พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1535 ขุนนางทรราช
กำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นก่อนเข้ากองทัพองครักษ์หรือหลังจากเข้ากองทัพองครักษ์ ก็ยังไม่เคยทำศึกที่จำนวนคนฝ่ายตัวเองกับฝ่ายศัตรูแตกต่างกันมากขนาดนี้มาก่อนเลย อาศัยกำลังพลห้าหมื่นรับศึกกับกองทัพฝ่ายศัตรูที่มีเยอะกว่าฝ่ายตัวเองยี่สิบเท้า! ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะเคยทำศึกใหญ่มาแล้ว ต่อให้จะสู้อย่างดุเดือดขนาดไหน กองทัพองครักษ์ก็อยู่ในสถานการณ์มั่นใจในชัยชนะอยู่ดี ยังไม่เคยร้องขอชีวิตอยู่ในหลุมแห่งความตายแบบนี้มาก่อน
และยังไม่เคยทำศึกที่ดุเดือดขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน ศพเกลื่อนเต็มพื้น แผ่นดินถูกย้อมไปด้วยเลือดสดสีแดง แผ่นดินที่ถูกพลิกมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่ายังโดนย้อมเป็นสีแดงเลือดเหมือนเดิม!
เป็นศึกเลือดที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ! แต่สภาพกลายเป็นแบบที่เห็นตรงหน้านี้แล้ว
คนที่รอดชีวิตมาได้ ทั้งร่างกายและจิตใจราวกับได้ผ่านพิธีล้างบาปมาแล้วหนึ่งครั้ง
มู่อวี่เหลียนที่ยืนน้ำตานองอยู่ตรงหน้าศพลูกน้องคนสนิท ในที่สุดก็ได้สัมผัสเองกับตัวแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ความสำเร็จของนายทหารชั้นสูงหนึ่งคน แลกมาด้วยกองกระดูกนับพันนับหมื่น’ เพราะศพทหารพวกนี้ทำให้นางมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ศพทหารเหล่านี้ได้ปูเส้นทางอันเรืองรองไว้ให้นาง และคนที่รบตายพวกนี้ก็จะถูกลืมเร็วมาก
ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด มู่อวี่เหลียนห้ามน้ำตาลำบาก ในบรรดาทุกสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้า สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือความเสียใจและรู้สึกผิด เสียใจที่ตัวเองในอดีตเคยเป็นคนไร้ยางอายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกลาภยศเงินทอง!
เหมียวอี้ที่บนตัวค่อนข้างสะอาดยืนอยู่บนภูเขาหินก้อนหนึ่งไกลๆ เพียงลำพัง เขากำลังเงียบงัน
สำหรับกำลังพลที่ทำศึกครั้งนี้ เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าเวทนา แต่สำหรับเขาแล้ว เขาเคยผ่านประสบการณ์ตอนทำศึกที่ฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูมีความแตกต่างกันมาก่อน ดุเดือดรุนแรงกว่านี้ ตอนอยู่ที่แดนอเวจีเขาบุกเดี่ยวเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งล้าน แค่เขาคนเดียวก็ฆ่าไปแล้วหลายพันคน
เพียงแต่ทั้งสองศึกนี้ไม่อาจเอามาเทียบกันได้…
อุทยานหลวง เรือนพักท่านโหวเซวียนหยวน เซวียนหยวนจัวที่สวมชุดเครื่องแบบราชสำนักเดินก้าวยาวออกไปนอกประตูใหญ่ กำลังจะเข้าไปประชุมราชสำนัก
ตอนที่เพิ่งเดินออกจากประตู จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเรียกดังขึ้น “ท่านโหว!”
เซวียนหยวนจัวหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมอง เห็นอวี่เลี่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแย่ จึงขมวดคิ้วถาม่วา “เป็นอะไรไป? ได้ข่าวทางนั้นมารึยัง?”
