พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1527 ได้เป้าหมายแล้ว
ฝั่งอู๋ฉวี่ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ลูกน้องตัวเองทำ ฝั่งโพ่จวินช้าไปหน่อยจึงยังต้องรอคำตอบ
ประมุขชิงทำได้เพียงเฝ้ารอด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เขายังไม่ถึงขั้นบังคับยัดข้อหานี้ให้โพ่จวินทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวินขึ้นมา จะไม่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะหรอกหรือ
เขาเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักใหญ่ ในใจค่อนข้างรำคาญใจ กองทัพองครักษ์ลงมือกับอำนาจท้องถิ่นก็ไม่เป็นหรอก ถ้าสามารถทำให้อำนาจท้องถิ่นอยู่ในระเบียบได้ เขาก็อยากจะให้กองทัพองครักษ์ทำแบบนี้ใจจะขาด แต่ประเด็นสำคัญคือเนื้อไม่ได้กินทั้งยังมีคาวเลือดติดตัวอีก กำลังจะประชุมราชสำนักอยู่แล้ว เขาจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางของพวกอ๋องสวรรค์ยามพูดวินิจฉัยความผิดความถูกแล้ว เส้นบางอย่างทุกคนก็ขีดเอาไว้ชัดเจนแล้ว ทางนั้นไม่ถือวิสาสะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงฝั่งกองทัพองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์ก็ไม่ถือวิสาสะเข้ามายุ่งกับงานของฝั่งนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีทางลงมือล้อมโจมตีโดยตรง ถ้าเป็นฝ่ายกองทัพองครักษ์โจมตีจริงๆ แล้วต่อไปจะแก้ตัวกับขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักอย่างไร? เมื่อถูกจับแล้วก็จะต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เอากองทัพองครักษ์กับอำนาจท้องถิ่นมารวมกันแน่นอน!
โพ่จวินหันกลับไปมองอู๋ฉวี่แวบหนึ่ง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ไม่ใช่คนฝั่งเจ้าทำเหรอ?”
อู๋ฉวี่แอบตอบว่า “พอข้าได้รับรายงานจากข้างล่าง ก็ดำเนินการตรวจสอบทันที กำลังพลหน่วยองครักษ์ขวาทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีใครไปที่น่านฟ้าระกาติง มิหนำซ้ำเดิมทีหัวหน้าภาคของน่านฟ้าระกาติงก็เป็นคนที่ข้ายัดเข้าไปอยู่แล้ว”
โพ่จวินเงียบงันพูดไม่ออก ในใจเริ่มสับสนวุ่นวาย อย่าบอกนะว่าฝั่งตัวเองเป็นคนทำ? ลูกน้องตนจะมีคนใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร! นอกเสียจะเป็นคนโง่ที่โดนน้ำเข้าสมองเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นใครมันจะกล้าก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้?
ทูตขวาเกาก้วนกวาดมองสถานการณ์ในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พอเก็บระฆังดาราในมือ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ข้าน้อยคิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าใครทำ”
ทุกคนหันมองมาพร้อมกัน ประมุขชิงพลันหันตัวมา จ้องเขาพร้อมถามอย่างดุร้าย “ใคร?”
“หนิวโหย่วเต๋อ!” เกาก้วนเอ่ยชื่อออกมาอย่างไม่ยินดียินร้าย
“…” ในตำหนักเงียบทันที
อย่าว่าแต่คนอื่นที่งงเป็นไก่ตาแตก แม้แต่ประมุขชิงเอง เมื่อได้ยินชื่อนิ่งก็อึ้งไปเหมือนกัน ความโกรธบนสีหน้าหาบไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าประลาดใจแทน “หนิวโหย่วเต๋อ? ทำไมคิดอย่างนั้น?”
