พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1554 ไม่ต้องไปแล้ว
โกวเยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้อน “เรื่องนี้ของเจ้า หวังเฟยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน รู้สึกชื่นชมในไมตรีจิตมิตรภาพของขุนพล รู้สึกว่าฝากฝังลูกสาวสุดที่รักไว้ให้ขุนพลได้ ขุนพลจะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่หวังเฟยถูกใจขุนพล หวังเฟยก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรเช่นกัน ไม่ใช่คนชั่วร้ายที่บังคับกลั่นแกล้งแน่นอน จะทำให้เจ้ากับผู้จัดการร้านอวิ๋นสมปรารถนา ถ้าเจ้าจะรับนางเป็นอนุภรรยา หวังเฟยก็จะไม่แย้งอะไรเช่นกัน”
พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายสองครั้ง ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย พูดจาได้อย่างไม่มีช่องโหว่ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลโค่วเตือนไว้ก่อนว่ามีเบื้องหลังเบื้องลึก เกรงว่าคงจะตื้นตันใจจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ เขาส่ายหน้าเบาๆ พร้อมตอบว่า “อยู่ดีๆ หวังเฟยก็มาโปรดปราน ทำให้ข้าน้อยทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ข้าน้อยไม่ได้เตรียมใจไว้สักนิดเลย ไม่กล้ารับเรื่องอันงดงามนี้ไว้ขอรับ”
“เหตุใดจึงไม่กล้ารับไว้? หรือว่าคุณหนูของบ้านเราหน้าตาไม่ดึงดูดใจมากพอ?” โกวเยว่ถาม
“คุณหนูงดงามล้ำเลิศ แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้ตา เป็นเพราะข้าน้อยปีนป่ายขึ้นไปไม่ไหวจริงๆ” เหมียวอี้ตอบ
โกวเยว่จึงบอกว่า “ปีนป่ายอะไรกัน? หวังเฟยกับคุณหนูปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับผู้อื่นมาตลอด ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ไม่เน้นเรื่องพื้นเพชาติกำเนิด เมื่อครู่นี้มีจุดไหนที่หวังเฟยกับคุณหนูหยิ่งผยองต่อขุนพลหรือเปล่า? หรือกังวลว่าการที่คุณหนูแต่งงานกับขุนพลจะมีเงื่อนงำอะไรซ่อนเร้น? มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้ารับประกันต่อขุนพลได้ ด้วยการอบรวมของจวนท่านอ๋อง พวกเราไม่ถึงขั้นทำเรื่องอะไรที่เสื่อมเสียต่อมมาตรฐานศีลธรรมของวงศ์ตระกูลหรอก ทุกวันนี้คุณหนูยังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ดุจหยก หากไม่ได้รับความยินยอมจากจวนท่านอ๋อง คุณหนูก็ไม่มีทางและไม่มีโอกาสได้ตกอยู่ในสถานการณ์หรือสถานที่ที่ทำให้คนอื่นสงสัย”
เขากังวลว่าเหมียวอี้จะคิดว่าการที่จู่ๆ มีเรื่องดีแบบนี้เกิดขึ้น เป็นเพราะรู้ว่าเหมียวอี้ไม่รังเกียจแม่หม้าย เลยอยากจะให้เขกล้ำกลืนปัญหาที่ยากจะเอ่ยออกมา ดังนั้นจึงตั้งใจประกาศให้รู้แบบนี้
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงไม่บังอาจปีนป่ายขึ้นไปก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้ตอบ
โกวเยว่จึงบอกอีกว่า “ขุนพล เรื่องบางเรื่องต้องพิจารณาจากความเป็นจริง เจ้ากำลังอยู่บนด่านยาก หวังเฟยเป็นคนที่สามารถพูดโน้มน้าวต่อหน้าท่านอ๋องได้แน่นอน”
เหมียวอี้นิ่งเงียบไปนานมาก แล้วสุดท้ายก็ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “เรื่องนี้มาเยือนอย่างกะทันหันเกินไปจริงๆ ให้ข้าไตร่ตรองสักหน่อยได้หรือไม่”
ต่อมาไม่ว่าโกวเยว่จะพูดอะไร เหมียวอี้ก็ล้วนบอกไปแบบนั้น นั่นก็คือต้องพิจารณาไตร่ตรองให้ดีสักหน่อย
ทั้งใช้อำนาจบังคับทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อแต่ก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายโกวเยว่จึงทำได้เพียงพูดความจริง “มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าจะไม่ปิดบังขุนพล ที่จริงข้าได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้พาคุณหนูมาด้วย นึกไม่ถึงว่าหวังเฟยจะตามมาด้วยเหมือนกัน หวังเฟยกับคุณหนูต่างก็รู้ถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ ที่จริงไม่ต้องให้หวังเฟยมาถามเรื่องนี้ ท่านอ๋องก็มีเจตนาจะให้คุณหนูแต่งงานกับขุนพลอยู่ดี ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะได้รับคำสั่งให้มาเป็นคนกลางประสานงานเรื่องแต่งงานของคุณหนูกับขุนพล ขุนพลรู้หรือเปล่าว่าทำแบบนี้เพราะอะไร?”