ในดวงตาอวี่เลี่ยฉายแววสับสน แล้วพยักหน้าช้าๆ กล่าวอออกมาอย่างยากลำบากว่า “ทางน่านฟ้าระกาติงพลาดแล้ว”
เซวียนหยวนจัวขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวไปเตรียมจะเหาะขึ้นฟ้า แต่จู่ๆ อวี่เลี่ยก็พูดเสริมว่า “ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงที่ล้อมปราบทัพใหญ่ห้าหมื่นนั่นรบแพ้แล้วขอรับ! แพ้ยับเยิน! ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านถูกทัพใหญ่ห้าหมื่นตีพัง ความเสียหายจากการรบนับรวมได้ประมาณห้าแสนห้าหมื่นคน มีเพียงกำลังพลสี่หมื่นกว่าที่หนีรอดไปได้!”
“อะไรนะ?” เซวียนหยวนจัวอุทานเสียงหลง หันขวับมามองเขา แล้วเบิกตากว้างถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านโดนกำลังพลห้าหมื่นตีพ่าย? รบตายไปห้าแสนห้าหมื่นคน?”
อวี่เลี่ยพยักหน้าอย่างยากลำบาก “น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ ไปตรวจสอบกับคนมาแล้วมากมาย ตอนนี้ทัพใหญ่ที่โดนตีพ่ายยังกลับมาไม่หมดเลย”
เซวียนหยวนจัวกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ต่อให้ในทัพใหญ่ห้าหมื่นนั่นจะมียอดฝีมือบงกชกลาย ต่อให้เป็นยอดฝีมือบงกชกลาย แต่การจะฆ่าหมูหนึ่งล้านตัวก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หมูมันก็ต้องวิ่งหนีไปทั่ว ทำไมถึงรบตายไปตั้งห้าแสนห้าหมื่นคนได้? มันรบศึกนี้กันยังไง? อย่าบอกนะว่าในห้าหมื่นคนนั้นมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่เยอะ?”
อวี่เลี่ยกล่าวอย่างเศร้าโศกเสียใจว่า “ตามรายงาน! อีกฝ่ายไม่มียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเลย ไม่มียอดฝีมือบงกชกลายด้วย มีแค่นักพรตบงกชรุ้งร้อยกว่าคน ส่วนที่เหลือเป็นนักพรตบงกชทองทั้งหมด อาวุธที่ยอดเยี่ยมของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่ได้แย่กว่าพวกเขาเช่นกัน”
“เหลวไหล!” เซวียนหยวนจัวโมโหแล้ว ตะเบ็งเสียงถามว่า “แล้วมันทำศึกกันยังไง? อย่าบอกนะว่ายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าตามใจชอบ?”
“หนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นแม่ทัพหาญที่หาพบได้ยากจริงๆ…” อวี่เลี่ยรายงานสถานการณ์การรบที่รวบรวมได้ทันที
เซวียนหยวนจัวที่ฟังจบแล้วเผยความดุร้ายบนใบหน้า กัดฟันกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “เหยียนชุน! ถ้าเจ้าไม่ตาย ข้านี่แหละจะสับเจ้าเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเอง!”
“ท่านโหว ตอนนี้จะทำยังไงดีขอรับ?” อวี่เลี่ยถาม
เซวียนหยวนจัวตกอยู่ในความเงียบ หลังจากยืนเงียบอยู่นานมาก ใบหน้าที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ บรรเทาลงแล้วเช่นกัน จู่ๆ ก็ถามว่า “แล้วความเสียหายฝั่งหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไงบ้าง?”
อวี่เลี่ยตอบว่า “รู้รายละเอียดไม่ค่อยชัดเจนขอรับ คนมากมายขนาดนั้น อย่างมากก็เหลือประมาณหมื่นกว่าคนขอรับ เกรงว่าจะมีความเสียหายจากการรบแปดส่วน!”
“หึหึ! เหลือทหารเหนื่อยๆ อยู่แค่หมื่นกว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะขับไล่จนทัพใหญ่หลายแสนหนีหัวซุกหัวซุน ตลกแล้ว! เป็นเรื่องที่ตลกมากจริงๆ!” เซวียนหยวนจัวหัวเราะลั่น แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจ “ช่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ดีจริงๆ! ทหารนับหมื่นพันหาได้ง่าย ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง! ถ้าได้ขุนพลพยัคฆ์แบบนี้ ก็เทียบเท่ากับได้กองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านแล้ว!”
