พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1556 ควบคุมตัวเองไม่อยู่
หลังจากอู่หนิงติดต่อเสร็จแล้ว หลังจากเก็บระฆังดาราก็เห็นความลังเลในสายตานาง ยื่นมือไปคว้ามือที่อ่อนนุ่มของนางแล้ว “ฮูหยิน เป็นอะไรไป?”
หวงฝู่ตวนหรงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำไมจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อนั่นถึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ จู่ๆ สี่อ๋องสวรรค์ก็แย่งกันยัดลูกสาวให้เขา นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าว่าเขาก็งั้นๆ แหละ ขนาดแม่หม้ายคนเดียวยังทิ้งไม่ได้ เดรัจฉานยังดีกว่าอีก!”
อู่หนิงงงไปชั่วขณะ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจเขามากนะ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะในปีนั้นเขาจับโหรวโหรวไว้?”
หวงฝู่ตวนหรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “คนแบบนี้ต้องสับสักพันดาบหมื่นดาบสิ สี่อ๋องสวรรค์ตาบอดหมดแล้วรึไง?”
อู่หนิงตบหลังมือนางเบาๆ “นี่เจ้ากำลังพูดเพราะอารมณ์ใช่มั้ย ศิษย์ของอสุราอัคนี นำทัพองครักษ์ห้าหมื่นโจมตีทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงจนแตกพ่าย นี่เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ ได้เขาคนเดียวก็เท่ากับได้ทหารที่กล้าแกร่งหนึ่งล้าน สี่อ๋องสวรรค์ตั้งใจจะใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไม่น่าแปลกใจหรอก เรื่องของโหรวโหรวในปีนั้นก็เล็กน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ถึงยังไงโหรวโหรวก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป”
“เจ้า…” หวงฝู่ตวนหรงรู้สึกเก็บกดจนอยากกระอักเลือด ถลึงตาถามว่า “พ่อแบบนี้มีอย่างที่ไหน?”
อู่หนิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าทำตัวเป็นพ่อไม่เหมาะสมเหรอ? พ่ออย่างข้าเรียกว่าใจกว้างไง!”
“พอแล้ว ข้าไม่พูดกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว ถ้าพูดอีกข้าต้องโมโหตายแน่นอน” หวงฝู่ตวนหรงสะบัดมือเขาออก ดันฝ่ามือห้ามแล้วถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าวันหนึ่งโหรวโหรวรู้ถึงตัวตนของเจ้า เจ้าจะเผชิญหน้ากับโหรวโหรวยังไง?”
“รู้ก็รู้ไปสิ เกี่ยวอะไรกันล่ะ” อู่หนิงกลอกตาแล้วพลิกตัวนอนตะแคง ก่อนจะกล่าวอย่างเกียจคร้าน “โหรวโหรวไม่ถือวาเรื่องนี้หรอก ตราบใดที่ข้าดีกับนาง ดีกับมารดานางก็เพียงพอแล้ว”
หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “แล้วเจ้าไม่เคยคิดถึงอนาคตของโหรวโหรวบ้างเหรอ ผู้ชายควรจะแต่งงาน ผู้หญิงควรจะแต่งการ และอยู่ในอายุที่ควรจะสร้างครอบครัวได้แล้ว เจ้าขอให้ผู้การใหญ่ปล่อยนางออกจากตระกูลหวงฝู่ไม่ได้เหรอ ให้นางใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้หญิงทั่วไปไม่ได้เหรอ?”
“ต่อให้ท่านผู้การตอบตกลง แต่ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยปาก” อู่หนิงหรี่ตายิ้ม
“ทำไมล่ะ? นางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเจ้านะ!” หวงฝู่ตวนหรงตกใจ
อู่หนิงยิ้มตอบว่า “ก็เพราะนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าไง ข้าถึงได้ทำแบบนี้ ลูกสาวน่ะ เก็บไว้ข้างกายนั้นดีขนาดนี้ ถ้าชอบผู้ชายคนไหนก็ให้เขาแต่งงานเข้าตระกูลก็สิ้นเรื่อง ถ้านางชอบคนไหนก็ให้บอกข้า ข้าจะจัดการให้ด้วยตัวเอง ลูกสาวแบบนี้ข้าจะเก็บไว้ข้างกายข้าตลอดไป เป็นเรื่องที่ดีจะตาย ตอนนี้ข้าพบว่าข้าเริ่มชอบกฎของตระกูลหวงฝู่แล้ว”
“อย่ามาพูดจาโอ้อวดหน่อยเลย คนที่นางชอบน่ะ กลัวว่าเจ้าจะหาให้ไม่ได้น่ะสิ!” หวงฝู่ตวนหรงพลันลุกขึ้นยืน แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “สมมติถ้าหากวันหนึ่ง สามีที่โหรวโหรวแต่งงานรับเข้าตระกูลหวงฝู่มีฐานะเหมือนกันกับเจ้า ไม่ได้ชอบโหรวโหรวจากใจจริงเลย แต่มาเพื่อจับตาดูโหรวโหรว เจ้าจะเต็มใจมั้ย?”
