พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1539 ถ้าไม่โดนอิจฉาแสดงว่าเป็นคนฝีมืออ่อนด้อย
เมื่อเห็นว่ายั่วให้ท่านพ่อโมโหอีกแล้ว โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็รีบแก้ไขสถานการณ์ “แล้วอวิ๋นจือชิวนั่นจะไร้ไมตรีเหมือนหนิวโหย่วเต๋อรึเปล่าขอรับ?”
โค่วหลิงซวีถลึงตามองลูกชายคนรอง เคาะนิ้วทั้งห้าบนที่วางมือพลางถามว่า “แรงกดดันจากอีกสามอ๋องนั่นจะต้านทานได้ง่ายๆ เหรอ?”
โค่วเจิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว จึงยิ้มพร้อมตอบว่า “เกรงว่าอีกสามอ๋องคงจะไม่เลิกหากไม่บรรลุเป้าหมาย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อปฏิเสธพวกเขา ทางอวิ๋นจือชิวจะต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลแน่นอน ที่บอกว่าแรงกดดันมหาศาลก็ยังเบาไปด้วยซ้ำ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งอีกสามอ๋องกดดันมากเท่าไร ตระกูลโค่วก็จะยิ่งปกป้องอวิ๋นจือชิวได้ดีที่สุด เกรงว่าไม่ตอบตกลงคงไม่ได้แล้ว”
โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ แล้วจินตนาการตามพลางอมยิ้มเล็กน้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือยิ้มเจ้าเล่ห์ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรอดูอะไรสนุกๆ
จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เว่ยซูเดินช้าๆ อยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนัก
หลังจากพูดจบ เซี่ยโห้วท่าก็ยิ้มเล็กน้อยพลางชี้แนะอีก “เจ้าคิดว่าทำไมข้าจึงทำอย่างนั้น?”
เว่ยซูยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านกำลังป้องกันเหตุไม่คาดคิด ป้องกันไม่ให้ประมุขชิงไม่เข้าใจ ถึงได้เตือนประมุขชิงไป หลังจากประมุขชิงเข้าใจแล้ว ก็ย่อมไม่ให้เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสี่อ๋องสวรรค์สำเร็จ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อที่ทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้ ต่อให้จะไม่เป็นอะไรแต่ก็ต้องโดนลงโทษอยู่ดี ในภายเวลาสั้นๆ นี้เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะใช้งานหนิวโหย่วเต๋อในตำแหน่งสำคัญ ไม่อย่างนั้นจะได้รับการนับถือได้ยังไง? พอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าจะไม่มีใครได้ลูกศิษย์ของอสุราอัคนีไปทั้งนั้น แบบนี้จะมีประโยชน์กับตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเราที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วจะได้แอบติดต่อกับเขาอย่างลับๆ ได้สะดวก แยกเขาออกจากอำนาจฝ่ายอื่นๆ พวกเราจะได้สืบได้สะดวกว่าเบื้องหลังของพวกเขาเป็นใครกันแน่ ไม่ทราบว่าเว่ยซูพูดถูกหรือไม่ขอรับ?”
“เด็กมีอนาคตสอนได้!” เซี่ยโห้วท่าลูบเคราพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ
เว่ยซูกลับกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “แต่เว่ยซูกลับกังวล นายท่านบอกเป็นนัยแบบคลุมเครือ ประมุขชิงจะมองออกเหรอ?”