เหมียวอี้จึงกล่าวเหมือนประหลาดใจ “ท่านอ๋องต้องการให้คุณหนูแต่งงานกับข้าเหรอ? ข้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่น่านฟ้าระกาติง จะเป็นไปได้ยังไง? เพราะอะไร?”
“ได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าคืออสุราอัคนีที่หลายปีก่อนเคยอยู่ในใต้หล้าอย่างไร้อุปสรรคใช่มั้ย?” โกวเยว่ถาม
เหมียวอี้อึ้งทันที “ท่านทราบได้ยังไง?”
“ไม่สำคัญว่ารู้ได้ยังไง ที่สำคัญคือทำไมท่านอ๋องถึงนับถืออสุราอัคนีมาก เลยถูกใจขุนพลไปด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่จะให้คุณหนูแต่งงาน ขุนพลได้รับบัตรเชิญจากหลายบ้านพร้อมกัน เกรงว่าบ้านที่เหลือก็คงจะมีเจตนาแบบนี้เช่นกัน” โกวเยว่ตอบ
เขาเองก็หมดหนทางแล้วถึงได้ทำแบบนี้ แต่จะเป็นจะตายเหมียวอี้ก็ไม่ยอมตอบตกลงเลย ดึงดันจะกลับไปคิดดูก่อนให้ได้ เดี๋ยวต่อไปเหมียวอี้ก็ต้องเจอกับอีกสามตระกูลอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอไปเจอแล้ว การแสดงของฝ่ายนี้จะต้องโดนเปิดโปงแน่นอน ไม่สู้เปิดเผยออกมาตรงๆ เลยดีกว่า ต่อไปเหมียวอี้จะได้ไม่โมโหที่โดนฝั่งนี้หลอก
เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้…”
โกวเยว่บอกอีกว่า “ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าพูดถึงความจริงใจ คุณหนูของพวกเราเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกนะ ผู้หญิงของบ้านอื่นล้วนเป็นบุตรสาวของอนุภรรยา ความงามของคุณหนูก็ไม่แพ้ผู้หญิงบ้านอื่น ส่วนหวังเฟยก็ถูกใจขุนพลโดยไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ นี่ก็คือวาสนา ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง หวังเฟยมีลูกสาวแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางทนมองลูกสาวและลูกเขยตัวเองได้รับความลำบาก ส่วนตระกูลฮ่าวน่ะ พวกเราล้วนส่งพ่อบ้านมามาเป็นพ่อสื่อ แต่ตระกูลฮ่าวส่งมาแค่หัวหน้าผู้ช่วยคนเดียวเท่านั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าขุนพลมีความสำคัญประมาณไหนในสายตาตระกูลฮ่าว ส่วนตระกูลอิ๋ง ขุนพลกับตระกูลอิ๋งมีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกันก็ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก ฝ่ายนั้นอยากจะใช้ประโยชน์ขุนพลแบบโจ่งแจ้งเลย ขุนพลหนีไม่พ้นสาเหตุการตายของอิ๋งเหย้าขุนพล หรือว่าขุนพลคิดว่าไปตระกูลอิ๋งแล้วจะสบายดี พวกนั้นมีความเจ็บปวดจากการสูญเสียนะ พ่อแม่ของอิ๋งเหย้าจะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ? ถ้าขุนพลไปที่ตระกูลโค่วก็ไมม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเช่นกัน!”
แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่อวิ๋นจือชิวจะกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลโค่ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ข้ากับตระกูลโค่วไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทำไมไปที่ตระกูลโค่วแล้วจะอยู่อย่างไม่สงบสุขล่ะ?”
“ไม่ได้มีความแค้น จริงเหรอ?” โกวเยว่หัวเราะหึหึ แล้วถามกลับว่า “หรือว่าขุนพลลืมเรื่องการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตไปแล้ว? ขุนพลอยู่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของโค่วเหวินหลาน แต่กลับสู้กับลูกน้องของโค่วเหวินหวง เรื่องราวเบื้องลึกในนั้นปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังคนที่ตามีเวลาไม่ได้หรอก ไม่ทราบว่าขุนพลไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้ ฐานะเดิมของโค่วเหวินหลานในตระกูลโค่วเป็นอย่างไร คาดว่าขุนพลคงรู้มาบ้างแล้ว นั่นคือตัวละครที่แก่งแย่งต่อสู้กับโหวหลงเฉิง การทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตของขุนพลก็ได้ช่วยโค่วเหวินหลานเอาไว้ ทำให้โค่วเหวินหลานช่วงชิงการสนับสนุนจากตระกูลโค่วได้ แต่กลับเป็นการเบียดโค่วเหวินหวงให้ออกมาจากลำดับการเลี้ยงดู เจ้าคิดว่าโค่วเหวินหวงจะยอมรับน้องเขยอย่างเจ้าจากใจจริงเหรอ?
ข้ารู้ว่าขุนพลกับโค่วเหวินหลานสนิทกัน แต่การต่อสู้ภายในตระกูลระหว่างโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินหลานเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าขุนพลไปที่ตระกูลโค่วแล้วเตรียมจะยืนอยู่ฝ่ายไหน? อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ภายในของลูกหลาน ตระกูลโค่วเหรอ? จะช่วยโค่วเหวินหลานข่มโค่วเหวินหวง หรือจะช่วยโค่วเหวินหวงจัดการโค่วเหวินหลานดีล่ะ แล้วตอนหลังจะสู้กับโค่วเหวินไป๋อีกมั้ย? ไม่ใช่แค่ตระกูลโค่วนะ ไม่ว่าขุนพลจะเข้าตระกูลอิ๋งหรือตระกูลฮ่าวหรือตระกูลโค่ว ไม่ว่าแต่งงานกับใครก็ต้องเลือกกลุ่มเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ภายในทั้งนั้น ขุนพลอาจจะไม่รู้ถึงอันตรายที่อยู่ในนั้น แต่ข้ากลับรู้อยู่แก่ใจ มีเพียงคุณหนูบ้านข้าที่แตกต่างออกไป หวังเฟยมีคุณหนูเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ฐานะของหวังเฟยก็เหนือกว่าคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้กับลูกอนุภรรยาพวกนั้น ขอเพียงขุนพลยืนอยู่ข้างหลังหวังเฟย เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ขุนพลเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้กระจ่าง จำเป็นต้องคิดมากอีกเหรอว่าควรจะไปที่ไหน?”
