พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1528 ตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนา
อุทยานหลวง ก่อนที่จะเข้าประชุมในราชสำนัก โดยทั่วไปขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค็จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่เรือนพักของตัวเอง นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ตำหนักสวรรค์แบ่งเรือนพักที่อุทยานหลวงเอาไว้ให้ขุนนางใหญ่ทุกคน
ที่เรือนพักของจวนท่านโหวเซวียนหยวน บนตึกเจดีย์ ท่านโหวเซวียนหยวนจัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียงพร้อมทอดสายตามองภูเขาที่อยู่ไกลๆ สวมชุดคลุมยาวน้ำเงินเข้มทั้งตัว ดูสง่างามมีการศึกษา
เพียงแต่อารมณ์บนใบหน้าดูตึงเครียด สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก บนท้องฟ้ามีฟ้าร้องฟ้าผ่าเป็นระยะ นอกตึกมีฝนตกจั้กๆ
เดิมทีเข้าเป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของหน่วยองครักษ์ขวา แต่ถูกเบื้องบนแต่งตั้งให้รับตำแหน่งสำคัญ ย้ายจากหน่วยองครักษ์ขวามาเข้าราชสำนักโดยตรง ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เขาย่อมเป็นผู้ได้ประโยชน์หลังจากเกิดคดีตลาดผีเช่นกัน และฉู่จื่อซานก็คือลูกน้องคนสนิทที่เขาพามาจากหน่วยองครักษ์ขวาด้วย นี่ก็คือสาเหตุที่เขากำลังทำสีหน้าย่ำแย่อยู่ตอนนี้
ข้างหลังเขามีแม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่ชื่อว่าอวี่เลี่ย ถูกเขาย้ายมาจากหน่วยองครักษ์ขวาเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังใช้ระฆังดาราติดต่อกับที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ท่านโหว ติดต่อไม่ได้ขอรับ เกรงว่าจะเอาฉู่จื่อซานคืนมาไม่ได้แล้ว”
“แน่ใจรึยังว่าใครทำ?” เซวียนหยวนจัวถาม
อวี่เลี่ยตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่เรื่องที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมาก็น่าคิดเช่นกัน เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นตอนที่ฉู่จื่อซานกำลังจะไปแต่งงานกับเถ้าแก่เนี้ยร้านค้าร้านหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนพอดี ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่หม้าย ชื่อว่าอวิ๋นจือชิว ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหนิวโหย่วเต๋อ มีข่าวลือว่าทั้งสองได้กันแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ในมือกุมอำนาจทัพใหญ่หนึ่งล้านของกองทัพองครักษ์ ได้ยินว่าถูกปล่อยตัวออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แล้วเรื่องที่ลูกน้องรายงานขึ้นมาก็กันบอกว่าคนที่ล้อมโจมตีคือคนของกองทัพองครักษ์ ข้าน้อยสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ คนที่มีความกล้าที่จะทำแบบนี้ ก็สอดคล้องกับข่าวลือของหนิวโหย่วเต๋อพอดี”
“หนิวโหย่วเต๋อ!” เซวียนหยวนจัวเอ่ยชื่อนี้ออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด ปั้ง! จู่ๆ ก็ใช้ฝ่ามือตบบนราวระเบียง “ถ้าเป็นหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ฉู่จื่อซานนั่นก็ตายอย่างชดใช้ความผิดดไม่หมดอยู่ดี! ขนาดพวกลูกน้องยังรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีเรื่องชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฉู่จื่อซานจะไม่รู้ คนสารเลวที่หน้ามืดตามัวเพราะกามตัณหา ทำตัวกำเริบเสิบสานขนาดนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว เสียแรงที่ข้าให้เกียรติเขา ให้เขาไปรับตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เขาตอบแทนข้าเหรอ?”
อวี่เลี่ยถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ตอนที่อยู่กองทัพองครักษ์ กฎทหารเข้มงวด พวกพี่น้องล้วนเคยใช้ชีวิตลำบากจืดชืด จู่ๆ ก็กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแบบนี้ ตัวอยู่ในโลกแห่งดอกไม้ ในมือกุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายของสรรพสิ่งมากมาย กอปรกับตอนอยู่กองทัพองครักษ์ไม่เคยได้เสพสุขจากการถูกยอยอปอปั้น ข้างกายมีคนขี้ประจบคอยพูดเอาใจต่างๆ นาๆ… ขออภัยที่ข้าน้อยพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด คนที่ลืมตัวและลำพองใจไม่ได้มีแค่ฉู่จื่อซานคนเดียว มีเยอะมากขอรับ!”