อู่หนิงยิ้มไม่ออกแล้ว หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก พอแล้ว เจ้าคิดมากไปแล้ว เออใช่ ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อย ว่าโหรวโหรวทำอะไรผิดกันแน่ เจ้าถึงจะกักบริเวณนางไว้ในบ้าน?”
“ข้าพูดกับเจ้าไปก็เท่านั้น!” หวงฝู่ตวนหรงพูดกระแทกสใส่แล้วหันหน้าเดินออกไป
“ฮูหยิน…ฮูหยิน…หรงหรง…หรงหรง…” อู่หนิงเงยหน้าตะโกนเรียกซ้ำๆ จนกระทั่งเงาร่างของหวงฝู่ตวนหรงหายไป ถึงได้ส่ายหน้าแล้วเอนกายลง จากนั้นก็หยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ยกขาพาดอย่างสบายใจ แล้วพึมพำว่า “ผู้หญิงช่างไร้เหตุผลจริงๆ”
หอฉางเจิน ในสวนป่าขนาดเล็ก ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้กำลังเดินเล่นช้าๆ อยู่บนทางเล็กๆ พวกเขาเดินอ้อมอยู่ในป่าหลายรอบแล้ว คนหนึ่งเรือนร่างอ่อนช้อยอรชร คนหนึ่งเป็นวีรบุรุษสวมเกราะรบสีม่วง
สาวใช้สองคนที่เดินตามหลังอยู่ห่างๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน เห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคักเป็นระยะ เหมือนค่อนข้างมีความสุข
เซี่ยหลิงหลิงผู้จัดการร้านหอฉางเจินจู่ๆ ก็โผล่ออกมากลางป่า หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หวังเฟยเตรียมขนมไว้ให้คุณหนูกับขุนพลอยู่ในตึกศาลาค่ะ เชิญทั้งสองไปนั่งคุยเช่นกันสักหน่อย”
เหมียวอี้มองตามไปทางที่นางชี้ พบว่ามีตึกศาลาเล็กๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ สวยงามประณีตมาก แต่เขาก็ยังยิ้มพร้อมปฏิเสธว่า “เพิ่งจะดื่มไปได้ไม่นาน ข้ารับรู้ถึงน้ำใจของหวังเฟยแล้ว”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วย “เดินเล่นก็ไม่เลวนะ”
“ค่ะ!” เมื่อเห็นทั้งสองไม่อยากไป เซี่ยหลิงหลิงก็ทำได้เพียงยิ้มแล้วถอยออกไป
เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน เซี่ยหลิงหลิงก็ปรากฏตัวอีกแล้ว ในมือมีกล่องอาหารเพิ่มมากล่องหนึ่ง แต่ครั้งนี้กลับมาขวางสาวใช้สองคนที่อยู่ข้างหลัง หลังจากพึมพำสั่งอะไรบางอย่างไปแล้ว ก็เน้นย้ำว่า “หลังจากใส่สิ่งนี้ลงไปแล้วพวกเจ้าก็ออกมา ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครเรียกพวกเจ้าก็ห้ามเข้าไป”
สาวใช้ทั้งสองคือคนที่นางจัดหามา ย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว
ทั้งสองรีบเดินไปตรงหน้าเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ หนึ่งในนั้นบอกว่า “หวังเฟยให้นำของมาให้ทั้งสองค่ะ” แล้วอีกคนก็รีบเดินไปยังศาลาที่อยู่ตรงหน้า แล้วเปิดกล่องอาหารจัดวางไว้บนโต๊ะ
ก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปทางเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่หนิว ในเมื่อเป็นน้ำใจจากท่านแม่ เช่นนั้นก็ไปนั่งสักหน่อยสิค่ะ”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ นั่นไม่ใช้ห้องปิดอะไร คาดว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก จึงพยักหน้าตอบตกลง
สาวใช้ทั้งสองถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้นั่งลงในศาลา นางเป็นฝ่ายยกแขนเสื้อแล้วถือกาสุรารินให้เหมียวอี้
“ไม่กล้ารบกวน ข้าทำเองได้!” เหมียวอี้ผลักมือปฏิเสธ แต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับจ้องเขาพร้อมยิ้ม “พูดแล้วว่าต่อไปจะเป็นสหายกัน ทำไมต้องเกรงใจขนาดนี้คะ? หรือเป็นแค่คำพูดไม่จริงใจ ท่านไม่ได้คิดจะเป็นสหายกับข้าจริงๆ?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน ทำได้เพียงปล่อยมือออก จากการพูดคุยกับเขานับว่ามองออกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีกุศโลบายอะไร ปฏิบัติต่อผู้อื่นอยากใจกว้าง ความรู้ก็ไม่ธรรมดา สมกับที่เกิดมาจากจวนอ๋องสวรรค์