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “ก็ต้องคลุมเครือหน่อยสิ ถ้าให้สี่อ๋องสวรรค์รู้จะไม่หาว่าข้าแสเรื่องชาวบ้านหรอกเหรอ? ส่วนจะมองออกหรือไม่นั้น ข้าแน่ใจว่าเขาจะต้องมองออก ข้าส่งสายตาให้ซ่างกวนชิงไปแล้ว ถ้าเขายังไม่เข้าใจก็แสดงว่าโง่แล้ว”
เว่ยซูอึ้งทันที รู้สึกว่าน่าสนใจ หัวเราะเบาๆ เช่นกัน
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ศาลางดงามหลังหนึ่งบนไหล่เขาที่กว้างโล่งและมีทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหตุการณ์ในศาลาก็พบเห็นได้ยากจากที่อื่น เจ้านายกับผู้ดูแลบ้านกำลังนั่งดื่มสุราด้วยกัน
“กำลังพลไม่ถึงครึ่งธงพยัคฆ์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายได้! นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นขุนพลที่เหี้ยมหาญขนาดนี้!” ซูอวิ้นผู้ดูแลบ้านที่รินสุราให้ฮ่าวเต๋อฟางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ฮ่าวเต๋อฟางทอดสาตามองไปไกล ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ดังนั้นเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จึงต้องพยายามให้เต็มที่!”
ซูอวิ้นวางกาสุราลงเบาๆ “ที่จริงข้าควรจะไปเป็นเพื่อนเยี่ยนจื่อด้วยตัวเอง ถึงจะแสดงความจริงใจที่สุด”
ฮ่าวเต๋อฟางหันหน้าช้าๆ ไปมองนาง “รู้รึเปล่าว่าทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าไปด้วยตัวเอง?”
ซูอวิ้นยิ้มอย่างขื่นขม “ท่านอ๋องกลัวว่าหลังจากข้าทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองแล้ว จะทำให้คนในบ้านนินทาข้าลับหลัง ในภายหลังข้าจะเผชิญหน้ากับพวกเขาลำบาก”
ฮ่าวเต๋อฟางยกสุราดื่มแล้วบอกว่า “นี่เป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลเท่านั้น เพื่อให้การจับคู่สำเร็จ ข้ากำชับลูกน้องไว้แล้ว ว่าเมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ให้ใช้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนากับหนิวโหย่วเต๋อได้”
ซูอวิ้นเงียบไป ย่อมรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาคืออะไร เขาไม่อยากให้นางไปทำเรื่องสกปรกแบบนั้น
นางหยิบกาสุรารินให้เขาเงียบๆ อีกครั้ง
ฮ่าวเต๋อฟางกลับยกมือกดเบาๆ คว้ามือที่เรียวขาวของนางเอาไว้ แล้วมองนางเงียบๆ
ซูอวิ้นมือสั่นเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านอ๋อง การที่ข้านั่งตีเสมอกับท่านก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว คนในใต้หล้าต่างก็รู้ว่าท่านสาบานกับฮูหยินเอาไว้ ถ้าล้ำเส้นกว่านี้ เกรงว่าข้าคงจะไม่มีหน้าอยู่ในจวนท่านอ๋องต่อไปแล้วจริงๆ”
“ในปีนั้นเจ้าไม่ควร…” ฮ่าวเต๋อฟางออกแรงจับมือนางด้วยสีหน้าสื่ออารมณ์ซับซ้อน
ซูอวิ้นยิ้มเบาๆ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว แบบนี้ก็ดีมากแล้วค่ะ ข้าพอใจมาก”
ฮ่าวเต๋อฟางคลายนิ้วทั้งห้าออกอย่างช้าๆ…
ในห้องเล็กสวยประณีตหลังหนึ่งกำลังถูกหามด้วยคนสิบหกคน กำลังแล่นด้วยความเร็วอยู่ในดาราจักร โกวเยว่สวมผ้าฝ้ายหยาบทั้งตัว ยืนอยู่ข้างราวบันไดด้านนอกห้อง ในมือกำลังถือระฆังดาราติดต่อกับใครบางคน
ในห้องที่อยู่ข้างหลังม่านไข่มุกงดงาม สองแม่ลูกที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาแต่ก็ปิดบังความงามล่มเมืองได้ยากกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงในนั้น