เซวียนหยวนจัวหันขวับ แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “แล้วพวกเขาเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วท่านโหวอย่างข้าจะอธิบายกับผู้บัญชาการองครักษ์ยังไง? นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ต้องโดนวิจารณ์ตำหนิมากมาย ลำบากพูดแนะนำต่อหน้าฝ่าบาทกว่าจะผลักดันข้าขึ้นตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ได้ แบบนี้ต้องอาศัยความเชื่อใจระดับไหนกัน นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร ลูกน้องก็ก่อเรื่องใหญ่ระดับนี้แล้ว จะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปพบนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์อีก? หรือจะให้ข้าบอกนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ว่าหัวหน้าภาคใต้สังกัดข้าโดนสังหารเพราะแม่หม้ายคนเดียว?”
อวี่เลี่ยบอกว่า “ทางฝั่งนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ยังคุยง่ายหน่อย แต่ปัญหาใหญ่สุดในตอนนี้คือเบื้องบน เบื้องบนแค่ถามเรื่องนี้เล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับไม่แสดงท่าทีอะไร กำลังจะมีประชุมราชสำนักแล้ว เกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งท่านโหวขอรับ!”
เซวียนหยวนจัวโกรธจนหน้าเขียว มีหรือที่จะไม่รู้ถึงจุดนี้ ถึงแม้ตอนนี้อำนาจท้องถิ่นจะยังยอมรับการมีอยู่ของพวกเขา แต่ในภายหลังจะต้องมีการเล่นแง่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาเหตุที่ยังไม่เคลื่อนไหว ก็เพราะคลื่นลูกใหญ่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะสงบลง ทุกคนล้วนกำลังเลียบาดแผล ไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวใหญ่โตอีก แต่ดูฝั่งเขาทำสิ เป็นฝ่ายโยนจุดอ่อนออกไปก่อน เรื่องที่ฉวยโอกาสได้แบบนี้ มีหรือที่คนพวกนั้นจะพลาดโอกาสโจมตีจุดอ่อนของเขา
เซวียนหยวนจัวหันตัวช้าๆ มองไปทางท้องฟ้าที่มืดสลัวอึมครึมนอกระเบียง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าบอกว่าฉู่จื่อซานออกคำสั่งปิดประตูดวงดาวน่านฟ้าระกาติงแล้วไม่ใช่เหรอ รีบสั่งให้ส่งกำลังเสริมไปรึยัง? ออกคำสั่งไป หาตัวหนิวโหย่วเต๋อให้พบ กำจัดเขาซะ แล้วก็กำลังพลกลุ่มนั้นด้วย อย่าให้เหลือไว้สักคน!”
อวี่เลี่ยตกใจมาก “ท่านโหวไตร่ตรองอีกอีก นั่นคือทัพใหญ่หลายหมื่นของกองทัพองครักษ์นะ!”
เซวียนหยวนจัวพลันหันตัวมาจ้องเขา แล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “งั้นจะให้ข้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? ต้องทำให้สงบทั้งข้างบนข้างล่างสิ การโจมตีในราชสำนักเลี่ยงได้ยาก ถ้าไม่ทำให้เบื้องล่างเห็นว่าข้าทำอะไรบ้าง เบื้องล่างจะคิดยังไงล่ะ? เดิมทีก็มีคนคอยพูดยุยงก่อเรื่องอยู่แล้ว บอกว่าท่านโหวคนนี้มาจากกองทัพองครักษ์ เลยไม่เห็นว่าความเป็นความตายของคนฝั่งนี้สำคัญ ถ้าครั้งนี้ไม่ตอบสนองอะไรเลย เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมารึเปล่า? เดิมทีเบื้องบนก็มีคนจ้องจะกลั้นแกล้งข้าอยู่แล้ว ถ้ายังคุมข้างล่างไม่ไหวอีก แล้วโดนโจมตีขนาบทั้งข้างล่างข้างบน ข้ายังจะเป็นท่านโหวต่อไปได้อีกเหรอ? จุดประสงค์ที่นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ส่งข้ามาคืออะไร? ให้ข้ามานั่งเล่นในตำแหน่งนี้แค่ไม่กี่วันแล้วโดนคนไล่ตะเพิดลงจากตำแหน่งเหรอ? เรื่องนี้ข้าจะต้องให้คำอธิบายกับเบื้องล่าง!”
