พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1567 พลทหารหนิว
“อ้อ!” โค่วหลิงซวีรู้สึกสนใจทันที ที่บอกว่าเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับกองทัพองครักษ์หมายความว่าอะไรล่ะ? อยู่ดีๆ หนิวโหย่วเต๋อจะไปเกลี้ยกล่อมคนพวกนี้ทำไม? อาศัยกำลังของหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เหมือนว่าจะมีบทบาทกับตระกูลโค่วมากกว่านั้นหน่อย เขาฟังออกถึงความหมายลึกล้ำในคำพูดของเฒ่าถัง จึงถามว่า “เฒ่าถัง เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้?”
เฒ่าถังตอบว่า “เรื่องในภายหลังไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน ไม่อาจรับประกันว่าจะเกลี้ยกล่อมได้ทุกคน แต่ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อเอ่ยปาก ก็น่าจะเกลี้ยกล่อมได้จำนวนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรักษาความสัมพันธ์ไว้ บ่าวแนะนำให้แอบส่งทรัพยากรสนับสนุนให้คนพวกนั้นในนามของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้พวกเขาระลึกถึงน้ำใจของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเวลาที่ดีสำหรับลงมือ เมื่อเวลาผ่านไปใจคนก็ยากจะคาดเดา ความสัมพันธ์จืดจางลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรักษาไว้ นายท่าน นี่เป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกองทัพองครักษ์ ตอนนี้คนพวกนี้ยังไม่มีบทบาทอะไร แต่พอในอนาคตได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว ต่อให้มีจำนวนน้อยนิดที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูง แต่พวกเขาล้วนแสดงบทบาทสำคัญได้ แต่กลัวว่าเรื่องราวจะไม่แน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะใช้ประโยชน์ได้!”
โค่วหลิงซวีหรี่ตาไตร่ตรองอยู่นานมาก ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ถ้าให้ประมุขชิงรู้ว่าพวกเรายื่นมือเข้าไปหลังบ้านเขา เจ้าเองก็รู้ถึงผลที่ตามมา” ความหมายแฝงก็คือตอบตกลงแล้ว
เฒ่าถังกล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ดังนั้นจึงต้องอาศัยชื่อของหนิวโหย่วเต๋อ จะให้ผู้ถูกสนับสนุนรู้ไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยชื่อหนิวโหย่วเต๋อสั่งให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ และระหว่างพวกเขาก็ถูกจับแยกแล้ว สะดวกให้พวกเราดำเนินการที่ละเรื่องพอดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้หนิวโหย่วเต๋อรู้”
โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ “บ่าวจะไปจัดการ ความปลอดภัยเชื่อถือได้ต้องมาอันดับหนึ่ง”
“ขอรับ!” เฒ่าถังเอ่ยรับ แล้วถามอีกว่า “แล้วเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลดขั้นจะทำยังไงขอรับ?”
“วันหลังขาค่อยไปคุยกับประมุขชิง” โค่วหลิงซวีกล่าว
ในลานบ้านขนาดใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์โค่ว เรียกได้ว่าคึกคักอบอุ่น สามพี่น้องตระกูลโค่วมองอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
“น้องเจ็ด ข้าคือซูฮวนเหนียง มารดาของเหวินหลาน เจ้ากับเหวินหลานก็เป็นคนสนิทคุ้นเคยกันมานาน นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็กๆ น้อยๆ อย่ารังเกียจนะ” ซูฮวนเหนียง มารดาของโค่วเหวินหลานเป็นคนแรกที่เข้ามาหา ใบหน้ารูปยิ้มจนเกิดลักยิ้มสวยสองข้าง นางยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มืออวิ๋นจือชิว แล้วคล้องแขนอวิ๋นจือชิวไม่ยอมปล่อย เริ่มพูดแนะนำกับอวิ๋นจือชิว “นี่คือสุยฉู่ฉู่ มารดาของเหวินไป๋ เหวินหง นี่คือหร่วนจิ้ง มารดาของเหวินหวง เหวินลวี่ เหวินชิง”
“น้องเจ็ดสวยจริงๆ น้ำใจเล็กน้อยพวกนี้อย่ารังเกียจนะ”
ฮูหยินของโค่วเจิงกับโค่วฉินก็ทยอยกันนำของขวัญแรกพบมามอบให้เช่นกัน
ลูกสาวสามคนของตระกูลโค่วก็กลับมาแล้วเช่นกัน พวกนางต่างก็พาสามีมาด้วย เป็นตัวแทนของแต่ละบ้านมามอบของขวัญแรกพบให้อวิ๋นจือชิว
