พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1561 ถูกสอบสวน (3)
“เหลวไหลสิ้นดี เจ้าเพิ่งบอกไม่ใช่เหรอว่าอวิ๋นจือชิวเป็นเพื่อนเจ้า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมกลายเป็นว่าฉู่จื่อซานแย่งผู้หญิงของเจ้าซะแล้วล่ะ?” เซวียนหยวนจัวถาม
เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจีบนางมาตั้งแต่ปีก่อนโน่นแล้ว นางบอกว่าไม่อยากแต่งงานอีก พอข้าจีบซ้ำไปซ้ำมา นางก็เลยให้คำสัญญากับข้าข้อหนึ่ง ว่าถ้าวันใดนางยินดีจะแต่งงาน นางก็จะไม่แต่งงานกับคนอื่น จะแต่งงานกับข้าเท่านั้น ถ้าฉู่จื่อซานมาขอแต่งงาน ข้ากับอวิ๋นจือชิวก็เป็นสหายกัน พอฉู่จื่อซานจะจัดงานแต่งงาน อวิ๋นจือชิวก็เป็นผู้หญิงของข้าแล้ว! ท่านโหว ถ้ามีคนจะมาแย่งผู้หญิงของท่าน ท่านจะมีปฏิกิริยายังไง?”
ทุกคนได้ยินแล้วกัดฟัน ตอนคนอื่นไม่มาขอแต่งงานนางก็เป็นเพื่อนเจ้า แต่พอมีคนมาขอแต่งงาน นางก็เป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว นี่มันตรรกะอะไรกัน?
“หนิวโหย่วเต๋อ เซวียนหยวนจัวกำลังสอบสวนเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาสอบสวนเซวียนหยวนจัว” ตู๋กูอู๋ตะคอกอย่างเย็นเยียบ
เซวียนหยวนจัวกลับไม่ถือสาที่เหมียวอี้ถามกลับ ซักไซ้ถามเพียงประเด็นหลักเท่านั้น “ต่อให้เป็นความบังเอิญ แต่การที่เจ้าเรียกรวมกำลังพลที่น่านฟ้าระกาติงก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วยงั้นเหรอ? มีเรื่องบังเอิญเยอะเกินไปหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้มีใจคิดเรื่องส่วนตัวเลยจริงๆ อยากจะถือโอกาสไปเยี่ยมอวิ๋นจือชิวสักหน่อย ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะบังเอิญประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้”
เซวียนหยวนจัวตะคอกทันที “ตอนที่ฉู่จื่อซานนำคนมาถึง ทำไมเจ้าถึงไม่เปิดเผยตัวตน แต่ลงมือสังหารอีกฝ่ายจนตาย?”
“ในจุดนี้ข้าบอกไว้ชัดเจนแล้วในคำให้การก่อนหน้านี้ ฉู่จื่อซานไม่ให้โอกาสข้าได้เปิดเผยตัวตนเลย พอเห็นพวกเราเปิดเผยเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์แล้ว ก็ยังออกคำสั่งบุกโจมตีเหมือนเดิม เป็นเขาที่ลงมือก่อน อย่าบอกนะว่าจะให้ข้านั่งรอความตาย? ฉู่จื่อซานไม่ให้โอกาสพวกข้า เขาเป็นฝ่ายเล่นงานก่อน พวกข้าถึงได้โจมตีกลับ มีคนมากมายที่เห็นเองกับตา ไม่ใช่หนิวที่พูดเหลวไหล!” เหมียวอี้ตอบ
“คนร้ายล่ะ? เจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมนั่นไปไหนแล้ว?” เซวียนหยวนจัวถาม
“ข้าบอกไปแล้วไง พวกเขาหนีไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
เซวียนหยวนจัวแสยะยิ้ม “ทัพใหญ่ห้าหมื่นของเจ้าโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแพ้ได้ แค่ผู้ร้ายกระจอกสองคน แต่รอดพ้นจากกำลังพลมากมายไปแล้ว ถ้าเป็นเจ้าเจ้าเชื่อมั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมากจริงๆ แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าควบคุมสองคนนั้นไว้ได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็หลุดออกจากกระเป๋าสัตว์ข้าไป ข้าเลยโบกกระบี่ฟันทันที แต่ใครจะคิดว่าพออีกฝ่ายโบกแขนเสื้อหนึ่งที กระบี่ผลึกแดงของข้าก็กลายเป็นผุยผง ข้าทำอะไรไม่ถูกจนเกือบจะโดนเขาฆ่าแล้ว จนกระทั่งตอนข้าจะโต้ตอบอีกที สองคนนั้นก็หนีไปทางดินราวกับดำน้ำไป ทัพใหญ่ของข้าหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอย”
เซวียนหยวนจัวยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าเป็นเพราะได้รับข่าว ถึงได้รู้ว่าเจียงอีอีจับตัวประกันหนีไปทางกองกำลังของเจ้า เจ้าถึงได้นำกำลังพลไปจัดการเจียงอีอี เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้ตอบ
“ใครเป็นคนส่งข่าวให้เจ้า?” เซวียนหยวนจัวถามอีก
“ลูกน้องเก่าคนหนึ่งที่อยู่น่านฟ้าระกาติง” เหมียวอี้ตอบ
“ลูกน้องเก่าของเจ้ารู้ทิศทางที่เจียงอีอีจะหนีไปได้ยังไง?” เซวียนหยวนจัวถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “เพราะเขาเป็นหนึ่งในกำลังพลที่กำลังไล่ตามเจียงอีอี เขารู้ว่าข้าอยู่ตรงไหน”
“บอกให้ละเอียดหน่อย เป็นใครกันแน่?” เซวียนหยวนจัวถาม
“รองผู้บัญชาการคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติง ชื่อว่าโจวหลาง!” เหมียวอี้ตอบ
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาติดต่อกับเจ้าผ่านระฆังดารา?” เซวียนหยวนจัวถาม
“ใช่แล้ว!”
“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าใช่มั้ย ว่าระฆังดาราที่เจ้ากับเขาใช้ติดต่อกันหายไปแล้ว?” เซวียนหยวนจัวกล่าว
“ไม่ใช่สักหน่อย” เหมียวอี้ว่า
เซวียนหยวนจัวจึงบอกว่า “งั้นก็นำออกมา เก็บหลักฐานไปพิสูจน์ความจริง!” พูดจบก็เอียงหน้า ก่อนจะมีคนไปคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเหมียวอี้
เหมียวอี้โบกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วมีคนไปรับมาไว้ทันที
ตอนนี้ตู๋กูอู๋จากทัพซ้ายของน่านฟ้าดินวอกเอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของน่านฟ้าระกาติงมาล้อมกำลังพลของเจ้าไว้แล้ว ตอนที่บอกให้เจ้ายอมแพ้ ทำไมเจ้ายังกล้าออกคำสั่งรุกโจมตีอีก?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงดังอีกเล็กน้อยว่า “นายท่านตู๋กู เหตุใดจึงกล่าวคำพูดที่น่าปวดใจแบบนี้ออกมาได้ !กองทัพองครักษ์เป็นกองทัพของฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนที่จะยอมจำนนให้คนอื่น! ทำไมท่านไม่บอกล่ะว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนนั่นไม่ถอยไป หลังจากถอยไปแล้วหนิวก็หนีไม่พ้นอยู่ดี จะขาวหรือจะดำ เดี๋ยวข้าก็ย่อมอธิบายในวันนั้นเอง แต่พวกเขาดึงดันจะล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์ให้ได้?”
“เจตนาแอบแฝงจากไหนกัน พวกเขาแค่อยากจะกดดันให้พวกเจ้ายอมแพ้ก็เท่านั้นเอง” ตู๋กูอู๋กล่าว
เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนโมโหว่า “หนิวอยู่ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพ มีหรือที่จะเอาชีวิตนับหมื่นของพี่น้องไปทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนั้นต่อให้มีความหวังเล็กน้อยที่จะรอด ข้าก็ไม่อยากให้ศึกใหญ่ขนาดนั้นเกิดขึ้นเลย ชีวิตข้ามีแค่ชีวิตเดียว ไม่อยากเอาไปเสี่ยงเหมือนกัน นายท่านตู๋กูดูลูกน้องของหนิวที่เหลือรอดสิ เห็นไหมว่าสภาพพวกเขาเป็นยังไง พวกเขาเก็บชีวิตมาได้จากกองคนตายทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตัวตกอยู่ในสภาพอับจน ใครจะอยากไปสู้จนตัวตายล่ะ?หนิวสรุปได้ตรงนี้เลย ตอนนั้นทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงต้องการจะเล่นงานพวกเราให้ได้ ไม่ได้จะเหลือทางรอดให้พวกเราเลย!”