“แล้วต่อไปจะอธิบายกับกองทัพองครักษ์ยังไงขอรับ?” อวี่เลี่ยถามอย่างร้อนใจ
“แล้วหนิวโหย่วเต๋อเคยพิจารณาเรื่องนี้มั้ยล่ะ?” เซวียนหยวนจัวโมโหมาก แต่น้ำเสียงก็แผ่วลงในทันที กล่าวเสียงเรียบว่า “ฝั่งพวกเราไม่ต้องออกหน้าหรอก แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็พอ อาศัยกำลังพลน่านฟ้าระกาติง จะกำจัดคนแค่ไม่กี่หมื่นไม่ได้เชียวเหรอ? ตอนออกคำสั่งก็ระวังๆ หน่อย หาคนที่เชือ่ถือได้ที่พวกเราพามาจากหน่วยองครักษ์ขวา อย่าให้ใครรู้ว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา”
อวี่เลี่ยมองเขา ทำสีหน้าลังเลคิดไม่ตก
ส่วนเซวียนหยวนจัวก็มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“รับทราบ!” สุดท้ายอวี่เลี่ยก็กุมหมัดคารวะ ถอนหายใจ “เห้อ” หนักๆ แล้วหันตัวจากไป
แต่ไหนแต่ไรมา คนที่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือนั้นควบคุมยากที่สุด อันตรายที่นำมาด้วยก็ตรงไปตรงมาที่สุดเช่นกัน แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ เมื่อมีเหตุผลเพียงพอ ก็จะไม่รับคำสั่งจากเจ้านายที่อยู่ข้างนอกแล้ว! เหมียวอี้ถือวิสาสะใช้กำลังพลทำงานโดยปิดบังเบื้องบน ท่านโหวเซวียนหยวนก็ทำเรื่องนี้โดยปิดบังเบื้องบนได้เช่นกัน ขนาดอวี่จ้งเจินยังไม่รายงานเรื่อง ‘สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น’ ขึ้นไปเลย ทำแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเองเท่านั้น
แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่อวี่จ้งเจินคิด ตอนที่เขาเพิ่งจะรายงานสถานการณ์ขึ้นไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็มีข่าวใหม่รายงานมาอย่างรวดเร็ว
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ฝั่งพวกเหมียวอี้เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว
นักพรตบงกชรุ้งที่สวมเกราะม่วงหนึ่งพันคนกำลังเร่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง พอมาถึงบนฟ้าแล้วมองดูสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็เปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อยอย่างรวดเร็ว ช่วยพริบตาเดียวกลายเป็นทัพใหญ่หนึ่งล้านตำหนักสวรรค์หนาแน่นอยู่เต็มท้องฟ้าแล้ว
หลังจากเห็นศพที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น แล้วจำได้ว่าเป็นกำลังพลของน่านฟ้าระกาติงจริงๆ แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็มีสีหน้าโกรธจัดทันที หลังจากถ่ายทอดเสียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ก็โบกมือหนึ่งที ทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมกำลังพลห้าหมื่นของเหมียวอี้เอาไว้ทันที
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ กำลังพลหนึ่งล้านนี้ก็เผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันเช่นกัน เล็งไปยังกำลังพลกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นที่โดนล้อมไว้จากสี่ด้านแปดทิศ สามารถมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ตามมาติดๆ คือทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง!
เหมียวอี้ทำหน้าเครียด นึกไม่ถึงว่ากำลังพลน่านฟ้าระกาติงจะตามมาเร็วขนาดนี้
ชั่งพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจทีหลังที่ไม่ฟังคำแนะนำของหยางชิ่ง
หยางชิ่งแนะนำว่าถ้าทำสำเร็จตามแผนแล้วก็ให้ถอนกำลังทันทีเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด และเน้นย้ำว่าออกไปทางประตูดวงดาวก็อาจจะไม่อันตรายเสียทั้งหมด วิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดก็คือหลบอยู่ที่อาณาเขตดาวไร้นามแถวๆ นั้น อย่าให้ใครหาเจอ รอให้เบื้องบนมีคำสั่งออกมาจัดการจนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งแล้วค่อยออกมา
เหมียวอี้รู้ว่าหยางชิ่งทำอะไรอย่างระมัดระวังตลอด ไม่ให้ตกอยู่ในอันตรายง่ายๆ แต่ลึกๆ แล้วเหมียวอี้ค่อนข้างดูถูกหยางชิ่งในจุดนี้ ดังนั้นเหมียวอี้จึงเปลี่ยนแปลงแผนการของหยางชิ่งไปเยอะมาก เพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการที่ดาวจิ่วหวน ในจุดนี้เขาปิดบังหยางชิ่งเอาไว้
ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายังชักช้าอยู่ที่นี่ บอกว่าจะรวบรวมกำลังพลกลับอุทยานหลวง แต่ที่จริงเขารู้ว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เบื้องบนคงไม่ให้เขากลับอุทยานหลวงโดยตรงอีก จะต้องส่งคนมาสืบสวนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบออกไป แต่เตรียมจะรอคำสั่งจากเบื้องบนแล้วอ้อมกลับไปรอที่ดาวจิ่วหวนทันที
