พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1545 ดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม!
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าแล้วย้ายฝีเท้า เย่อี้เร่งเชิญตลอดทาง เร่งจนนางจำต้องเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น ในใจนางก็ร้อนรนเช่นกัน ในมือหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอก
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองเพิ่งจะได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิวได้ไม่นาน ก็เห็นอวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ เหาะจากตำหนักคุ้มเมืองไปทางประตูเมืองตะวันออกแล้ว เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร พวกเขาก็วางใจแล้ว และรีบวิ่งออกไปทางประตูเมืองตะวันออกเช่นกัน
ถึงแม้พวกเขาจะเหาะที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ ทว่าวันนี้ตลาดสวรรค์โล่งมาก ร่ายอิทธิฤทธิ์วิ่งเร็วๆ ก็ไม่มีอะไรกั้นขวาง
ด้านนอกเมือง เหมียวอี้เหล่ตามองควันธูปกลุ่มสุดท้ายบนปลายธูปครึ่งก้านที่ปักอยู่บนดิน ที่กำลังพลหนึ่งหมื่นข้างหลังมีเสียงอาวุธกระทบกัน ทั้งหมดถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไว้ในมือ ลูกธนูดาวตกง้างอยู่บนสายแล้ว กำลังเล็งไปทางประตูเมือง ชั่วพริบตาเดียวกลิ่นหายสังหารก็อบอวล
เอาจริงเหรอ? ทหารยามบนกำแพงเมืองตกใจจนตัวสั่น แต่ละคนจ้องมือที่ยกขึ้นของเหมียวอี้ ต่างก็รู้ว่าถ้าสับมือข้างนี้ลงเมื่อไร ก็จะเป็นเวลาที่ลูกธนูหนึ่งหมื่นยิงออกมาพร้อมกัน
“เจ้าหมอนี่มันบ้าจริงๆ!” จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ในตึกพูดแขวะ
เพิ่งจะพูดคำนี้จบ บรรดาคนที่อยู่ในตึกบนกำแพงเมืองก็ยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย มองไปทางเย่อี้กับอวิ๋นจือชิวที่เหาะลงมาเหยียบบนกำแพงเมือง
เหมียวอี้ที่อยู่นอกเมืองเงยหน้ามองขึ้นมา เขาเห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว นางก็เห็นเขาเช่นกัน ดวงตาทั้งสี่กำลังสบประสานกัน
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร แน่ใจแล้วว่านางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลอกให้เขาสบายใจ ในที่สุดก้อนหินที่อยู่ในใจเหมียวอี้ก็ถูกวางลงแล้ว ฝ่ามือที่ชูขึ้นถูกสะบัดไปด้านข้าง ธนูข้างหลังที่เตรียมยิงถูกวางลงอีกครั้ง
ชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนบนกำแพงเมืองไปรวมอยู่บนตัวอวิ๋นจือชิวแล้ว
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว สถานการณ์ที่กำลังจะเดือดก็ถูกควบคุมไว้ทันที ต่อให้จะไม่รู้จักกันแต่ก็พอจะเดาได้แล้วว่านางเป็นใคร
ผู้หญิงสี่คนที่สวมหมวกมุ้งมองไปที่ความเคลื่อนไหวด้านล่างกำแพงเมืองพร้อมกัน แล้วก็มองไปที่อวิ๋นจือชิว ในดวงตาฉายแววอิจฉาอย่างควบคุมไม่อยู่
ด้านล่างกำแพงเมืองมีกำลังพลมากมายขนาดนั้น ลักษณะท่าทางดุดันขนาดนั้น ทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองตกใจจนหน้าถอดสีแล้ว คนในตลาดสวรรค์ก็ตกใจจนวุ่นวายไปหมด แต่เพียงแค่ผู้หญิงคนนี้โผล่หน้ามา ก็ระงับเปลวเพลิงอันดุร้ายของทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์ที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้แทบจะในทันที
ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่โผล่หน้ามายืนเท่านั้นเอง แค่นี้ก็ทำให้คลื่นคลั่งที่เตรียมโจมตีหยุดนิ่งแล้ว!
อะไรที่เรียกว่ามีหน้ามีตาล่ะ? นี่ไงที่เรียกว่ามีหน้ามีหน้าอย่างแท้จริง!
