พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1536 โพ่จวินที่ขวยอาย
ผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่แห่งหน่วยองครักษ์ขวาถลันตัวเข้ามายืนตรงหน้าคนพวกนั้น กางมือในแนวขวาง ขวางพวกเขาเอาไว้ “ฮึ่ม!” ถลึงตาจ้องพวกเขาอย่างดุร้าย
การกระทำนี้ทำให้กลุ่มคนมองหน้ากันเลิกลั่ก หยุดอยู่เงียบๆ ไม่ขยับไปไหน ในใจกลับแอบโล่งใจ
พวกเขาเองก็ไม่อยากลงมือกับโพ่จวินเช่นกัน พวกเขาเป็นลูกน้องของโพ่จวินครึ่งหนึ่ง เป็นลูกน้องของอู๋ฉวี่ครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อราชันสวรรค์มีคำสั่ง พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ ต่อให้เข้ามาแล้วลังเลเล็กน้อย แต่ราชันสวรรค์ก็สามารถประหารพวกเขาได้ภายใต้ความเดือดดาล
อย่าไปมองว่าการมาทำงานในวังสวรรค์ที่ผู้คนมากมายอยากจะเห็นแต่ไม่มีโอกาสนั้นมีหน้ามีตาอะไรนัก ที่จริงอยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ถ้าประมุขชิงที่อยู่ในวังสวรรค์อยากจะฆ่าใครก็เป็นเรื่องที่สั่งแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับขุนนางภายนอก ยังมีกฎมากมายที่ผูกมัดประมุขชิงได้
“อู๋ฉวี่ เจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?” ประมุขชิงชี้หน้าถาม
“ข้าน้อยมิบังอาจ!” อู๋ฉวี่หันตัวมา แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! แค่หนิวโหย่วเต๋อผู้ต่ำต้อยตายไปคนเดียวก็ไม่พอให้เสียดาย ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ ถ้าฆ่าทิ้งโดยไม่แม้แต่จะสืบหาความผิด สิ่งที่จะสูญเสียก็คือชื่อเสียงอันดีงามของฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรอง” เขาไม่ได้พูดเรื่องโพ่จวิน แต่เบี่ยงประเด็นไปที่หนิวโหย่วเต๋อ
ซือหม่าเวิ่นเทียนแห่งหน่วยตรวจการซ้ายก็รีบก้าวขึ้นมาเช่นกัน แล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการองครักษ์ขวากล่าวมีเหตุผล ฝ่าบาท! แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะฆ่าช้าหรือฆ่าเร็วก็ไม่สำคัญอะไรเลย สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อนฆ่าก็ยังไม่สาย”
ซ่างกวนชิงก็กุมหมัดคารวะเช่นกัน “ฝ่าบาท! ทุกเรื่องล้วนอิงตามกฎระเบียบของตำหนักสวรรค์ แต่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวไม่มีค่าพอให้ฝ่าบาทเดือดดาล ทำตามกฎดีกว่าขอรับ”
กฎระเบียบ? พอผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างเขาเอ่ยปาก ประมุขชิงก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ถ้าจะบอกว่าในใต้หล้านี้โพ่จวินทำให้เขาเดือดดาลได้มากที่สุด เช่นนั้นซ่างกวนชิงก็คือคนที่ทำให้เขาสงบลงได้มากที่สุด นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญว่าทำไมซ่างกวนชิงถึงได้กลายเป็นผู้การใหญ่ของวังสวรรค์
ประมุขชิงรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงกระโดออกมาปกป้อง เป็นเพราะเขาไม่อาจล้ำเส้นกฎระเบียบไปฆ่าหนิวโหย่วเต๋อกับโพ่จวินโดยตรงได้ ถ้าลงมือขึ้นมาโพ่จวินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน และถ้าประมุขแห่งใต้หล้าอย่างเขาต้องการจะทำแบบนี้ ก็ไม่มีใครขัดขวางเขาได้เช่นกัน ที่จริงใช่ว่าเขาจะไม่เคยล้ำเส้นกฎระเบียบแล้วฆ่าคนภายใต้ความเดือดดาล แต่เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ ก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ได้