แต่ใครจะคิดล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าน่านฟ้าระกาติงรวมทัพใหญ่หนึ่งล้านมาที่นี่เร็วขนาดนี้
มีบางอย่างที่เขาไม่รู้ นั่นก็คือ พอ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมโดนจับตัวไป ฉู่จื่อซานก็สั่งให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงออกเดินทางมาที่นี่ทันที เตรียมตัวไล่ล้อมดักไว้เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่ฉู่จื่อซานจะโดนจับตัวไป ก็ออกคำสั่งให้กำลังหนุนทั้งหมดเร่งมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว ในที่สุดคนก็มาถึงแล้ว นี่ยังเป็นแค่กำลังพลส่วนเดียวที่รีบมาถึงก่อน ยังมีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่กำลังมาทางนี้อีก
ทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มมีบรรยากาศตึงเครียดแล้ว มู่อวี่เหลียนตะโกนเสียงดังว่า “เตรียมรบ! เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”
ทัพใหญ่ห้าหมื่นรีบจัดกระบวนทัพ แต่ละคนหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา เตรียมตัวโจมตีกลับกำลังพลที่ล้อมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ
กองทัพองครักษ์?
ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึก พอเห็นกระบวนทัพที่แต่ละคนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่บนฟ้าก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เดาออกทันทีว่ากำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ข้างล่างคงจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ เมื่อเผชิญหน้ากับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ต่อให้ฝ่ายตัวเองจะชนะได้ แต่เกรงว่าจะสูญเสียยับเยินเช่นกัน
ฝั่งเหมียวอี้ก็ย่อมรู้เช่นกัน ว่าถ้าสู้กันขึ้นมาฝ่ายตัวเองก็จะไม่ได้รับผลดีแน่นอน ตกอยู่ในวงล้อมของกำลังทหารที่ได้เปรียบโดยสมบูรณ์แบบนี้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันถึงแม้จะดูเยอะ แต่ถ้ายิงแบบกระจายกัน อานุภาพการโจมตีจะต้องถูกกระจายไปแน่นอน ต่อให้สังหารอีกฝ่ายทิ้งได้ส่วนหนึ่ง กำลังพลฝ่ายตรงข้ามก็สามารถพุ่งสังหารเข้ามาในกระบวนทัพของเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นการตะลุมบอนกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็จะหมดบทบาทแล้ว ยามเผชิญหน้ากับกำลังทหารที่มากกว่าฝ่ายตัวเองยี่สิบเท่า ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทัพใหญ่อันแข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบของการประจัญหน้าจะเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำในมืออีกฝ่ายก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นคันเช่นกัน แค่การโจมตีระลอกเดียวก็สามารถทำให้ฝ่ายนี้สูญเสียสมาชิกจำนวนมากได้แล้ว
ทุกคนของกองมังกรดำต่างก็รู้เช่นกัน ตกอยู่ในวงล้อมแบบนี้แล้ว ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย!
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กังวลยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าโดนกำลังทหารที่เหนือกว่าล้อมไว้อย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ดันมาอยู่ในอาณาเขตของฉู่จื่อซาน ตัวเองเพิ่งจะกำจัดกำลังพลนับหมื่นของฉู่จื่อซานไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นล้อมไว้ เขาก็ยังเจรจาได้ง่ายหน่อย แค่รอเบื้องบนตัดสินเสร็จก็พอ แต่คนที่เขาเผชิญหน้าตอนนี้ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของฉู่จื่อซานทั้งหมด จะมีไมตรีกับเพื่อนร่วมทัพหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ใครจะกล้าเดิมพันว่าคนพวกนี้จะเป็นเศษสวะไร้ความสามารถเสียทั้งหมด
มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ การที่สามารถนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ออกมาได้ ก็เป็นไปได้สูงว่าทั้งหมดจะเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง ในเมื่อเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฉู่จื่อซานจะไม่ควบคุมให้คนพวกนี้มาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเอง ฝ่ายเหมียวอี้สังหารแม่ทัพของอีกฝ่ายไปแล้ว จะไม่ให้อีกฝ่ายเดือดดาลสักนิดเลยเหรอ แบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
…………………………