“เจ้าสรุปอะไร? หลักฐานล่ะ?” ตู๋กูอู๋ทำท่ายื่นมือขอหลักฐาน พลางถามกดดันอย่างน่าเกรงขาม “เป็นเจ้าที่ลงมือก่อน พวกเขาถึงได้โต้ตอบ เจ้าอาศัยอะไรมาสรุปว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานพวกเจ้าให้ถึงตาย เอาหลักฐานมา ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ากล่าวสรุปซี้ซั้ว!”
“จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก! หนิวเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง นำกำลังพลเฝ้าประตูให้ฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนที่จะยอมจำนน ผู้จาบจ้วงอำนาจบารมีสวรรค์…” เหมียวอี้พลันชี้มือแล้วกล่าวเสียงดัง ชี้หน้าตู๋กูอู๋พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ฆ่า! ต่อให้รบจนเหลือทหารอยู่คนเดียว แต่ก็จะไม่ยอมจำนนเด็ดขาด!”
ในโถงศาลาเงียบไปพักหนึ่ง สมาชิกที่รับหน้าที่บันทึกคำให้การก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน งุนงงไปหมดแล้ว!
ตู๋กูอู๋อับอายจนโมโหทันที สีหน้าเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดา แต่กลับถูกเถียงจนพูดไม่ออก พอจัดระเบียบความคิดได้แล้ว ก็ตะคอกว่า “ฉู่จื่อซานโดนเจ้าลงโทษสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น เจ้าจะอธิบายยังไง? มีเรื่องนี้รึเปล่า?”
“มี!” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเล
ตู๋กูอู๋เล่นงานทันที “ฉู่จื่อซานเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติง เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปลงโทษประหารเขา?”
ท่าทางเหมียวอี้เหมือนจะหายโกรธแล้ว ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ทหารที่รบแพ้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ถ้าข้ารบแพ้ ก็จะยอมให้เขาสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นเหมือนกัน ไม่บ่นแน่นอน!”
“บันทึกไว้!” ตู๋กูอู๋ชี้บอกผู้บันทึกคำให้การที่อยู่รอบๆ แล้วพูดซ้ำว่า “จดคำพูดของเขาเอาไว้!” แล้วก็ชี้เหมียวอี้พร้อมถามอีกว่า “หลังจากจบเรื่องแล้ว เจ้านำกำลังพลมาถึงดาวจิ่วหวน ขู่คุกคามทหารที่เฝ้าตลาดสวรรค์ว่าจะล้างเลือกทั้งเมือง เจ้าจะอธิบายังไง?”
เหมียวอี้ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อวี่จ้งเจินก็พูดแทนแล้วว่า “นายท่านตู๋กู สามหน่วยงานมาร่วมสอบสวนคดีน่านฟ้าระกาติง ส่วนเรื่องหลังจากนั้น กองทัพองครักษ์ก็สอบสวนลงโทษเอง ไม่รบกวนให้นายท่านตู๋กูมาสนใจหรอก”
“เฮอะ!” ตู๋กูอู๋ทำเสียงฮึดฮัดพลางสะบัดชายเสื้อ สุดท้ายก็หยุดแล้ว
ตอนนี้คนอื่นๆ ยังไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเหมียวอี้จึงยืนยันและลงนามบนคำให้การของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกพาตัวไป
ตู๋กูอู๋ที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วกุมหมัดคารวะเก้ากวนอีกครั้ง “นายท่านเกา คนของจวนสี่อ๋องสวรรค์ถูกขังในคุกใหญ่มาหลายวันแล้ว นายท่านเกามีอะไรจะสืบสวน ควรจะพาตัวมาแล้วได้หรือเปล่า?”