เกาก้วนใจเย็นสุขุมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา “เพิ่งจะติดต่อกับสายลับหน่วยตรวจการขวาที่อยู่ทางน่านฟ้าระกาติง ดาวจิ่วหวน ให้เขาไปรีบสืบมา พอจะทราบเบาะแสบางเรื่องคร่าวๆ แล้ว ฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงชอบเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าที่อยู่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ต้องการจะบังคับให้นางแต่งงานด้วย อีกนิดเดียวก็จะถึงช่วงเวลาไปรับตัวเจ้าสาวแล้วขอรับ”
พอได้ยินแบบนี้ โพ่จวินก็รู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย พูดขัดอย่างเย็นเยียบว่า “อาศัยแค่จุดนี้ก็ตัดสินแล้วเหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ? อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อ่อนแอ? ก็ใช่อยู่ ตอนที่แต่งงานรับสนมสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อเคยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อ่อนแอมาก่อน แต่นี่เขาบังเอิญเจอพอดี คงไม่ถึงขั้นยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วหรอกมั้ง” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของเขา แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาจะปล่อยให้คนยัดความผิดมาที่หน่วยองครักษ์ซ้ายส่งเดชได้อย่างไร
ประมุขชิงได้ยินแล้วหนังตากระตุก ทำไมโยงมาถึงเรื่องที่ตนแต่งงานรับสนมสวรรค์อีกแล้วล่ะ ตาแก่นี่ช่างขยันพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดจริงๆ จึงตะคอกทันทีว่า “หุบปากของเขาเดี๋ยวนี้ เกาก้วนไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าหรอก ฟังเขาพูดให้จบ”
เกาก้วนไม่เหมือนคนที่จะโมโหได้ กล่าวอย่างใจเย็นต่อไปว่า “สาเหตุที่นายท่านโพ่จวินไม่เชื่อก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าอวิ๋นจือชิว ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เขาเคยมีข่าวลือชู้สาวกับผู้หญิงคนนี้ มีคนไม่น้อยบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว จะจริงหรือเท็จก็ไม่อาจทราบได้ แต่ตอนนี้ฉู่จื่อซานกำลังบังคับให้ผู้หญิงคนนี้แต่งงานด้วยพอดี แล้วคนของกองทัพองครักษ์ก็ลงมือสังหารฉู่จื่อซาน เรื่องราวไม่ได้บังเอิญขนาดนั้น”
สายตาของทุกคนค่อยๆ ย้ายไปบนใบหน้าประมุขชิงและโพ่จวิน อันที่จริงแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงก็สืบเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนที่โพ่จวินถือหางปกป้อง ถ้ายังไม่ได้หลักฐาน ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์เหมือนสุนัขอย่างโพ่จวิน ก็ไม่มีใครอยากไปยั่วโมโห
กล้ามเนื้อบนใบหน้าประมุขชิงกระตุกเล็กน้อย
โพ่จวินหัวใจเต้นตึกตัก พอจับคู่กันสอดคล้องแบบนี้ เขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วเช่นกัน คนอื่นอาจไม่กล้า แต่หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเด็กนั่นอาจจะกล้าทำจริงๆ กล้าก่อความวุ่นวายในงานรับสนมของฝ่าบาทไปแล้ว ยังต้องกลัวที่จะลงมือกับหัวหน้าภาคอีกเหรอ?
แต่เขาก็ย่อมต้องเถียงกลับในจุดที่น่าสงสัย “เกาก้วน ข้ายอมรับว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่ากำลังพลที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อยังผลัดกันประจำการที่อุทยานหลวงกับสวนบรรณาการ จะเอากำลังพลหลายหมื่นจากไหนมาล้อมโจมตีฉู่จื่อซานอะไรนั่น?”
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เกาก้วนหุบปากแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็พูดไปแล้ว
ประมุขชิงกลับข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้ว ด่าโพ่จวินอย่างเดือดดาลว่า “ตาแก่นี่ ยังไม่รีบไปถามอีก อยู่ตรงนี้จะเดาความจริงได้เหรอ?”
โพ่จวินไม่มีความมั่นใจ จึงไม่ได้โต้เถียงอะไร รีบหยิบระฆังดาราออกมาสอบถามเป้าหมาย
หารู้ไม่ว่า ตอนนี้หัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่อยากจะฆ่าเหมียวอี้แล้ว ที่จริงตอนที่เขาเพิ่งโดนหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่สืบถาม เขาก็ชาวาบหนังหัวแล้ว เรียกได้ว่าปวดเศียรเวียนเกล้า พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร
กำลังพลหลายหมื่นของกองมังกรดำเคลื่อนไหว ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ระดมพลไม่ได้ ตอนที่เหมียวอี้ย้ายกำลังพลห้าหมื่นของสวนบรรณาการก่อนหน้านี้ ก็ได้รายงานบอกเขาแล้ว เหตุผลก็คือต้องการจะผลัดเวรกับกำลังพลที่เฝ้าสวนบรรณาการ นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของกองมังกรดำ เป็นการกระทำที่ปกติเช่นกัน พอรายงานมาที่หัวหน้าภาคอวี่แล้ว ขอเพียงหัวหน้าภาคอวี่ไม่คัดค้านก็สามารถทำเนินการได้เลย
กำลังพลห้าหมื่นนี้ไปอยู่ตรงตำแหน่งไหน เขาเองก็รู้แจ่มแจ้งเช่นกัน ตอนนี้กำลังพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง แต่ที่เกิดเหตุดันอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงพอดี เบื้องบนแจ้งมาว่ากำลังพลกองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น มารดาเจ้าเถอะ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำเรื่องนี้ หัวหน้าภาคอวี่อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตาย
แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ในกำลังพลห้าหมื่นนั้นน่าจะมีสายลับของเขาอยู่ด้วยสิ ทัพกลางของทัพเป่ยโต้วควรจะวางแผนเรื่องนี้สิ แต่ทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานขึ้นมาสักคน อย่าบอกนะว่าทัพกลางมีคนปิดบังไม่รายงาน?