“จำไว้นะ ทุกการกระทำของเจ้าตอนอยู่ข้างนอกคือสิ่งที่แสดงถึงภาพลักษณ์ของจวนท่านอ๋อง ห้ามหยิ่งผยองเอาแต่ใจเด็ดขาด ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ควรจะมีลักษณะของผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน เข้าใจใช่มั้ย?” เม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะชี้แนะลูกสาวที่กำลังนอนหมอบริมหน้าต่างมองดูดวงดาวด้านนอก
ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันกลับมามองอย่างจนใจมาก นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ ตลอดทางมานี้ท่านพูดแบบเดิมให้ข้าฟังหลายรอบแล้วนะคะ ข้าจำได้แล้ว ข้าไม่ทำลายภาพลักษณ์ของจวนท่านอ๋องหรอก”
“นางหนูตัวแสบ แม่หวังดีกับเจ้านะ เจ้าทนรำคาญไม่ไหวเหรอ” เม่ยเหนียงบ่นแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางหนึ่งที
หลังจากในห้องสงบลง เม่ยเหนียงเห็นว่าโกวเยว่ที่อยู่ข้างนอกกำลังใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนอยู่ตลอด คิดไปคิดมาก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย รอจนกระทั่งโกวเยว่หยุดทำแบบนั้นแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะถามแทรกว่า “พ่อบ้านโกว มีเรื่องอะไรเหรอ?” นางกังวลว่าเรื่องราวจะมีการเปลี่ยนแปลง
โกวเยว่หันตัวมาเงียบๆ เดินมาตรงข้างๆ ม่านไข่มุกที่กั้นอยู่ แล้วตอบว่า “หวังเฟย มีคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อกำลังก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงนิดหน่อยขอรับ”
เม่ยเหนียงงงงัน นางเองก็รู้เช่นกัน ก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงหรอกเหรอ ถึงได้แน่ใจว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหนแล้วตามมา แต่การที่โกวเยว่เอ่ยแบบนี้หมายความว่าอะไร?
“หนิวโหย่วเต๋อ? ใช่แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อที่อุทยานหลวงนั่นรึเปล่าคะ?” ใครจะคิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะพลันหันหน้ามาแล้วยืนขึ้น เดินมาตรงหน้าประตูแล้วแหวกม่านไข่มุกออก
พอเม่ยเหนียงเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ ถึงความหมายของโกวเยว่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกจะพูดตรงๆ ว่าจะพาลูกสาวมาดูตัว เพราะกลัวว่าจะพามาไม่ได้
“เป็นหนิวโหย่วเต๋อนั่นแหละขอรับ” โกวเยว่พยักหน้ายิ้ม
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำสีหน้าแปลกใจทันที “ข้าเคยได้ยินเรื่องเขามาก่อน ได้ยินว่าคนนี้กำเริบเสิบสานมาก เขาโดนฝ่าบาททำโทษขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถ่อไปก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงได้ล่ะ?”
“พ้นโทษมาครึ่งปีแล้วขอรับ” โกวเยว่ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องอะไร?” เม่ยเหนียงเดินเข้ามาถามด้วย
โกวเยว่ยิ้มเจื่อน “ครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่ไปหน่อยจริงๆ…” เขาเล่ารายละเอียดให้ฟังทันที เล่าเรื่องฉู่จื่อซานโดนประหารที่เม่ยเหนียงรู้อยู่แล้วให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องศึกเลือดของธงพยัคฆ์น้ำเงินกับทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ฟังจนตกตะลึงอ้าปากค้าง
เม่ยเหนียงกลับอุทานถามเสียงแตก “ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อร้ายกาจขนาดนี้เชียวเหรอ?” นึกไม่ถึงว่าตอนหลังจะยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นอีก
โกวเยว่เหล่ตามองก่วงเม่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วกล่าวชมว่า “เมื่อครู่เพิ่งติดต่อกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ชมว่าเขาเป็นยอดทหารห้าวเช่นกัน!”