บนตึกศาลา หวังเฟยที่มาแอบฟังเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอได้ยินแบบนี้ก็แอบร้องในใจว่ายอดเยี่ยมมาก แอบชมว่าสมแล้วที่พ่อบ้านเป็นคนที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญที่สุด ความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ย่อมไม่ต้องพูดถึง พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ฟาดอีกสามบ้านตายแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำพูดของโกวเยว่เข้ามาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของนางแล้ว พอหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับลูกสาวของนาง ก็จะยืนอยู่ข้างหลังนาง นี่ก็คือพลังในมือของนาง คนอื่นแย่งไปไม่ได้!
วรยุทธ์ของโกวเยว่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้จะเทียบติด ย่อมสังเกตได้แล้วว่าหวังเฟยอยู่บนตึก
เหมียวอี้เงียบงัน คำพูดของอีกฝ่ายได้เตือนสติเขาแล้ว กลับไปจะต้องเตือนอวิ๋นจือชิว ว่าหลังจากกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้ว จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างลูกหลานในตระกูลโค่ว
เมื่อเห็นเขาเงียบไป โกวเยว่ก็นึกว่าตัวเองพูดโน้มน้าวสำเร็จแล้ว จึงถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “นอกจากนี้ ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงด้วย ถึงยังไงขุนพลก็ก็ก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เป็นอาณาเขตปกครองของท่านอ๋อง ครั้งนี้มีสามหน่วยงานมาสืบคดีด้วยกัน มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยขุนพลได้อย่างแท้จริง น่านฟ้าระกาติงจะยอมหรือไม่ยอมก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบเดียวของท่านอ๋องเท่านั้น และหวังเฟยก็ให้ความสำคัญด้วย มีหวังเฟยช่วยพูดอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ก็รับประกันอนาคตของขุนพลได้เลย!”
ที่สวนในลานบ้านด้านหลังของโถงฉากเมฆา จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนที่ทำท่าจะลงหมากก็ขมวดคิ้ว แล้วบอกว่า “น่าสนใจแล้ว โกวเยว่คนนี้ใช้ได้จริงๆ หวังเฟยนั่นคงสร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อย หรือไม่เบื้องหลังก็มีหลานบ้านที่กดดันเขา แม้แต่หน้าตาศักดิ์ศรีก็ไม่สนแล้ว เปิดเผยให้หนิวโหย่วเต๋อรู้หมดเปลือกว่าก่วงลิ่งกงกำลังเอาเรื่องงานมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะปลอมแปลงคำสั่งเบื้องบนแล้วเอาตัวไป เขากำลังรังแกที่ฝ่ายอื่นไม่มีทางเปิดโปงเขาได้ เป็นเพราะเหนือความคาดหมายจริงๆ อีกสองบ้านโดนเขาเล่นงานเสีจจนโวยวายไม่ออก ควรจะร้อนใจได้แล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าโกวเยว่จะไม่หยุดถ้าไปไม่ถึงจุดหมาย ต่อให้จะดึงหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้ แต่คาดว่าโกวเยว่คงจะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อไปบ้านอื่นอีก นายน้อย ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่ายเราไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย ถือโอกาสเตือนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ถ้าโกวเยว่อยากจะถ่วงเวลาไม่ให้ไปบ้านอื่น ก็อย่าได้ดันทุรังฝืน ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นการแสดงความโง่เขลา ให้ถ่วงเวลารอเกาก้วนมา เรื่องนี้ขอแค่ก่วงลิ่งกงยอมตกลงก็พอแล้ว แล้วก็…ให้เขาระวังเรื่องของกินด้วย โกวเยว่ยอมทุ่มสุดตัวแล้ว ไม่ว่าวิธีการอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น บอกเขาให้พยายามอย่าอยู่ในห้องกันเพียงลำพัง จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์ที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อพบความไม่ชอบมาพากลก็ให้เขาใช้ระฆังดาราติดต่อลูกน้องเขาให้โจมตีหอฉางเจินได้เลย ฝั่งพวกเราจะส่งยอดฝีมือไปช่วย”
โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วตกใจไม่เบา รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อ
ดังนั้นเหมียวอี้ที่อยู่หอฉางเจินจึงหยิบระฆังดาราออก พอตอบเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน “โค่วเหวินหลานส่งข่าวมาเร่งให้ข้าไปหา ข้าน้อยอยู่ที่นี่มานานแล้ว ขอตัว!”