สาเหตุก็เข้าใจง่ายมาก เพราะกฎระเบียบในใต้หล้าเป็นสิ่งที่เขาตั้งขึ้นมาเอง ที่ตั้งกฎระเบียบนี้ขึ้นก็เพื่อสร้างกฎเกณฑ์ในการลำเลียงทรัพยากรในใต้หล้าให้ส่งมาที่เขา เขาถึงได้เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดของกฎระเบียบนี้ ในเมื่อเขาไม่อยากให้คนอื่นมาทำลายกฎ ขาเองก็ย่อมต้องเป็นผู้นำที่เคารพกฎด้วย ถ้าเขามองข้ามกฎระเบียบนี้ขึ้นมาเมื่อไร กฎระเบียบนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ถ้าเบื้องบนทำเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างก็จะทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาต่างหากที่เป็นเสารักษาเสถียรภาพของกฎระเบียบนี้ ถ้าเขาอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ต่างอะไรกับพระปีศาจหนานโป
เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ คนในใต้หล้าก็พากันร้อนอกร้อนใจ เหมือนกับที่กลัวพระปีศาจหนานโปในปีนั้น เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ทุกคนล้วนอยากให้พระปีศาจหนานโปตาย สุดท้ายแม้แต่ศิษย์ของพระปีศาจหนานโปก็ยังคิดจะเล่นงานพระปีศาจหนานโปให้ถึงตาย ถ้เมื่อไรที่คนในใต้หล้าล้วนอยากให้ประมุขชิงตายไวๆ เช่นนั้นเวลาตาของเขาก็จะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว กำลังของคนคนเดียวต้านทานทวนในที่แจ้งกับเกาทัณฑ์ในที่ลับของทุกคนในใต้หล้าไม่ไหวอยู่ดี การวางแผนลับต่างๆ มักทำให้เขาตายได้สักวัน พระปีศาจหนานโปก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ที่พวกเขากระโดดออกมาไม่ใช่เพื่อปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ แต่เพื่อปกป้องกฎระเบียบนี้ การปกป้องกฎระเบียบนี้ก็เท่ากับปกป้องพวกเขาเอง ไม่อย่างนั้นก็จะกังวลว่าสักวันหนึ่งสถานการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
ความจริงแล้ว ที่บอกว่าจะฆ่าโพ่จวินก็เป็นแค่การพูดตามอารมณ์โกรธเท่านั้น ถึงแม้โพ่จวินจะเจ้าอารมณ์ แต่ก็จงรักภักดีไม่มีใครเทียบ ในจุดนี้ทำให้ประมุขชิงวางใจมาก ถ้าต้องการจะฆ่าโพ่จวินจริงๆ เหตุผลก็มีเยอะเกินไป โพ่จวินเองก็มักจะทำผิดข้อหา ‘หลอกลวงเบื้องบน’ บ่อยๆ ถ้าต้องการจะฆ่าก็ฆ่าได้ทุกเมื่อ
แต่ถ้าจะเปลี่ยนให้คนอื่นมาคุมหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
ที่จริงประมุขชิงก็เข้าใจดีมาก ต่อให้เมื่อครู่นี้จะไม่มีใครห้าม ถ้าองครักษ์ต้องการจะคุมตัวโพ่จวินออกไปจริงๆ แต่ข้างนอกก็จะรอให้เขาหายโกรธก่อนแล้วค่อยถามยืนยันอีกครั้ง เสร็จแล้วค่อยทำโทษประหารจริงๆ และสุดท้ายเขาก็จะได้แค่ปล่อยให้จบไป เขาเพียงต้องการกลั่นแกล้งโพ่จวินเพื่อระบายความโมโหเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นประมุขชิงมีสีหน้าบรรเทาลงเรื่อยๆ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจจะรอให้ประมุขชิงตบปากตัวเองแล้วคืนคำพูด ซ่างกวนชิงรีบโบกมือให้องครักษ์ที่พุ่งเข้ามา “มัวยืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้? นี่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมายืนอึ้งเหรอ? ยังไม่รีบถอยออกไปอีก!”
กลุ่มแม่ทัพเกราะแดงมองปฏิกิริยาของประมุขชิง เมื่อเห็นประมุขชิงไม่มีความเห็นแย้งต่อเรื่องนี้ ก็เท่ากับอนุญาติแล้ว พวกเขาถึงได้ทยอยกันออกไปจากตำหนักดาราจักร
พวกอู๋ฉวี่แอบโล่งใจ
ประมุขชิงที่ข่มไฟโกรธในใจได้แล้วเอียงหน้ามองโพ่จวินที่กำลังสบตากับตนอย่างโกรธเคือง แล้วด่าว่า “ตาแก่ที่สมควรตาย!”