อวี่เลี่ยจึงกล่าวว่า “ฝั่งน่านฟ้าระกาติง ทหารที่หลบหนีมารวมตัวกับกำลังหนุนหนึ่งล้านที่ตามมาทีหลังแล้วขอรับ ข้าสั่งให้ทางนั้นล้อมไว้แล้ว ให้ปราบกำลังพลที่เหลือหนึ่งหมื่นกว่านั่นให้หมด”
“ไม่ต้องแล้ว!” เซวียนหยวนจัวส่ายหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย
“ทำขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าจะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้?” อวี่เลี่ยตกใจ
เซวียนหยวนจัวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้ายังคิดว่าสิ่งนี้จำเป็นอยู่อีกเหรอ? เจ้าคิดว่าฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจะไม่รายงานขึ้นไปขอความช่วยเหลือรึไง? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวก็พอแล้ว ถ้าทำสำเร็จสักครั้งก็พอแล้ว จะทำซ้ำๆ อีกได้ยังไง? เจ้าคิดว่าเบื้องบนจะดูไม่ออกเหรอว่าการล้างแค้นของทัพใหญ่หนึ่งล้านนี้มีข้าบงการอยู่เบื้องหลัง? เพียงแต่ถ้าไม่มีหลักฐาน ทุกคนก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ฝ่าบาทก็จะปิดตาข้างเดียวไม่สืบสาวเอาเรื่องข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะทำเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะแย่น่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ ถ้าทำแบบนี้ต่อไปไม่จบไม่สิ้น เจ้าจะให้ฝ่าบาทคิดยังไง? จะให้ผู้บัญชาการองครักษ์มองข้ายังไง? จะให้ฝั่งกองทัพองครักษ์ทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง? กำลังพลระดับล่างที่อยู่ฝั่งนี้ ข้าก็ให้โอกาสพวกเขาไปแล้ว แต่พวกเขาคว้าโอกาสไม่ได้เอง! ให้จบลงตรงนี้แล้วกัน ฝ่าบาท นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์ แล้วก็ขุนนางเต็มราชสำนักล้วนเข้าใจ ว่าการที่ข้าทำแบบนี้ถือว่าใจกว้างเมตตาแล้ว! ในตอนที่ราชสำนักเทียบกับกองทัพองครักษ์ไม่ติด ทุกเรื่องล้วนมีขอบเขต ทำอย่างพอเหมาะพอควรก็กลับจะทำให้ฝ่าบาทเข้าใจความเหนื่อยยากลำบากใจของข้าด้วยซ้ำ ให้ฝ่าบาทมองข้าในระดับที่สูงขึ้นหน่อย เข้าใจมั้ย?”
อวี่เลี่ยมองเขาอย่างตะลึงงัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเข้าใจเรื่องราวหรือไม่ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้บัญชาการองครักษ์ถึงต้องแนะนำให้ท่านหัวหน้าภาคขึ้นมานั่งตำแหน่งท่านโหว เป็นเพราะไม่ใช่ว่าหัวหน้าภาคทุกคนของกองทัพองครักษ์จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้…
วังสวรรค์ ตำหนักหยกอันงดงาม นอกตำหนักฟ้าดินที่สูงใหญ่เต็มไปด้วยสวนของฤดูใบไม้ผลิ ขุนนางหลายร้อยทยอยกันมาถึง โค่ว อิ๋ง ฮ่าว ก่วง สี่อ๋องสวรรค์ทยอยกันปรากฏตัว ทุกคนทำความเคารพกัน
สี่อ๋องสวรรค์ทักทรายปราศัยกัน ยืนอยู่ตรงตำแหน่งแรกที่ตีนบันไดนอกตำหนัก ระหว่างนั้นก็คุยกันบ้างเป็นครั้งคราว
ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วท่าที่ค้ำไม้เท้าก็เดินเนิบนาบเข้ามา ทุกคนทำความเคารพอีกครั้ง เมื่อเดินมาอยู่ข้างหน้าสุด สี่อ๋องสวรรค์ก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านปู่สวรรค์”
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ และคุยเล่นเรื่อยเปื่อยระหว่างกัน เมื่อเห็นว่าโยงไปโยงมาแต่ไม่เข้าประเด็นหลักสักที เซี่ยโห้วท่าจึงหรี่ตาพร้อมถามว่า “อ๋องสวรรค์ก่วง ได้ยินว่าน่านฟ้าระกาติงของเจ้าเกิดเรื่องนิดหน่อยเหรอ?”