“จัดการเรื่องหลักก่อน เอาสมาธิมาจดจ่อกับคำการตรวจสอบให้การของผู้ต้องหาหลักก่อน” เก้ากวนกล่าวเสียงเรียบ
“นายท่านเกา ในเมื่อท่านสงสัยว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับคดีที่น่านฟ้าระกาติง เช่นนั้นก็แปลว่าเกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญ ทำไมจึงกลายเป็นความสำคัญอันดับรองได้?” ตู๋กูอู๋ถาม
“ไม่ใช่ข้าที่สงสัย เป็นหวังเฟยของจวนอ๋องสวรรค์ก่วงที่กล่าวโทษ” เก้ากวนตอบ
“หวังเฟยไม่ได้กล่าวโทษพ่อบ้านโกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง นายท่านไม่อาจพูดอ้างน้ำขุ่นๆแบบนี้ได้ ไร้เหตุผลแบบนี้มันฟังไม่ขึ้น! ถ้านายท่านเกาไม่มีเวลา ก็ให้ข้าน้อยไปถามแทนให้นายท่านเกาดีมั้ย?” ตู๋กูอู๋ถาม
เก้ากวนจึงบอกว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่ง คดีของน่านฟ้าระกาติง สามหน่วยงานร่วมสอบสวนด้วยกัน!ตั้งแต่นี้ไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีน่านฟ้าระกาติง คนของทั้งสามหน่วยงานจะต้องมาถึงโถงนี้ด้วยกันถึงจะเริ่มสอบสวน ไม่อนุญาตให้คนของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปคุยกันส่วนตัว ไม่อย่างนั้นจะไม่ล่อยไปง่ายๆ แน่นอน…ถ้านายท่านตู๋กูรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่มีเหตุผล ก็สามารถฟ้องขึ้นไปเบื้องบนได้เลย!”
“ท่าน…” ตู๋กูอู๋เผยสีหน้าเดือดดาล
ไม่นานก็เริ่มตรวจสอบคำให้การของเหมียวอี้แล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสัญญาได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวยอมรับว่าให้คำสัญญานั้นไว้กับเหมียวอี้จริงๆ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ว่าทั้งสองจะต้องปรึกษากันไว้แล้วแน่นอน
สำหรับเรื่องที่เจียงอีอีหนีไป ฝั่งนี้ก็สอบถามคนจำนวนไม่น้อยที่เคยไล่จับเจียงอีอี ผลก็คือสอดคล้องกับสิ่งที่เหมียวอี้บอก พิสูจน์แล้วว่าเจียงอีอีเป็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุทองและธาตุดินได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นกรณีที่หาพบได้ยาก สถานการณ์ที่เหมียวอี้พบนั้น มีคนไม่น้อยที่เคยประสบมาแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จับตัวเจียงอีอีได้ยาก
ส่วนคนที่เปิดเผยให้เหมียวอี้รู้ถึงเส้นทางหลบหนีของเจียงอีอี ผู้สืบสวนสามหน่วยงานก็สืบเจอแล้วเช่นกัน ที่น่านฟ้าระกาติงมีคนที่ชื่อโจวหลางอยู่จริงๆ แต่กลับพบว่าคนคนนี้รบตายที่น่านฟ้าระกาติงแล้ว จากนั้นก็พบของของโจวหลางที่กำลังพลธงมังกรน้ำเงินเก็บรวบรวมไว้ เจอระฆังดาราที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว ด้านหนึ่งก็ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้กับโจวหลางติดต่อกัน
แต่สิ่งนี้สามารถปลอมแปลงได้อยู่แล้ว เพราะโจวหลางตายไปแล้ว คนตายไม่สามารถให้การได้!