เม่ยเหนียงตาเป็นประกายทันที ถึงอย่างไรนางอยู่ในสังคมระดับบนมาหลายปี รู้อย่างลึกซึ้งว่าแม่ทัพที่มีความสามารถแบบนี้ต่างหากที่มีความหมาย ถ้าได้ลูกเขยชั้นยอดแบบนี้จริงๆ ก็เพียงพอจะเทียบเท่ากองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านเลย ในภายหลังพวกรุ่นเด็กที่จวนท่านอ๋องจะยังมีใครกล้าดูถูกนางอีก? ถ้าใครคิดจะแย่งตำแหน่งนางก็ต้องผ่านด่านลูกสาวนางไปก่อน! ไม่อาศัยอะไรอย่างอื่นหรอก อาศัยแค่เบื้องหลังมีลูกเขยที่เก่งเทียบเท่าทัพใหญ่หนึ่งล้านก็พอแล้ว นอกเสียจากท่านอ๋องจะแตกคอกับลูกเขยก็ว่าไปอย่าง!
แต่ใครจะคิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะเบะปากแล้วบอกว่า “ท่านพ่อเป็นอะไรไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำเริบเสิบสานขนาดนี้ ฆ่าลูกน้องของท่านพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังชมเขาอีก”
โกวเยว่บอกว่า “คนที่บอกว่าเขากำเริบเสิบสานจะต้องเป็นกลุ่มสหายของคุณหนูแน่นอน พวกนั้นกำลังอิจฉาเขา หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง เป็นชายชาตรีเหนือชายชาตรี! คุณหนูคงจะเคยได้ยินเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงมาก่อน นั่นคือร้านที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ เขาเผชิญหน้ากับร้านค้าของผู้มีอำนาจมากมายแต่ก็ไม่ยอมก้มหัว ตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตก็โดดเด่นเหนือกลุ่มวีรบุรุษและได้รับอันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ ตอนทดสอบที่แดนอเวจีมีคนมากมายรังแกเขา แต่เขาก็ไม่ยอมจำนน บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบ หัวเราะเยาะวีรบุรุษในใต้หล้า! พอเกิดเรื่องที่ตลาดผีก็สร้างผลงานใหญ่ไว้อีก แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่มีคนมากมายหวาดกลัว แต่เขาก็ยังรอดชีวิตออกมาได้อยู่ดี เขาไม่ได้มีตำหนักสวรรค์หนุนหลังหรือภูมิหลังอะไร แต่เขาก็อาศัยความสามารถของตัวเองไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่พันปี จากทหารเลวเลื่อนเป็นผู้บัญชาการ เลื่อนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ เป็นแม่ทัพภาค กระโดดข้ามขั้นขึ้นมาตลอดทาง แม้แต่ตำแหน่งรองยังไม่เคยเป็นเลย จากความเร็วแบบนี้ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่พันปี เกรงว่าตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวจะต้องเป็นของเขาแน่ เขาจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ที่ยืนประชุมในราชสำนักแน่นอน ถ้าแบบนี้ยังไม่นับว่ามีความสามารถ แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ามีความสามารถล่ะ?
ถ้าท่านอ๋องสามารถมีลูกน้องสักคนที่สามารถนำกำลังพลห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านแตกได้ เกรงว่าท่านอ๋องคงจะดีใจมากแล้ว ถ้าการมีลูกน้องเก่งกาจแบบนี้นับว่ากำเริบเสิบสาน คาดว่าท่านอ๋องคงหวังให้มีลูกน้องแบบนี้เยอะๆ คุณหนูลองคิดดูสิ สหายที่ท่านรู้จักส่วนใหญ่เป็นคนจากตระกูลขุนนางที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาทั้งนั้น แต่มีคนไหนบ้างที่มีความสามารถอย่างหนิวโหย่วเต๋อ? สหายพวกนั้นของคุณหนู เกรงว่าคงจะมีไม่น้อยที่ตอนนี้ยังไม่มีงานทำ พวกที่มีงานทำนิดหน่อยก็คงจะฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เช่นกัน คนประเภทนี้คู่ควรที่จะมาว่าหนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานด้วยเหรอ? คนที่พูดประโยคนี้ ถ้าเก่งนักก็ลองให้กำเริบเสิบสานดูบ้างสิ! ดังนั้นแล้ว มีแต่คนที่อิจฉาเท่านั้นที่จะพูดแบบนี้ ถ้าไม่โดนอิจฉาแสดงว่าเป็นคนฝีมือธรรมดา!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์งุนงง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนวิจารณ์หนิวโหย่วเต๋อแบบนี้ แต่นางก็รู้ว่าโกวเยว่มีความสำคัญขนาดไหนข้างกายท่านพ่อ พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน นางจึงหันมามองมารดาตัวเอง แล้วถามว่า “เป็นแบบนี้เหรอคะ?”