ก่วงลิ่งกงตอบเสียงเรียบว่า “เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ตอนนี้ยังสืบไม่ชัดเจน กำลังให้คนสืบอย่างละเอียดอยู่พอดี ท่านปู่สวรรค์ข่าวไวเชียวนะ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะหรือขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองอีกสามคนที่ยังนิ่งเฉยใจเย็นเหมือนจะไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องที่ยังไม่มีหลักฐาน ตาแก่คนนี้ก็แค่ฟังมาเท่านั้น ชี้แนะอะไรไม่ได้หรอก”
คนที่อยู่ข้างๆ เห็นคนพวกนี้กำลังพูดจาเหมือนทายปริศนา พวกเขาจึงแกล้งโง่ตาม บางคนก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก่วงลิ่งกงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งที่สั่นออกมา แล้วถือโอกาสวางไว้ในแขนเสื้อ ใช้เวลาไม่นานก็ทำสีหน้าตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด เขาหันหน้ามาช้าๆ สายตาไปหยุดตรงท่านโหวเซวียนหยวนที่อยู่ในกลุ่มคนข้างหลัง แล้วก็จ้องเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
สายตาของอ๋องสวรรค์อีกสามคนวูบไหว จู่ๆ เห็นเซี่ยโห้วท่าถือระฆังดาราอันหนึ่งเข้าไว้ในแขนเสื้อ แล้วไม่นานก็เห็นเซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าตกตะลึงอีก เห็นเขาหันหน้าช้าๆ ไปหาท่านโหวเซวียนหยวนที่อยู่ในกลุ่มคนข้างหลังเช่นกัน
อ๋องสวรรค์ทั้งสามหันไปมองท่านโหวเซวียนหยวนเช่นกัน แต่กลับเห็นท่านโหวเซวียนหยวนมีสีหน้าสงบใจเย็น กำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนร่วมงาน เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ไม่รู้จริงเหรอ? ความคิดบางอย่างปิดบังทั้งสามไม่ได้ เรื่องที่สามารถทำให้เซี่ยโห้วท่ากับก่วงลิ่งกงเสียอาการต่อหน้าฝูงชนต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ตอนนี้กำลังจะเข้าประชุมราชสำนักแล้ว ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรเอ่ยขึ้นในราชสำนัก แต่ทางนี้กลับไม่รู้สถานการณ์อะไรเลยสักนิด แบบนั้นจะไม่ลนลานทำอะไรไม่ถูกหรอกเหรอ
อ๋องสวรรค์ทั้งสามแทบจะหยิบระฆังดารามาวางในแขนเสื้อแล้วติดต่อคนของตัวเองพร้อมกัน สั่งให้รีบตรวจสอบ!
“น่านฟ้าระกาติงแย่งผลงาน? ทั้งยังจะฆ่าปิดปากด้วย? ไม่อาจนั่งรอความตายถึงได้โจมตีกลับเหรอ?”
ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงสีหน้าขรึมเครียด เขายืนอยู่ตรงหน้าโพ่จวิน เอามือไขว้หลัง ถามกลับทีละประโยค แล้วสุดท้ายก็ถามเน้นย้ำทีละคำว่า “เจ้าเชื่อเหรอ?”