จู่ๆ ผู้หญิงทั้งสี่คนก็รู้สึกว่าความมีหน้ามีตาอันเกิดจากภูมิหลังวงศ์ตระกูลของตัวเองช่างอ่อนแอนักเมื่อมาอยู่บนสนามการต่อสู้ที่แท้จริง ค้นพบว่าเกียรติอันจอมปลอมที่มีมาก่อนหน้านี้เทียบกับฉากที่เห็นในวันนี้ไม่ติด ความมีหน้ามีหน้าแบบนี้ แม้แต่ฐานะตำแหน่งอย่างพวกนางก็สัมผัสไม่ได้เช่นกัน
เม่ยเหนียงที่อยู่หลังม่านหมวกสีหน้าแย่มาก สายตาจ้องมองอวิ๋นจือชิวไม่ละไปไหน ราวกับอวิ๋นจือชิวได้แย่งอะไรบางอย่างไปจากนาง นางถ่ายทอดเสียงถามโกวเยว่ว่า “ผู้หญิงคนนี้คือแม่หม้ายคนนั้นเหรอ?”
“น่าจะใช่ขอรับ” โกวเยว่ตอบ
เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “หน้าตาก็งั้นๆ ทั้งยังเป็นแม่หม้ายอีก หนิวโหย่วเต๋อไปชอบผู้หญิงประเภทนี้ได้ยังไง”
โกวเยว่พูดไม่ออก เรื่องหน้าตาความสวย จะให้เขาพูดอย่างไรดีล่ะ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้าตาธรรมดาเหมือนกัน แต่เมื่อเจ้าเห็นอีกฝ่ายเจ้าก็ต้องซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่ายอยู่ดี ฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่ได้สวยเท่าเจ้าหรอก แต่ถ้าฮูหยินยังอยู่ คิดว่าเจ้าจะได้มีวันนี้เหรอ?
ในบรรดาผู้หญิงทั้งสี่คน โค่วเหวินลวี่หันกลับมาถามอย่างเปิดเผยว่า “เหวินหลาน ผู้หญิงคนนี้คืออวิ๋นจือชิวเหรอ?”
สายตาของทุกคนมองไปยังโค่วเหวินหลานที่ปลอมใบหน้าแล้ว โค่วเหวินหลานหัวเราะเจื่อนๆ แล้วพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว เป็นนาง!”
ทุกคนหันไปมองประเมินอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง เหมือนกำลังมองหาว่าบนตัวอวิ๋นจือชิวมีข้อดีอะไร แต่น่าเสียดายที่ไม่เห็นหน้าตรงๆ
เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างล่างวางธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เย่อี้ก็โล่งอกมาก สงสัยจะทำถูกแล้วที่ดึงตัวผู้หญิงคนนี้มา
ถึงแม้จะรู้ว่าเหมียวอี้ทำเพื่อนาง การที่เหมียวอี้ทำตัวบ้าบิ่นแบบนี้ เดิมทีก็ทำให้นางโมโหมาก แต่พอขึ้นมาอยู่บนกำแพงเมือง พอเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างเพียงปราดเดียว ทั้งร่างกายและจิตใจก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที
ธงรบหลายต้นที่ปลิวสะบัดขาดรุ่ยอยู่ท่ามกลางสายลมหลังจากอาบน้ำเลือดมา นักรบแต่ละคนที่อยู่ใต้ธงมีสภาพสะบักสะบอมราวกับปีนขึ้นมาจากภูเขาศพทะเลเลือด แต่ละคนมีเลือดเปื้อนเกราะรบ มีคนจำนวนไม่น้อยที่แขนขาดขาขาด บนตัวมีรอยบาดแผลเลือดทะลุเกราะรบ บนตัวบางคนมีสองรอย บนตัวบางคนมีรอยนับไม่ถ้วน ถึงขั้นมีรอยบาดแผลเป็นสิบรอยด้วยซ้ำ ยืนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอยู่ข้างล่างอย่างไม่ยอมศิโรราบ ไม่เห็นใครที่ไม่บาดเจ็บเลย บนใบหน้าของพวกเขามีคราบน้ำตาปนกับคราบเลือดด้วย แค่เห็นแวบเดียวก็จินตนาการออกแล้วว่าผ่านการต่อสู้เข่นฆ่าที่ดุเดือดขนาดไหน ไม่รู้ว่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร
กลิ่นอายที่ทั้งเศร้าสลดทั้งเร้าใจโผเข้ามาตรงหน้า ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณคน
จากนั้นก็มองดูเหมียวอี้ที่อยู่หน้ากระบวนทัพ ถึงแม้บนเกราะรบจะมีรอยเลือดไม่เยอะ บนใบหน้าก็ไม่ได้เละไปด้วยเลือด แต่รอยเลือดที่สาดกระเด็นใส่บนใบหน้าสะดุดตาขนาดนั้น ทำให้นางหัวใจกระตุกวูบทันที
คำพร่ำบ่นที่นางมีต่อเหมียวอี้ในตอนแรก เดิมทีนางกะว่ากลับไปจะไปโวยวายเหมียวอี้ แต่ในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะนำทัพที่สะบักสะบอมตามมาที่นี่ทันทีหลังจากรู้ว่านางโดนขังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง การกล่าวโทษหรือการพร่ำบ่นอะไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีแล้ว
นางยืนอยู่บนกำแพงเมืองและมองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอย หัวใจแตกสลายแล้ว! หัวใจแตกสลายแล้ว!