แล้วทำไมเจียงอีอีต้องจับตัวอวิ๋นจือชิวตัวปลอม หรือจงใจจะเสี้ยมให้กองทัพองครักษ์กับอำนาจท้องถิ่นเข่นฆ่ากันเอง? นี่คือปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่รู้อีกว่าเจียงอีอีอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้เลย
จากเหตุการณ์ที่ได้ขากพยานคำพูดและพยานวัตถุต่างๆ ก็พบว่าฉู่จื่อซานนำกำลังพลมาบังเอิญเจอกับกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ และฉู่จื่อซานก็ออกคำสั่งให้ลงมือก่อนจริงๆ ผลของการสืบสวนทำให้หนิวโหย่วเต๋อได้เปรียบ
แต่ถ้าดูจากรายละเอียด ทุกคนก็ล้วนเข้าใจ ว่านี่คือกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางไว้ หนิวโหย่วเต๋อลูบคลำ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมต่อหน้าฉู่จื่อซาน ฉู่จื่อซานที่กำลังจะแต่งงานกับนางถึงได้เดือดดาลแล้วออกคำสั่งโจมตี ทว่าเหมียวอี้ยืนกรานว่ารู้เรื่องของฉู่จื่อซานกับอวิ๋นจือชิว แล้วทุกคนที่รู้ความจริงก็ไม่มีใครให้การที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อเหมียวอี้เลย แล้วเจ้าจะทำอะไรเขาได้ล่ะ?
วังสวรรค์ ประมุขชิงที่อยู่หาความสุขกับสนมสวรรค์หรูอี้สองสามวันเดินออกมา ซ่างกวนชิงรอต้อนรับอยู่ตรงประตู แล้วเดินออกไปด้วยกัน
“สืบคดีที่น่านฟ้าระกาติงเป็นยังไงบ้างแล้ว?” ประมุขชิงถามอย่างไม่ใส่ใจ
ซ่างกวนชิงเล่าสถานการณ์ทางนั้นให้ฟังโดยละเอียดทันที
หลังจากได้ฟังแล้ว ประมุขชิงก็ถามอย่างลังเลว่า “หลักฐานทุกอย่างได้พิสูจน์แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่มีบางอย่างที่เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ อย่าบอกนะว่าคดีที่น่านฟ้าระกาติงเป็นความบังเอิญจริงๆ?”
ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยโทนเสียงที่ต่ำลงว่า “ฝ่าบาท เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชนในมือบ่าว นี่เป็นความลับของสมาคมวีรชน แม้แต่ในสมาคมวีรชนเองก็ยังมีคนรู้ไม่เยอะ สมาคมวีรชนสังเกตพบกลุ่มคนต้องสงสัย จึงส่งเจียงอีอีไปคลุกคลีด้วยอย่างลับๆ หลังจากเกิดคดีขึ้น บ่าวก็ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ ตามที่ได้รับรายงานมา จนกระทั่งตอนนี้เจียงอีอีก็ยังปฏิบัติภารกิจลับอยู่ อยู่ไกลจากสถานที่เกิดเหตุมาก ไม่สามารถเสนอหน้าไปก่อคดีได้เลย เจียงอีอีก็ปฏิเสธว่าทำเรื่องนี้เช่นกัน”
ประมุขชิงเข้าใจแล้ว จึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เป็นเจ้าลูกลิงนั่นสร้างสถานการณ์จริงๆ ใจกล้าไม่เบา เกรงว่าต่อให้นอนฝันเขาก็คงนึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน!” ทว่าเขาไม่ได้สืบสาวเอาความกับเรื่องนี้ กลับบอกด้วยมุมมองที่ต่างออกไปว่า “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าลูกลิงนั่นพูดไม่ผิด และไม่ได้ทำผิดด้วย กองทัพองครักษ์ของข้าจะยอมจำนนให้คนอื่นได้อย่างไร? เจ้าลูกลิงนั่นมีนิสัยที่เป็นปัญหาไม่น้อยเลย แต่ทิศทางและจุดยืนไม่มีปัญหา ข้าชื่นชม! คนหนุ่มไงล่ะ ก็อารมณ์ร้อนเป็นธรรมดา ทำอะไรบุ่มบ่ามไปบ้างก็พอเข้าใจได้ นิสัยเสียเล็กน้อยสามารถขัดเกลากันได้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่มีจุดด่างพร้อยเลย แต่ถ้าปัญหามาจากสันดานจริงๆ นั่นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
…………………………