแลพส่งแขกในโรงเตี๊ยมยังคงเหมือนเดิม
บนตึกมีชายชราคนหนึ่งเดินลงมาอีก เดินตัวสั่นโยกเยกไปคืนห้องและจ่ายเงินตรงโต๊ะคิดเงิน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวงเสี้ยวเทียนเพื่อนซี้ของสวีถังหรานนั่นเอง
ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเขา ทว่าเขากลับฉวยโอกาสตอนที่ผู้จัดการโรงเตี๊ยมพลิกดูสมุดบัญชีเหลียวซ้ายแลขวา หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจับตาดู เขาก็หมอบบนโต๊ะยาวแล้วถ่ายทอดเสียงบอกผู้จัดการว่า “ข้าว่านะผู้จัดการร้าน เห็นเพิ่งเห็นโรงเตี๊ยมของพวกท่านมีคนมาใหม่คนหนึ่ง ทำไมหน้าตาเหมือนเจียงอีอี นักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ล่ะ? ข้าว่าโรงเตี๊ยมของพวกเจ้าคงไม่ได้ซ่อนผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ไว้ใช่มั้ย?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ผู้จัดการร้านก็ตกใจจนมือค้าง เจียงอีอีเป็นใครล่ะ? นั่นไม่ใช่นักโทษหลบหนีธรรมดานะ นั่นคือโจรราคะผู้เลื่องชื่อ ลงมือกับภรรยาของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ถ้าคนแบบนี้เข้าไปอยู่ในตลาดสวรรค์ อย่าว่าแต่ขุนนางชั้นชั้นสูงในตลาดสวรรค์จะเป็นกังวลเลย ถ้าปล่อยให้โจรมาซ่อนในโรงเตี๊ยมของตัวเอง เดี๋ยวต่อไปตลาดสวรรค์จะต้องมาเล่นงานเจ้าของโรงเตี๊ยมตายแน่
ผู้จัดการร้านเบิกตากว้าง “ท่านลูกค้า จะมาพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ?”
หวงเสี้ยวเทียนยักไหล่ “ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ข้าเคยเห็นเจียงอีอีมาก่อน คนที่เพิ่งเจอเมื่อครู่นี้เหมือนจริงๆ เพียงแต่ปิดบังใบหน้าก็เลยเห็นไม่ชัดเจน ไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไปรายงานขุนนางเพื่อรับรางวัลตั้งนานแล้ว”
เมื่อจ่ายเงินเสร็จ เขาก็เดินสั่นหัวออกไปแล้ว เดินออกจากเมืองไปเลย
ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินกลับใจลอยนิดหน่อย แขกที่เพิ่งมาโรงเตี๊ยมเหรอ? เขานึกถึงผู้ชายที่สวมชุดคลุมทั้งตัวและปิดหน้าปิดตา ตอนนี้พอนึกขึ้นได้ก็รู้สึกว่าน่าสงสัยจริงๆ คงไม่ใช่โจรราคะเจียงอีอีจริงๆ หรอกใช่มั้ย?