พวกซ่างกวนชิงนิ่งเงียบ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าในนั้นเกี่ยวข้องกับอวิ๋นจือชิว เกรงว่าทุกคนคงจะเชื่อไปแล้วจริงๆ
โพ่จวินกลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขามีความมั่นใจเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขชิง เป็นคนที่กล้าชี้หน้าด่าประมุขชิงด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกทำให้เสียความมั่นใจขนาดนี้ ถูกประมุขชิงสืบสวนจนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ว่ากันตามจริง เขาเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ว่า…เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้างล่างรายงานขึ้นมาตามความจริง ไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ภายในเวลาสั้นๆ ขอรับ ข้าน้อยก็ทำได้เพียงอธิบายตามเรื่องที่เกิดขึ้นจริง”
ประมุขชิงโมโหแล้ว ชี้หน้าโพ่จวินพร้อมด่ายับ “ตาแก่ปัญญาทึบ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้าก็กำลังถือหางปกป้อง! กองทัพองครักษ์ของข้าขาดการควบคุมแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก?”
โพ่จวินกุมหมัดคารวะ ไม่เกรงใจเลยสักนิด เถียงกลับไปตรงๆ เลยว่า “ข้าน้อยไม่ได้ถือหางปกป้อง แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบความจริง จึงไม่สะดวกจะหาข้อสรุปขอรับ ต่อไปถ้าตรวจสอบเจอว่าหนิวโหย่วเต๋อเล่นไม่ซื่อจริงๆ กฎทหารของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”
ประมุขชิงหัวเราะแห้งๆ “เจ้ายังกล้าปากแข็งอีก! ชัดเจนแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นวางกับดักให้คนของน่านฟ้าระกาติงเข้าไปติด คิดว่าข้าโง่รึไง! เจ้าลูกลิงนั่นนับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นแล้ว ยิ่งนับวันจะยิ่งไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา…” เขาหันขวับ แล้วตะคอกใส่เกาก้วนว่า “เกาก้วน สั่งให้หน่วยตรวจการขวาจับตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเดี๋ยวนี้ ลงโทษอย่างหนักให้ใต้หล้าได้เห็น!”
เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง หยิบระฆังดาราออกมากำลังจะปฏิบัติตาม แต่ใครจะคิดว่าโพ่จวินจะตะคอกอย่างโมโหว่า “ขุนนางทรราช! เจ้ากล้าเหรอ!”
เกาก้วนที่โดนด่าว่า ‘ขุนนางทรราช’ อึ้งนิดหน่อย ในมือถือระฆังดารามองไปที่ประมุขชิง
ประมุขชิงถลึงตาจ้องโพ่จวินอย่างเดือดดาล แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ! เจ้าว่าอะไรนะ? ในสายตาของเจ้า คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าเป็นขุนนางทรราชหมดเลยใช่มั้ย? ในสายตาเจ้าข้าคือทรราชคนหนึ่งใช่มั้ย?”
ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาระงับไฟโกรธได้เสมอ แต่กับโพ่จวินเขาทำไม่ไหวจริงๆ เพราะคนอื่นเห็นเขาเป็นประมุขของใต้หล้า มีเพียงโพ่จวินเท่านั้นที่ยามอยู่ต่อหน้าเขาแล้วนึกจะด่าก็ด่า ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด สำหรับคนที่เป็นประมุขสูงส่งอย่างเขา ก็ไม่อาจทนข่มไฟโกรธนั่นได้อีกแล้ว!
โพ่จวินตอบอย่างโมโหว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบให้ชัดเจน จะขาวจะดำก็ยังไม่รู้ชัด แต่ก็ลงโทษขุนนางตำหนักสวรรค์แล้ว เอากฎสวรรค์ไปวางไว้ตรงไหนแล้วล่ะ ถ้าเกาก้วนไม่ใช่ขุนนางทรราชแล้วจะเป็นอะไร?”
ประมุขชิงโมโหจนตัวสั่น แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับด่าตนว่าเป็นทรราช เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เกาก้วนทำแบบนี้ จู่ๆ เขาก็ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทหาร! ลากตาแก่ปัญญาทึบนี่ออกไปประหาร!”
…………………………