ในดวงตางามดูฉ่ำน้ำขณะที่กัดริมฝีปากแน่น นางถามตัวเองจากใจ ว่าตัวเองมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรถึงได้หาสามีแบบนี้ได้ ทั้งชีวิตนี้ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก ยังจะมีอะไรต้องบ่นอีก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยดูแลนางขาดตกบกพร่องเลย
“เถ้าแก่เนี้ย…เถ้าแก่เนี้ย…” เย่อี้กำลังแอบเร่งเตือนอยู่ข้างๆ แต่ในตอนนี้อวิ๋นจือชิวตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ฉึบ! เหมียวอี้ดึงทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วโบกมือชี้ไป “ธูปครึ่งก้านหมดแล้ว ประตูเมืองยังไม่เปิดอีก!”
เย่อี้กุมหมัดคารวะพร้อมรอยยิ้ม “พี่หนิวสบายดีมั้ย ไม่ได้เจอกันหลายปี นึกไม่ถึงว่าพี่หนิวจะยังสง่างามเหมือนเดิม!”
เหมียวอี้กลับงงกับคำพูดของเขา รู้จักกันเหรอ? นึกไม่ออก จึงแสยะยิ้มถามว่า “ขออภัยที่ข้าสายตาไม่ดี เจ้าเป็นใคร?”
เย่อี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “พี่หนิวช่างเป็นชนชั้นสูงที่ลืมเรื่องราวต่างๆ ได้ง่าย เราเคยเจอกันมาก่อนที่การทดสอบแดนอเวจีไง ข้าน้อยเย่อี้ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน!” เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่ล้อมโจมตี เขาอยากจะทำให้ผ่อนคลายก็เท่านั้นเอง
เหมียวอี้ไม่เปลืองคำพูดกับเขา “เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นหนิวพูดจริงทำจริง เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เมื่อใช้วิธีตีสนิทไม่สำเร็จ เย่อี้ก็เลยเก้อเขิน เอียงหน้าถามอวิ๋นจือชิวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “เถ้าแก่เนี้ย ท่านคิดว่ายังไง?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ
เย่อี้ที่ขอความเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วตะโกนสั่งทันทีว่า “เปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองด้านล่างพลันเปิดออก เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือนำกำลังพลเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เย่อี้เชิญอวิ๋นจือชิวลงไปต้อนรับด้วยกัน แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่อยากเจอกับเหมียวอี้ท่ามกลางฝูงชน จึงปฏิเสธแล้ว เย่อี้ทำได้เพียงนำคนลงไปเอง
กลุ่มคนในตึกเดินไปที่ริมหน้าต่างและมองเข้ามาในเมืองทันที เห็นเหมียวอี้นำคนเข้ามาเจอกับเย่อี้
เหมียวอี้เห็นอวิ๋นจือชิวไม่ได้ลงมา จึงหันกลับไปมองบนกำแพง
เย่อี้กุมหมัดคารวะต่อหน้า “พี่หนิว ไม่ทราบว่ามีอไรให้ช่วยมั้ย?”
กล้าจับผู้หญิงของข้าเหรอ! เหมียวอี้หันหน้ามา ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขา จ้องจนเขาแอบขนลุก พอเอ่ยปากก็ไม่ได้พูดอะไรดีๆ เลย “ข้าตำแหน่งสูงกว่าเจ้า เห็นข้าแล้วทำไมไม่ทำความเคารพ! พวกไม่รู้จักธรรมเนียม วันนี้ข้าจะสอนเจ้าว่าธรรมเนียมคืออะไร!” ตุ้บ! จู่ๆ ก็เตะหนึ่งที เย่อี้ที่โดนเตะจนทำอะไรไม่ถูกตัวกระเด็นออกไปแล้ว กระเด็นไปตกไกลสิบกว่าจั้งแล้วเริ่มกระอักเลือด
ชวิ้ง! ลูกน้องคนสนิทสองคนของเย่อี้รีบชักอาวุธออกมาเตรียมป้องกันทันที
ใครจะคิดว่าการชักอาวุธต่อหน้าเหมียวอี้จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นทันที คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ไม่สนใจว่าพวกเขาแค่เตรียมป้องกันตัวหรือจะโจมตีเหมียวอี้ นักพรตบงกชรุ้งสองคนรีบถลันตัวออกมาป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แสงสะท้อนคมดาบแวบผ่านสองที ลงดาบฟันจนเกิดเสียงกรีดร้องสองครั้ง ทั้งคนทั้งเกราะรบขาดแยกจากกันเป็นสองท่อน ตับไตไส้พุงไหลกองพื้น อนาถจนทนมองไม่ได้
พอเข้าเมืองมาก็เจอกลิ่นคาวเลือดแบบนี้แล้ว สี่สาวที่อยู่ในตึกเห็นฉากนองเลือดแบบนี้ไม่บ่อย พวกนางเอียงหน้าหนีเล็กน้อย ไม่กล้ามองเยอะ
ถังเฮ่อเหนียนและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก คิดในใจว่าถ้าราชันสวรรค์ไม่จับคนพวกนี้แยกออกจากกันก็แปลกแล้ว!