สุดท้ายเขาก็นั่งไม่ติดที่แล้ว เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา เรียกพนักงานคนก่อนหน้านี้มากำชับอะไรบางอย่าง พนักงานพยักหน้า แล้วก็รีบยกน้ำชาขึ้นไปบนตึก
พนักงานเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องแขกที่เพิ่งจะเข้าไป ปรับอารมณ์อยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคาะประตู
“ใคร?” ในห้องมีเสียงทุ่มต่ำเอ่ยถาม
พนักงานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พนักงานโรงเตี๊ยมขอรับ น้ำชาของลูกค้ามาแล้ว”
“เข้ามา” คนในห้องไม่ได้ปฏิเสธ
พนักงานเปิดประตูเข้ามา พอเข้ามาในห้อง ก็พบว่าแขกที่ปิดผ้าคลุมใบหน้าได้ถอดผ้าคลุมออกแล้ว กำลังยืนมองถนนด้านนอกผ่านซอกหน้าต่างที่แง้มเปิดไปครึ่งหนึ่ง รูปร่างสูงยาว สวมชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวทั้งตัว พอหันกลับมา ก็พบว่าผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาให้เด่น ลักษณะอ่อนโยนสง่างาม โดดเด่นไม่ธรรมดา ดูเจ้าชู้รักอิสระ
แขกคนนั้นเพียงหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็หันหลังให้เหมือนเดิม เหมือนจงใจจะปิดบังอะไรบางอย่าง จากนั้นกล่าวเสียงเรียบว่า “วางของไว้ก็พอแล้ว!” เห็นได้ชัดว่าไม่อยากถูกรบกวนสักเท่าไร
หลังจากพนักงานจำใบหน้านั้นได้แล้ว ก็วางน้ำชาลง แล้วออกมาจากห้องอย่างสุภาพเกรงใจ
พอพนักงานออกมา ชายหนุ่มหน้าหล่อก็รีบเดินไปปิดประตู เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วเปิดประตูเบาๆ มองดูด้านนอกอีก จากนั้นก็รีบถอดชุดคลุมตัวนอก ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เห็นได้ชัดว่าใบหน้ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นผู้หญิงที่สวยเย้ายวนคนหนึ่งแล้ว ลักษณะเหมือนผู้หญิงจากหอนางโลมมาก
พอเปิดประตูอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ก็รีบเดินออกไป
พนักงานโรงเตี๊ยมรีบเดินไปตรงหน้าโต๊ะคิดเงิน ผู้จัดการร้านหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ข้างในมีภาพประกาศจับกุมที่ทางการแจกมาให้ เขายื่นให้พนักงาน แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ดูซิว่าใช่คนในนี้หรือเปล่า”
พนักงานรับมาดู ไม่นาก็เปรียบเทียบคนได้แล้ว อุทานอย่างตกใจมากว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโจรราคะเจียงอีอีผู้โด่งดัง!”
สตรีช่างยั่วเดินลงมาจากชั้นบนและชำเลืองมองสองคนที่กำลังกระซิบกันตรงหน้าโต๊ะยาว แล้วเดินบิดเอวบางออกไป
ผู้จัดการร้านกับพนักงานสบตากันแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขัดอะไร แขกที่โรงเตี๊ยมจะเรียกผู้หญิงจากหอนางโลมมาอยู่ด้วยก็เป็นเรื่องปกติมาก
มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้จัดการร้านก็กำลังตกใจอยู่ เขาไม่ได้บอกพนักงานว่าให้ขึ้นไปดูใคร แต่พนักงานกลับเทียบจนรู้แล้วว่าเป็นโจรราคะเจียงอีอี สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ลูกค้าพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริง โจรราคะเจียงอีอีมาที่โรงเตี๊ยมของเขาแล้วจริงๆ
“เจ้าแน่ใจนะ?” ผู้จัดการร้านถามยืนยันอีกครั้ง
พนักงานยังไม่เลิกทำสีหน้าตกใจ “ผู้จัดการร้าน ถึงแม้เขาจะหันกลับมามองข้าแวบเดียว แต่ก็เหมือนจะตั้งใจผิดบังตัวตน รีบหันหลังให้ข้าเลย แต่ข้ามองไม่ผิดแน่ คนคนนี้หน้าตาหล่อเหลา ไม่ได้มองผิดง่ายขนาดนั้น เหมือนกับคนในภาพวาดนี้เลย ทั้งยังแต่งตัวเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ผิดพลาดแน่นอน…ถ้ามองผิดไป ท่านหักเงินค่าจ้างข้าได้เลย! ผู้จัดการร้าน เจ้าหมอนี่มาพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเรานะ!”