เขาจะไปรู้เหรอว่าเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น คนของกองมังกรดำไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็เป็นฝ่ายถูกกระทำให้ลงมือแบบนั้น ตอนนี้ยังหาเวลาว่างหลบคนมารายงานลับต่อเบื้องบนไม่ได้เลย
ขณะกำลังจะติดต่อเหมียวอี้เพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รองหัวหน้าภาคที่อยู่ข้างนอกก็เดินก้าวยาวเข้ามา ตะโกนมาตั้งแต่ไกลๆ ว่า “นายท่าน เกิดเรื่องแล้ว!”
อวี่จ้งเจินที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หลังโต๊ะยาวตอบว่า “ข้ารู้แล้ว กำลังจะสืบเรื่องนี้”
เหลียนเวยพยักหน้าซ้ำๆ เหมือนยังไม่หายโมโห “ต้องสืบสาวให้ดีขอรับ อย่าปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะคิดว่ากองทัพองครักษ์ของเราถูกรังแกได้ง่าย หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนั่นทำเกินไปจริงๆ!”
“…” อวี่จ้งเจินตะลึงงัน เจ้าหมอนี่พูดอะไรออกมา? ไม่ตำหนิหนิวโหย่วเต๋อแต่กลับตำหนิหน้าภาคฉู่จื่อซานว่าทำเกินไป? ไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย? จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เหลียนเวย เจ้าบอกว่าใครทำเกินไปนะ?”
“ก็ต้องเป็นหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนั่นอยู่แล้ว!” เหลียนเวยกล่าวเหมือนตัวเองมีเหตุผลเต็มที่ว่า “ข้าเพิ่งได้รับรายงานหลังจากหนิวโหย่วเต๋อรบเสร็จ หนิวโหย่วเต๋อกำกำลังพลห้าหมื่นของกองมังกรดำไปพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง บังเอิญเจอโจรราคะเจียงอีอีพอดี ก็เลยส่งกำลังพลหนึ่งพันไปรับมือ จะถือโอกาสจัดการโจร ใครจะคิดว่ากำลังพลของฉู่จื่อซานที่ตามมาทีหลังเห็นว่าพวกเราใส่ชุดลำลอง ทั้งยังมีแค่หนึ่งพันคน อีกฝ่ายอาศัยที่ตัวเองมีกำลังพลหนึ่งหมื่น ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเราเผยอาวุธของตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยอมฆ่าปิดปากเพื่อจะแย่งผลงาน รวมตัวกันใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รุกโจมตี ยิงพี่น้องทัพเป่ยโต้วของพวกเราล้มตายไปหลายสิบคน หนิวโหย่วเต๋อย่อมไม่นั่งรอความตาย เรียกรวมกำลังพลห้าหมื่นมาโจมตีกลับทันที กำจัดกำลังพลของฉู่จื่อซานในรวดเดียว ฉู่จื่อซานจึงโดนโทษประหารชีวิตแล้ว!”
ที่จริงในใจเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ถูกทำให้ลุกลามใหญ่โตเกินไป แต่ในเมื่อฝั่งนี้มีเหตุผลที่ฟังขึ้น เขาก็ต้องพยายามปกป้องเหมียวอี้ เพราะไม่มีทางเลือก หนิวโหย่วเต๋อถูกจัดมาให้เขาดูแล ถ้าปล่อยให้ข้อหาใหญ่ขนาดนี้ตกมาที่เหมียวอี้จริงๆ เขาเองก็จะโดนร่างแหให้รับผิดชอบไปด้วยเหมือนกัน ที่จริงตอนที่เขามา เขาก็ด่าเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งมาตลอดทางเช่นกัน ไอ้เวรนี่ เจ้าแค่โจมตีนิดหน่อยก็พอแล้ว หลังจากจบเรื่องจะได้ผลักความรับผิดชอบไปให้ฉู่จื่อซานได้ แต่เจ้าฆ่าหัวหน้าภาคของอาณาเขตดาวรวมทั้งกำลังพลหนึ่งหมื่นทิ้ง แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ!