พอโพ่จวินเอียงหน้า ทุกคนก็เครียดทันที นึกว่าเขาจะเถียงด้วยคำพูดเหยียดหยาม แต่ใครจะคิดว่าเขาจะหยิบระฆังดาราอันหนึ่งที่กำลังสั่นออกมา ทำท่าทางตั้งใจฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวมา
แต่ไม่นานทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พบว่าโพ่จวินสีหน้าแปลกไป เหมือนออกมาจากการโต้เถียงด้วยความเดือดดาลในชั่วพริบตาเดียว บนใบหน้าฉายแววงุนงงและตกตะลึง
ทุกคนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เห็นเขาเขย่าระฆังดารารีบตอบไปอีก ไม่รู้ว่ารีบร้อนขนาดนี้เพราะเรื่องอะไร
ประมุขชิงเอียงหน้าเหล่ตามองเขา รู้ว่าในมือโพ่จวิน นอกจากเรื่องของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็แสดงว่าทางหน่วยองครักษ์ซ้ายมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง
สายตาของคนอื่นๆ ก็กำลังสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ในใจต่างกำลังพึมพำว่า มีเรื่องอะไรกัน?
เห็นได้ชัดว่าถามกลับไปกลบัมาพักใหญ่ เสร็จแล้วถึงได้เห็นโพ่จวินค่อยๆ เก็บระฆังดารา แล้วมองประมุขชิงอย่างตะลึงงัน ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ประมุขชิงรอให้เขาพูด ผลปรากฏว่ารอนานแล้วไม่เห็นเขาเอ่ยปากสักที ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว “มีอะไรก็รีบพูดว่า!”
โพ่จวินที่เมื่อครู่นี้ยังหยิ่งจองหอง ในเวลานี้กลับเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง พูดอึกอักอย่างขวยอายว่า “เกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงอีกแล้วขอรับ”
ทุกคนแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยเห็นโพ่จวินมีท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?” ประมุขชิงขมวดคิ้ว
โพ่จวินตอบว่า “น่านฟ้าระกาติงรวบรวมทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านไปล้างแค้น ล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของหนิวโหย่วเต๋อ”
เกาก้วนที่มีใบหน้าเย็นชาพลันจ้องไปที่หน้าของโพ่จวิน
ประมุขชิงโมโหอีกแล้ว “พวกฝูงหมาที่สวมควรตาย เห็นกำลังพลที่ใช้จ่ายทรัพยากรของมหาศาลตำหนักสวรรค์เป็นกองทัพส่วนตัวของตัวเองไปแล้วรึไง คิดจะเรียกไปใช้งานยังไงก็ได้ตามใจชอบงั้นเหรอ?” แต่ไม่นานก็นึกอะไรบางอย่างไร หันไปถามอู๋ฉวี่อีก “น่านฟ้าระกาติงถูกควบคุมโดยเซวียนหยวนจัวที่เจ้าแนะนำไปไม่ใช่เหรอ?”
อู๋ฉวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ขอรับ!”
ประมุขชิงหรี่ตาเล็กน้อยพลาลูบเครา ในร่องตาวูบไหวเล็กน้อย ไม่เอ่ยถึงเรื่องเซวียนหยวนจัวอีก แต่ถามกลับโพ่จวินว่า “คาดว่ากำลังพลห้าหมื่นนั่นคงตายหมดแล้วใช่มั้ย?”
“เปล่าขอรับ!” โพ่จวินตอบเสียงเบา
ประมุขชิงขานรับ “อ้อ” แล้วถามอีกว่า “แล้วยังเหลืออีกเท่าไร?”
“เหลือรอดอยู่หนึ่งหมื่นกับอีกไม่กี่ร้อยขอรับ” โพ่จวินตอบ
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “สงสัยน่านฟ้าระกาติงจะลงมือแบบปรานี ไม่ได้ฆ่าให้ตายหมด เพียงแต่จะปล่อยตัวการไปไม่ได้ หนิวโหย่วเต๋อล่ะ?”
ทุกคนได้ฟังน้ำเสียงของเขาก็เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะสืบสาวเอาเรื่องเซวียนหยวนจัว แต่คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่างจากเซวียนหยวนจัวไกลมาก เซวียนหยวนจัวมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัยกว่า ไม่มีใครกำจัดท่านโหวทิ้งเพื่อแม่ทัพภาคคนเดียวหรอก มิหนำซ้ำหนิวโหย่วเต๋ออาจจะโดนกำจัดไปแล้วก็ได้ การจะถอดท่านโหวเพื่อคนตายคนเดียวก็ยิ่งไม่คุ้ม สิ่งไหนสำคัญกว่าก็แยกแยะได้ไม่ยาก
“หนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่สบายดีขอรับ” โพ่จวินยังคงตอบเสียงเบาเช่นเดิม
ประมุขชิงอุทาน “เอ๋” แล้วกล่าวอย่างงุนงงว่า “ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงไปล้างแค้นไม่ใช่เหรอ? ปล่อยคนอื่นไปก็ยังพอฟังขึ้น แต่ปล่อยตัวการอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปเหรอ?อย่าบอกนะว่าปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไป?”