“หุบปาห! ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก…” ผู้จัดการร้านตำหนิเขา ในใจคิดไปคิดมาหลายตลบ ว่าจะไปแจ้งทางการดีหรือไม่
ทว่าคนที่เปิดดำเนินกิจการโรงเตี๊ยม ถ้าแจ้งความลูกค้าก็จะมีผลกระทบไม่ดีจริงๆ อีกฝ่ายมาพักอยู่ที่นี่ ขอเพียงอีกฝ่ายจ่ายเงิน ไม่ได้จ่ายให้เจ้าไม่ครบ เจ้าจะสนใจทำไมว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วอีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมไหน ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าลูกค้าที่มาพักเป็นคนดีหมด ใครจะไปสนว่าลูกค้าจะเป็นคนดีหรือไม่ใช่คนดี ลูกค้าไม่อยากหาที่พักนอกเมืองส่งเดช แต่ยอมจ่ายเงินเข้าเมืองมาพักในโรงเตี๊ยม ก็เพราะว่าอยากได้ความปลอดภัยไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนเลว แต่เมื่ออีกฝ่ายอยู่ครบและออกไปแล้ว ทุกคนก็จะไม่เกี่ยวข้องกัน ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่อะไรกันอีก นี่ก็คือลักษณะของโรงเตี๊ยม
แต่ประเด็นสำคัญของปัญหานี้ก็คือ มีคนค้นพบแล้ว แขกคนก่อนหน้านี้สงสัยแล้วว่าเจียงอีอีมาพักที่นี่ ทั้งยังบอกพวกเขาด้วย ถ้าเจียงอีอีคนนี้ทำผิดที่ตลาดสวรรค์จริงๆ ต่อไปถ้าแขกคนนั้นได้ยินข่าว ก็จะต้องนึกออกแน่ๆ ว่าที่แท้คนใน ‘เรือนรับแขก’ ก็เป็นเจียงอีอีจริงๆ ถ้าแขกไปบอกสิ่งนี้กับข้างนอก ว่าโรงเตี๊ยมของเขาได้รับคำเตือนแล้วแต่กลับไม่รายงาน ถ้าเจียงอีอีไปทำผิดกับผู้หญิงในครอบครัวขุนนางอีก แบบนั้นพวกขุนนางจะปล่อยเขาไปเหรอ!
ถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น เขาก็จะปิดตาข้างเดียวแล้วปล่อยผ่านได้ แต่นี่…
หลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง ผู้จัดการร้านก็ถ่ายทอดเสียงกำชับพนักงานว่า “ไปแจ้งพวกลูกน้อง ว่าให้ทุกคนจับตาดูห้องนั้นให้ดี ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรให้แจ้งข้าทันที”
พนักงานพยักหน้าแล้วไปจัดการ ผู้จัดการร้านเรียกพนักงานคนหนึ่งมานั่งในโถง แล้วตัวเองกฌรีบออกจากโรงเตี๊ยมไป ไปรายงานที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือได้ยินแล้วตกใจมาก เจียงอีอีที่มีความชั่วมหันต์น่ะเหรอ? ถ้าจับคนคนนี้ได้จริงๆ ก็เรียกได้ว่าสร้างผลงานใหญ่ชิ้นหนึ่งแล้ว เป็นเพราะเจียงอีอีล่วงเกินขุนนางไว้เยอะเกินไปจริงๆ!
ทว่าด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน เขารู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าปล่อยให้เจียงอีอีหนีไปได้ เขาก็จะเดือดร้อนเช่นกัน เพราะเจียงอีอีที่หนีรอดหลุดตาข่ายไปได้ทุกครั้งก็ไม่ใช่คนธรรดาเช่นกัน ขนาดใช้คนเยอะขนาดนั้นยังจับไม่ได้เลย แล้วตนจะจับได้เหรอ? เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด อย่างน้อยก็ต้องปิดประตูเมืองทั้งสี่เพื่อป้องกันการหนี แต่ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนืออย่างเขาสั่งปิดได้แค่ประตูเมืองเขตเหนือ ไม่มีอำนาจจะปิดทั้งสี่ประตู
ภายใต้ความจนใจ เขารีบไปที่ตำหนักคุ้มเมือง พอเจอผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เย่อี้ เขาก็รายงานสถานการณ์ให้ฟัง
เย่อี้ที่ออกจากตำหนักหลังมาฟังลูกน้องรายงานหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจียงอีอี? เจ้าแน่ใจนะ?”