โกวเยว่ลุกขึ้นไปดักหน้าเหมียวอี้ แล้วถามว่า “ขุนพลตัดสินใจรึยัง?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ให้ข้ากลับไปไตร่ตรองสักหน่อย ข้ารับประกันกับท่านได้ ว่าข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว ถ้าจะตอบตกลงก็มีแต่จะตอบตกลงกับท่านเท่านั้น ไม่ตอบตกลงกับอีกสามบ้านแน่”
“พูดจริงเหรอ!” โกวเยว่ตาเป็นประกาย
“หรือท่านคิดว่าข้าเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้?” เหมียวอี้ถามกลับ
โกวเยว่ตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องบ้านอื่นให้วุ่นวายใจแล้ว อยู่ไตร่ตรองที่นี่ต่อเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของขุนพลดีมั้ย? ไม่ต้องไปหาตระกูลโค่วแล้ว!”
เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ก็ได้!”
โกวเยว่เผยรอยยิ้มบางๆ เดิมทีจะเตรียมเรือนพักให้เหมียวอี้ไปพักผ่อน แต่เหมียวอี้ปฏิเสธแล้ว บอกว่าอยากจะเดินเล่นให้สบายใจสักหน่อย
โกวเยว่ย่อมอนุญาตแล้ว ยืนพิงรั้วพลางมองตามเหมียวอี้เดินเล่นริมทะเลสาบ แล้วหานตงก็เดินออกมาจากอีกด้าน บอกว่า “ตระกูลฮ่าวกับตระกูลอิ๋งส่งคนมาเร่งเป็นระยะ ต้องการเชิญให้หนิวโหย่วเต๋อไปหาขอรับ”
“ถ้าให้เขาไปจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าบ้านอื่นจะใช้วิธีการอะไรกับเขา บอกไปเพียงว่ายังคุยงานไม่เสร็จ” โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบ
“ขอรับ!” หานตงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ส่วนโกวเยว่ก็หันตัวไป รีบเดินขึ้นไปบนตึกศาลา พอเห็นเม่ยเหนียงที่รออยู่ ก็กล่าวทำความเคารพ
“เขาจะตอบตกลงมั้ย?” เม่ยเหนียงถามอย่างฮึกเหิม
โกวเยว่ยิ้มพร้อมบอกว่า “มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าเขาหวั่นไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยบุ่มบ่ามดื้อรั้นของคนคนนี้ ไม่มีทางที่จะลังเลขนาดนี้แน่ อักทั้งเงื่อนไขฝั่งเราก็เหนือกว่าอีกสามบ้าน ประเด็นสำคัญคือช่วยเขาได้ เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่เป็นความจริง จึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นไปได้…” เขาลังเลนิดหน่อย ก่อนจะพูดหยั่งเชิงว่า “ทางที่ดีควรต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ถึงจะมั่นใจและเชื่อถือได้ที่สุด ไม่ทราบว่าทางคุณหนู…”
เม่ยเหนียงขมวดคิ้ว “อย่างอื่นก็พูดง่ายหน่อย แต่ข้ารู้จักนิสัยของเม่ยเอ๋อร์ดี ต่อให้นางจะรู้สึกดีกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่เพิ่งเจอกันครั้งแรก นางไม่มีทางตอบตกลงทำเรื่องแบบนั้น”
โกวเยว่แววตาวูบไหวนิดหน่อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่ หวังเฟย อาศัยความงามของคุณหนู สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในตอนท้ายของหนิวโหย่วเต๋อไม่น้อยเลย ไม่ทราบว่าโน้มน้าวให้คุณหนูไปอยู่กันสองต่อสองกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อเพิ่มความเป็นไปได้สักหน่อยดีมั้ย?”
เม่ยเหนียงยิ้มบางๆ นางเห็นด้วยกับความคิดนี้…
…………………………