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่รินสุราเต็มจอกยกจอกขึ้นมา “พี่หนิว ข้าดีใจมากที่ได้รู้จักท่าน ข้าดื่มคารวะท่านค่ะ”
เหมียวอี้จ้องจอกสุราครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ยกขึ้นดื่ม เขาเองก็ไม่กลัวว่าใครจะใส่อะไรลงในของกิน “ข้าคารวะท่านก่อนแลวกัน”
หลังจากทั้งสองดื่มไปจอกหนึ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ช่วยรินสุราให้เขาอีก จากนั้นก็มองไปรอบๆ แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “พี่หนิว ท่านจับสนมสวรรค์หรูอี้แขวนไว้บนเสาธงจริงเหรอคะ?”
เหมียวอี้ปาดเหงื่ออย่างอับอายนิดหน่อย จ้านหรูอี้ในตอนนี้มีฐานะอะไรล่ะ นั่นคือสนมรักของราชันสวรรค์เชียวนะ จะเอามาพูดถึงส่งเดชได้อย่างไร จึงตอบอย่างจริงจังทันทีว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลอกตาอย่างเย้ายวน “ไม่สนุกเลยค่ะ! ตรงนี้ไม่มีคนนอก ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้ บอกมาเถอะค่ะ”
“ผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าพูด” เหมียวอี้ส่ายหน้า
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปาก “ต่อให้ราชันสวรรค์รู้แล้วยังไงล่ะ ข้ากับนางสนิทกันมาก ก่อนหน้านี้ข้ามักจะเที่ยวเล่นกับนางบ่อยๆ นางไม่ตำหนิข้าแน่นอน เฮ้อ! แต่จากที่ข้าเห็น พี่หรูอี้เป็นผู้หญิงแข็งกร้าวมาก นางอาจจะไม่เต็มใจเจ้าวังไปเป็นสนมสวรรค์อะไรนั่นก็ได้”
พอได้ยินแบบนี้ ในหัวเหมียวอี้ก็มีฉากหนึ่งปรากฏขึ้นมา รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วสูดหายใจลึก แล้วคว้าจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วก็เป็นฝ่ายดื่มจนหมดอีกสองจอกแล้วถึงได้วางลง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ฐานะของสนมสวรรค์แทบจะเป็นฐานะอันดับบนสุดท่ามกลางผู้หญิงแล้ว ถึงแม้จะแข็งกร้าว แต่ก็นับว่าได้สมปรารถนาแล้ว มีอะไรไม่เต็มใจอีก”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปรอบๆ อีก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “นั่นเป็นเพราะท่านไม่รู้จักพี่หรูอี้ นางตั้งปณิธานไว้ตั้งนานแล้วว่าจะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งไม่พึงพาใคร คนในครอบครัวบอกว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องแต่งงาน บอกว่าในทัพใหญ่ไม่เหมาะกับผู้หญิง เลยไม่ยอมใช้เส้นสายช่วยเหลือนาง นางเลยปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริงแล้วไปสมัครเป็นทหารเล็กๆ คนหนึ่ง เริ่มจากจุดต่ำสุด ได้ยินว่าหลายครั้งที่ชีวิตเกือบจะตกอยู่ในใอคนอื่น สุดท้ายถึงได้ไต่เต้าขึ้นไปทีละก้าวจนจึงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แน่นอน ตอนหลังฐานะของนางก็ถูกเปิดเผยแล้ว ท่านว่านางมีนิสัยแข็งกร้าวดื้อรั้นแบบนี้ จะเต็มใจเข้าวังไปแย่งความโปรดปรานจากฝ่าบาทพวกผู้หญิงได้ยังไงล่ะ นางไม่เต็มใจแน่นอน”
เหมียวอี้ทำหน้าซื่อ ทั้งสองดื่มไปพลางคุยไปพลาง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะได้พูดคุยคลุกคลีอยู่ด้วยกันแบบจริงจังหรือไม่ เหมียวอี้เริ่มมองประเมินความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว นางเป็นหญิงงามยั่วเย้าแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ใจสั่น เริ่มเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะดมดอมกลิ่นหอมสักครั้ง
ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เริ่มหน้าแดงบ้างแล้วเช่นกัน ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็เย้ายวนอยู่แล้วยิ่งดึงดูดใจเข้าไปอีก ดวงตางามฉ่ำน้ำ คำพูดคำจาก็เริ่มอ่อนหวานนุ่มนวล “ได้ยินท่านแม่บอกว่ามาสู่ขอท่านให้แต่งงานกับข้าแล้ว พี่หนิวอาจจะไม่ปฏิเสธ ไม่ทราบว่าจริงมั้ยคะ?”