เม่ยเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว! คนที่ไม่เข้าใจถึงจะบอกว่าเขากำเริบเสิบสาน ถ้าจะให้แม่บอก หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ต่างหากที่เป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง ดีกว่าพวกคุณชายที่วันๆ เอาแต่วางมาดหาความสำราญในหมู่ผู้หญิงตั้งหลายเท่า นี่ต่างหากที่เป็นคนมีอนาคตอย่างแท้จริง!”
พูดจบก็เงยหน้าถามโกวเยว่ “พ่อบ้านโกว ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ตรงนั้นพอดี ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง จัดให้พวกเราเจอกันได้รึเปล่า?”
แววตาอยากออกล่าสิ่งแปลกใจของของก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปที่โกวเยว่ทันที ท่าทางเหมือนเฝ้ารอนิดหน่อย
โกวเยว่พยักหน้า “หวังเฟยมีคำสั่ง บ่าวก็จะพยายามตัดการให้ขอรับ” จากนั้นก็ถอยออกประตูไป
“ท่านแม่! หนิวโหย่วเต๋อคนนี้หน้าตาดุมากใช่มั้ย?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันกลับมาถาม
เม่ยเหนียงยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าได้ยินมาว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้หน้าตาทรนงองอาจ มีสง่าราศีความเป็นชายเต็มเปี่ยม!” พูดจบก็จูงมือลูกสาวกลับมานั่งลงบนเตียง แล้วบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว พวกเราไปดูกันดีกว่าว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นยังไงบ้าง เอามาทำสามีให้เจ้าดีมั้ย?”
“ท่านแม่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าแดงอย่างเขินอายทันที แล้วกระทืบเท้าพร้อมบอกว่า “ข้าไม่เอาคนเหี้ยมโหดที่ฆ่าคนจนชาชินแบบนี้หรอก”
เม่ยเหนียงเหล่ตาบอกว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะเอาพวกคุณชายไม่เอาไหนที่วันๆ เอาแต่มั่วสุมอยู่ในกองเครื่องประทินโฉม? คนพวกนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน แต่จะมีสักกี่คนที่มีอนาคต?”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด “ข้าไม่เอาหรอกค่ะ ข้าต้องหาคนที่ตัวเองชอบสิ ภูมิหลังวงศ์ตระกูลอะไรนั่นไม่สำคัญเลย ขอเพียงเป็นคนมีใจรักความก้าวหน้า ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีอนาคตอีกเหรอ?”
เม่ยเหนียงกลอกตามองบน นางค่อนข้างพูดไม่ออก ในปีนั้นตัวเองก็อยากไต่เต้าเข้าตระกูลร่ำรวยเช่นกัน แต่ดูลูกสาวตัวเองสิ ช่างไม่รู้จักความยากลำบากของโลกใบนี้จริงๆ เอาแต่พูดอะไรเพ้อฝันอยู่ตรงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ข้าคงคิดมากไป ช่วยถูกใจแทนเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? คุณหนูใหญ่ที่โดนเลี้ยงให้หยิ่งเอาแต่ใจแบบเจ้า คนอย่างหนิวโหย่วเต๋ออาจจะไม่ชอบเจ้าจริงๆ ก็ได้ แค่คิดก็เสียเวลาเปล่า”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปากแล้วกัดฟัน คิดในใจว่าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับคำชมมากขนาดนี้ ดีขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?
……………………