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือตอบว่า “ผู้จัดการโรงเตี๊ยมเรือนรับแขกยืนยันแล้ว คาดว่าคงไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้นเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว”
เย่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปตะโกนว่า “ทหาร ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ปิดประตูเมืองทั้งสี่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ ใครขัดคำสั่ง ประหาร…”
ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่รีบพุ่งไปที่โรงเตี๊ยมเรือนรับแขก ล้อมเรือนรับแขกเอาไว้ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างอย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็ปิดประตูเมืองทั้งสี่
ในโรงเตี๊ยมมีแขกจำนวนไม่น้อยตกใจมาก ไม่อยากมีเรื่อง อยากจะออกไปข้างนอก ทว่าสายไปแล้ว พวกเขาโดนดาบและทวนจี้กดดันให้กลับเข้าไปทันที
รอบข้างยังมีกำลังพลกลุ่มใหญ่ตามมาอีก ปิดถนนทั้งสี่ด้านเอาไว้แล้ว เย่อี้ที่สวมเกราะรบเกาะลงมาจากฟ้า กวาดสายตามองโรงเตี๊ยมเรือนรับแขก ข้างหลังมีทหารตามมาแถวหนึ่ง ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือที่อยู่ในนั้นก้าวออกมาจากแถว เดินไปข้างกายผู้จัดการร้านที่กลับมาก่อนล่วงหน้าและตอนนี้กำลังโดนทหารดักไว้ จากนั้นถ่ายทอดเสียงถามว่า “คนยังอยู่มั้ย?”
ผู้จัดการร้านถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ยังอยู่ในห้อง ยังไม่ได้ออกมาเลย”
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือหันไปพยักหน้าให้เย่อี้ทันที เย่อี้จึงแสยะยิ้มและโบกมือ
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือชักดาบใหญ่ออกมา บุกนำไปเป็นคนแรก นำกำลังพลกลุ่มใหญ่บุกเข้าโรงเตี๊ยมอย่างดุร้ายราวกับเสือ ถึงขั้นมีคนไม่น้อยทะลุหน้าออกมา ล้อมเอาไว้โดยไม่ให้หลือมุมอับหรือช่องโหว่
ตรงมุมหนึ่งของถนนที่อยู่ไกลๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์และโดนทหารกันไว้ สตรีที่งามเย้ายวนคนหนึ่งยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันตัวเลี้ยวหายเข้าไปในซอย
ผ่านไปไม่นาน ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือก็หน้าดำคร่ำเครียด มือข้างหนึ่งถือทวน มืออีกข้างดึงคอเสื้อผู้จัดการร้านที่มีสีหน้าขื่นขม ดึงเขาออกมาแล้วผลักไปตรงหน้าผู้บัญชาการใหญ่เย่อี้
เย่อี้มองดูศีรษะของพวกทหารที่ยื่นออกมาเหลียวซ้ายแลขวาจากหน้าต่างโรงเตี๊ยม พอจะตระหนักอะไรได้แล้ว จึงถามเสียงต่ำว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือตอบอย่างกังวลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่เห็นคนแล้วขอรับ”
เย่อี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง แล้วชักกระบี่ออกมาจ่อบนคอผู้จัดการร้าน คอของเขาโดนบาดจนเป็นรอยเลือดแล้ว เย่อี้ถามเสียงเรียบว่า “เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา บังอาจล้อข้าเล่นเหรอ?”
ผู้จัดการร้านโบกมืออย่างหวาดกลัว “ผู้บัญชาการใหญ่ ผู้น้อยมิบังอาจ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เห็นแล้ว บางทีตอนที่กำลังพลกลุ่มใหญ่มาเขาอาจจะไหวตัวแล้ว เขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้”
เย่อี้ก็คิดว่าเขาไม่กล้าเช่นกัน จึงเตะเขากระเด็นออกไป แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ค้นโรงเตี๊ยมทุกซอกทุกมุม ห้ามปล่อยผ่าน ค้นตัวทุกคนอย่างเข้มงวดด้วย จุดไหนที่ซ่อนคนได้ก็ห้ามปล่อยผ่าน ค้น!”
…………………………