โพ่จวินอึกอักครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กัดฟันบอกว่า “ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อหนีไป แต่หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลธงพยัคฆ์ห้าหมื่นโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกแล้ว”
“…” ประมุขชิงมองเขาอย่างตะลึงงัน
ในตำหนักดาราจักรเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกได้ ทุกคนทำท่าเหมือนนึกว่าฟังผิดไป มองไปที่โพ่จวินอย่างอึ้งๆ
ส่วนนอกวังสวรรค์ กลุ่มขุนนางต่างก็สังเกตเห็นความผิดปกติของสี่อ๋องสวรรค์กับท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ทั้งห้าคนไม่คุยกันแล้ว แต่ละคนได้แต่ยืนด้วยท่าทางที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน
ก่วงลิ่งกงได้รับข่าวก่อนเพราะเรื่องเกิดขึ้นที่อาณาเขตตัวเอง ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วก็มีช่องทางข่าวสารที่ไม่ธรรมดา จึงได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว โค่วหลิงซวี อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟางก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติของทั้งสองเช่นกัน หลังจากรีบสั่งให้คนรีบสืบแล้วถึงได้รู้ข่าว
คนทั่วไปอาจจะไม่มีกำลังทรัพย์และความสามารถในการควบคุมมากพอที่จะวางกำลังสายลับเอาไว้ในแต่ละพื้นที่ แต่เห็นได้ชัดว่าสี่อ๋องสวรรค์มีกำลังทรัพย์และความสามารถนี้ แต่ละอาณาเขตดาวล้วนมีคนของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้สายลับเบื้องล่างจะไม่ได้เข้าร่วมศึกใหญ่ที่น่านฟ้าระกาติง แต่ในฐานะที่เป็นสายลับของท้องถิ่น เมื่อโดนเบื้องบนเร่งเร้าก็รีบติดต่อทหารหลบหนีแล้วถามสถานการณ์จนรู้ทุกอย่างแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ข่าวก็เริ่มแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนแล้ว
จุดที่ทำศึกกันห่างจากดาวจิ่วหวนไม่ไกล กอปรกับดาวจิ่วหวนเป็นที่ตั้งของตลาดสวรรค์ นักพรตที่ไปมาที่นี่จึงมีเยอะ จุดที่ทำศึกกันก็สะท้านฟ้าสะเทือนดิน คนที่อยู่ระหว่างทางตกใจเสียง จะไม่ให้เข้าไปดูสักหน่อยก็คงยาก พอได้เห็นก็พบว่าเป็นการต่อสู้ขนาดใหญ่ จึงพากันตกใจมาก ถึงแม้ทุกคนจะกลัวว่าตัวเองจะซวยไปด้วยจึงหนีห่าง แต่คนที่ได้เห็นสถานการณ์ตอนก่อนและหลังทำศึกก็มีอยู่แล้ว พอนำข่าวมารวมกันก็พอจะวางเค้าโครงเรื่องได้
พอคนพวกนี้กลับมาที่ตลาดสวรรค์ ข่าวจะไม่แพร่ออกไปได้อย่างไร
ดังนั้นความเงียบในตำหนักดาราจักรจึงถูกทำลายแล้ว นอกจากประมุขชิง โพ่จวินและอู๋ฉวี่แล้ว ซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนก็ทยอยกันหยิบระฆังดาราออกมา ทุกคนต่างก็ได้รับข่าวแล้ว
ประมุขชิงหันกลับมามองพวกเขา
ซ่างกวนชิงที่ได้รับข่าวมองไปที่โพ่จวินด้วยแววตาล้ำลึก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนก็มองไปที่โพ่จวินเช่นกัน แล้วสุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ได้รับรายงานมา ที่อาณาเขตดาวใกล้ๆ ดาวจิ่วหวนเกิดศึกใหญ่ขึ้น จากสถานการณ์ที่รวบรวมมา ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งล้านของตำหนักสวรรค์ล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์หลายหมื่น ฝ่ายหลังเอาชนะได้ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่า สังหารทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไปหลายแสน โจมตีจนพ่ายแพ้ แล้วไล่สังหารทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อีกหลายแสน! สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดยังไม่ราบแน่ชัดขอรับ”
สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่บนตัวซ่างกวนชิง จากนั้นซ่างกวนชิงก็พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้
ไม่ได้มองไปที่เกาก้วนอีก ประมุขชิงหันขวับไปมองที่โพ่จวิน แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “กำลังพลห้าหมื่นของหนิวโหย่วเต๋อจะตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกได้ยังไง? ตาแก่ตาแก่ปัญญาทึบอย่างเจ้ากลายเป็นคนพูดอึกอักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร รายละเอียดเป็นยังไง รายงานเดี๋ยวนี้!”
…………………………