เขาเองก็จนใจเหมือนกัน ตั้งแต่ใต้บังคับบัญชามีหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกน้อง เขาก็ต้องวิตกกังวลไปด้วยเสมอ ตอนอยู่อุทยานหลวงก็ก่อเรื่องไปถึงหัวราชันสวรรค์ นี่เพิ่งจะถูกปล่อยตัวจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เจ้าก็ก่อเรื่องให้ข้าอีกแล้ว จะให้ข้าอยู่อย่างสงบหน่อยไม่ได้รึไง?
อวี่จ้งเจินฟังจนเบิกตากว้างอ้าปากค้างแล้ว เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ถลึงตาถามว่า “เจ้าหมายความว่า ฉู่จื่อซานพาคนมาโจมตีคนของเราก่อนเหรอ คนของพวกเรากำจัดพวกเขาเพื่อจะปกป้องตัวเองใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ก็เป็นลูกน้องของเขาเช่นกัน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเบื้องบนอย่างไร จู่ๆ ก็มีฟางช่วยชีวิตยื่นเข้ามา มีโอกาสช่วยให้ทัพเป่ยโต้วของตนพ้นผิดแล้ว มีหรือที่เขาจะพลาด
“ไม่ใช่ว่านายท่านรู้แล้วหรอกเหรอ?” เหลียนเวยแปลกใจ
อวี่จ้งเจินกำลังจะอธิบาย ใครจะคิดว่าผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่จะส่งข่าวมาอีกแล้ว สั่งให้เขาสืบสวนหนิวโหย่วเต๋อ
อวี่จ้งเจินรีบหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้โดยตรงเพทื่อถามถึงสถานการณ์ สถานการณ์ที่ได้รับรู้มาก็ย่อมเป็นเหมือนที่เหลียนเวยรายงาน
เขายังไม่วางใจกับสิ่งนี้ รีบเรียกคนของทัพกลางที่รับผิดชอบเป็นสายลับในแต่ละกองมาอีก ให้พวกเขารีบติดต่อตรวจสอบความจริง
ผลลัพธ์ก็ไม่เลวเลย ไม่ใช่แค่หนึ่งคนที่สามารถเป็นพยานได้ แต่เป็นเพราะโดนฉู่จื่อซานโจมตีก่อนอย่างไร้เหตุผลจนต้องลงมือโต้ตอบ แน่นอน ยังมีอีกจุดหนึ่งที่เหมียวอี้ไม่ได้บอก นั่นก็คือหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงโดนเหมียวอี้สั่งประหารแบบ ‘สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น’ แล้ว!
สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น? อวี่จ้งเจินแทบจะด่าแม่ เจ้ามีข้ออ้างให้ฆ่าแล้วก็ฆ่าไปสิ ยังกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะสับหัวหน้าภาคเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นแล้ว? อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาณาเขตของหนึ่งอาณาเขตดาวนะ เบื้องบนไม่มีตำแหน่งรองท่านโหว แต่อีกก้าวเดียวเจ้าตัวก็จะได้เข้าประชุมในราชสำนักแล้ว แต่เจ้าดันสับเขาเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นงั้นเหรอ? ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ต่อให้มีเหตุผลแต่เหตุผลก็จะลดลงสามส่วน ไอ้เวรตะไลนี่! จะให้ข้าเสแสร้งรายงานขึ้นไปอย่างมีเหตุผลรองรับได้ยังไง?
เอาล่ะ! ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่รายงานเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็จะแกล้งไม่รู้ไปก่อนก็แล้วกัน บอกเรื่องที่ทัพเป่ยโต้วจะได้เปรียบไปก่อน ถึงแม้จะรู้ว่าในไม่ช้าก็เร็วตัวเองจะโดนเบื้องบนสอบสวน แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังแกล้งโง่ได้ รีบร้อนสืบเรื่องราวเกินไป จะมีตกหล่นบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก รอให้เบื้องบนได้บทสรุปใหญ่ๆ มาก่อน เรื่องที่สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นจะได้มีผลกระทบเบาลงหน่อย
จากนั้นเขาก็รายงานสถานการณ์ที่ฝั่งนี้สืบได้ไปยังผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่
…………………………