เหมียวอี้ตอบ “อืม” อย่างคลุมเครือ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองตอบสนองเหมือนมีผีมีเทพดลใจแล้ว
“พี่หนิวจะตอบตกลงเรื่องแต่งงานมั้ยคะ?” น้ำเสียงของก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มออดอ้อน ถึงขั้นลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เข้ามารินสุราอยู่ตรงข้างกายเหมียวอี้แล้ว ร่างกายของทั้งสองสัมผัสกันโดยไม่รู้ตัว
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าตัวเองไม่มีทางตอบตกลง แต่มือข้างหนึ่งกลับไปสัมผัสกับขาของก่วงเม่ยเอ๋อร์อย่างเพ้อฝัน แล้วค่อยๆ ไหลขึ้นไปบนต้นขาอย่างข่มอารมณ์ไม่ไหว ลูบไล้อยู่บนจุดที่อวบอัดยืดหยุ่นบนบั้นท้ายของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว สัมผัสมือนั้นทำให้วิญญาณล่องลอย นิ้วทั้งห้าย่ำยีไม่ยอมปล่อย
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตัวสั่นทันที ร่างงามอ่อนปวกเปียก ครางหนึ่งทีแล้วหมอบบนบ่าเหมียวอี้ นางคล้องคอเขา จอนหูถูไถอยู่ด้วยกัน นางถามพร้อมหายใจถี่กระชั้นว่า “พี่หนิวจะตอบตกลงมั้ยคะ?”
ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะคิ้วกระตุก มือที่กำลังร้อนรนพลันย้ายออกจากร่างกายนาง เพลิงจิตทำงานเองโดยอัตโนมัติ แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย อวัยวะภายในและกระดูกมีควันลอยขึ้นมา จิตวิญญาณถูกกระตุ้นทันที รู้สึกได้ว่าตัวเองโดนพิษเข้าแล้ว
พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูภายใน เขาก็ตกใจทันที เป็นสภาพเดียวกับตอนที่เจอเฟยหง เป็นอารมณ์ราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงไม่สังเกตเห็น ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้ตัวว่าโดนพิษได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเป็นของประหลาดนั่น?
เหมียวอี้พลันดึงแขนทั้งสองของก่วงเม่ยเอ๋อร์ออก ถลันหลบไปอยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “แม่นางเม่ยเหนียง ท่านเมาแล้ว!”
เขารู้ว่าใส่พิษประเภทนี้ไปแค่ปริมาณเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นก็คงสังเกตเห็นไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าควรจะแก้พิษอย่างไร เขาพลิกมือหยิบดวงจิตน้ำแข็งสองลูกไว้ในมือ ลูกหนึ่งกำไว้ในมือตัวเอง อีกลูกหนึ่งยัดไว้ในมือก่วงเม่ยเอ๋อร์
บนมือก่วงเม่ยเอ๋อร์ถูกย้อมด้วยน้ำค้างขาวในชั่วพริบตาเดียว ทั้งยังลามขึ้นมาบนแขนด้วย นางหนาวจนตัวสั่น ถูกกระตุ้นจนได้สติกลับมา นางย้อนนึกถึงภาพเมื่อครู่นี้ทันที ทำให้อายจนร้องอุทาน “หา” แล้วเดินถอยหลังหลายก้าว
ในดาราจักร จู่ๆ อวี่จ้งเจินก็เห็นเกาก้วนที่เหาะอยู่ข้างหน้าหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังติดต่อใคร จากนั้นก็ได้ยินเกาก้วนทำเสียงฮึดฮัด สะบัดแขนเสื้อสองข้าง แล้วเร่งความเร็วเหาะไปแล้ว ความเร็วไม่ได้เพิ่มขึ้นน้อยๆ ทิ้งห่างจากกำลังพลที่อยู่ข้างหลังแล้ว
…………………………