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง อวิ๋นจือชิวก็ตกใจจนวิ่งมาดูที่กำแพงฝั่งนี้เช่นกัน
บนถนนกว้างโล่งที่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกล เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่านายท่านจะตกอยู่ในสภาพนี้ ดีใจที่พอนายท่านมาถึงก็ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
ทหารยามตลาดสวรรค์ที่อยู่สองด้านก็ถูกลูกธนูดาวตกหลายดอกชี้มาหาเช่นกัน ตกใจจนรีบวางอาวุธลง อาวุธตกลงพื้นแล้ว
เหมียวอี้ชำเลืองมองเย่อี้ที่ลุกขึ้นยืนโซเซ แล้วกล่าวเสียงเรียงว่า “ควบคุมตัวไว้ก่อน!”
คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาทันที มัดเย่อี้ไว้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้หันตัวเดินไปด้านข้าง เดินขึ้นบันไดขึ้นไปกำแพงเมือง ขณะที่เดินก็ออกคำสั่งเสียงดังด้วยว่า “น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอยู่ในเขตน่านฟ้าระกาติง ทั้งยังชักช้าไม่ยอมเปิดประตูสักที แม่ทัพภาคคนนี้สงสัยว่าในนั้นจะมีเจตนาแอบแฝง ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ทุกอย่างดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม! ส่งกำลังพลห้าร้อยไปเฝ้าไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ ปิดประตูเมือง ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามใครเข้าออก กำลังพลของข้าจะรับช่วงต่อเฝ้าตลาดสวรรค์ตอนนี้ ทหารที่นี่ฟังคำระดมกำลังจากข้า ถ้าทหารคนไหนขัดคำสั่ง ก็ดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม ฆ่าไม่ละเว้น! สั่งร้านค้าทั้งเมืองเดี๋ยวนี้ ให้นำยารักษาบาดแผลไปรักษาทหารที่เฝ้าเมือง ผู้ที่ให้ความร่วมมือจะให้รางวัล ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าร่วมมือกับศัตรู จะถูกประหารทันที! ไปปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้ ห้ามชักช้า!”
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดรับบัญชา แล้วรีบรวบรวมกำลังพล กำลังสามกลุ่มเหาะไปยังประตูเมืองอีกสามแห่งเพื่อรับช่วงเฝ้าเมืองต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนกำลังพลอีกกลุ่มก็ขับไล่ให้กำลังพลตลาดสวรรค์ที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในพื้นที่มานำทาง
กลุ่มสาวๆ ที่อยู่บนตึกฟังแล้วก็รู้สึกว่าคำสั่งทหารนี้ไม่ไร้เหตุผลเช่นกัน มีหลักฐานและเหตุผล มีกฎเกณฑ์ชัดเจนมาก เพราะอยู่ในช่วงสงคราม การเพิ่มการป้องกันเป็นสิ่งที่ควรทำ ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันเมืองได้รับบาดเจ็บก็ย่อมต้องได้รับเยียวยารักษาให้หาย ถึงจะมีแรงมาปกป้องคุ้มครองเมือง
แต่พอพวกถังเฮ่อเหนียนได้ฟังแล้วหนังตากระตุก น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏอะไรกัน ชัดเจนว่านี่คือข้ออ้างในการรับช่วงต่อดูแลตลาดสวรรค์และควบคุมตลาดสวรรค์ สิ่งที่เรียกว่ามอบยารักษาบาดแผลคืออะไรกัน คนไม่ให้ความร่วมมือจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอะไรกัน ทำไมฟังดูเหมือนจะล้างเลือดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ล่ะ?
โค่วเหวินหลานออกจากหน้าต่าง อยากจะออกไปทักทายเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าถังเฮ่อเหนียนกลับดึงแขนเขาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าอย่าเพิ่งเข้าไปเกี่ยวข้อง
บนกำแพงเมือง เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วถามพร้อมยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย!”
อวิ๋นจือชิวชี้ที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร
เหมียวอี้ยื่นมือไปจับมือนาง อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองทางซ้ายและขวา แล้วหดมือขัดขืน แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ประกบจูบบนริมฝีปากงามของนางต่อหน้าฝูงชน
…………………………