ทั้งยังมีอนุภรรยาแสนสวยของอ๋องสวรรค์โค่วอีกเป็นร้อยคน นำของขวัญแรกพบมาให้ในฐานะผู้อาวุโส ในจำนวนนั้น อนุภรรยาที่คลอดลูกให้อ๋องสวรรค์โค่วจะมีฐานะสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นลูกชาย หลักการ ‘แม่ได้ดีเพราะลูกชาย’ ทำให้ไม่ต้องกังวลฐานะในตระกูลโค่วเลย อวิ๋นจือชิวพยายามจดจำชื่อของคนพวกนี้ไว้แล้ว ที่จริงอนุภรรยามีเยอะเกินไป อวิ๋นจือชิวจำได้ไม่หมดภายในเวลาอันสั้นจริงๆ
โค่วเหวินไป๋กับโค่วเหวินหลานและกลุ่มรุ่นหลานก้าวขึ้นมาคำนับด้วยกัน “คำนับท่านอา” ในจำนวนนั้น ไม่ต้องบอกเลยว่าโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินหลานอึดอัดใจขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะกลายเป็นอาเขยของพวกเขาแล้ว
ทว่าต่อให้วันนี้จะอึดอัดขนาดไหน แต่ก็ต้องเจียดรอยยิ้มออกมา ทุกคนรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนที่ท่านอ๋องเตรียมจะฝึกเลี้ยง ได้รับความสำคัญจากท่านอ๋องมาก ในไม่ช้าก็เร็วจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากของจวนท่านอ๋อง ดังนั้นทุกคนจึงมีท่าทีที่ดีมากต่ออวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวย่อมมีของขวัญมองคืนให้ทุกคนอยู่แล้ว การมอบของขวัญราคาแพงให้ต่อหน้าคนตระกูลนี้ก็เหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ด้วยพื้นเพชาติกำเนิดของอีกฝ่าย มีอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงแสดงน้ำใจเล็กน้อย โชคดีที่นางนำเครื่องประดับมาด้วยไม่น้อยเลย ของขวัญไม่ได้ราคาแพง แต่สวยงามประณีต นางแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง ให้ทุกคนไปเลือกกันเอาเอง
กลุ่มผู้หญิงมาล้อมอวิ๋นจือชิวไว้สามชั้นทันที อุทานตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ต่างคนต่างเลือกเครื่องประดับที่ตัวเองชอบแล้วถอยออกไป แล้วให้คนที่อยู่ข้างหลังเข้ามาเลือก ครึกครื้นกันอยู่นานมากจริงๆ
สามพี่น้องตระกูลโค่วที่ดูอยู่ข้างๆ เห็นแล้วส่ายหน้า รับไม่ไหวกับผู้หญิงพวกนี้ ผู้ชายจะสนใจเหรอว่าผู้หญิงใส่เครื่องปะดับอะไร? ทั้งร่างกายของผู้หญิง เกรงว่าสิ่งที่ผู้ชายไม่สนใจที่สุดก็คือเครื่องประดับที่สวมใส่นี่แหละ
“ตระกูลโค่วไม่ได้ครึกครื้นอย่างนี้มานานแล้ว” โค่วเจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนพยักหน้า ในจุดนี้พวกเขายอมรับ…
อุทยานหลวง เดิมทีมู่อวี่เหลียนอยากจะดูเหมียวอี้ จะให้เหมียวอี้ไปพักที่จวนแม่ทัพภาค แต่เหมียวอี้ปฏิเสธเอง ไม่จำเป็นต้องทำให้มู่อวี่เหลียนอึดอัด ทำบ้านพักที่เรียบง่ายอยู่ในค่ายทหารใกล้ๆ ที่นาหลวง
ผู้บังคับการกองห้าที่รับผิดชอบเหมียวอี้ ถึงแม้จะมาใหม่ แต่ชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเหมียวอี้กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่จะดีจะร้ายก็เคยรับตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เป็นบุคคลโด่งดังที่นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านจนแตกพ่าย แม่ทัพภาคคนปัจจุบันก็เป็นลูกน้องเก่าของเจ้าตัวด้วย ถ้ากล้าเฉยชาต้อนรับไม่ดีก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว ผู้บังคับการกองห้าจึงแบ่งห้องเดี่ยวที่ดีที่สุดให้เหมียวอี้อย่างเกรงใจ
เมื่ออยู่ด้วยกันไปสักระยะหนึ่ง ก็พบว่าเส้นสายของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้จะสวมเกราะเงินเดินไปเดินมา แต่ก็มักจะมีแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่เฝ้าวังสวรรค์มาดื่มสุราด้วยบ่อยๆ สหายที่ไปมาหาสู่กับพลทหารหนิวทำให้ผู้บังคับการกองห้าตะลึงค้างจริงๆ
ที่จริงตอนแรกเหมียวอี้ไม่ได้รู้จักแม่ทัพใหญ่เกราะแดงพวกนั้น แต่ตอนหลังที่เวินเจ๋อมาหา นำค่าจ้างรวมตอนที่เหมียวอี้โดนขังอยู่ในแดนมรณะอเวจีมาให้เหมียวอี้ ก็ถือโอกาสดื่มสุรากับเหมียวอี้ด้วย ตอนหลังพวกสหายของเวินเจ๋อที่อยู่วังสวรรค์ก็อยากจะทำความรู้จักคนประหลาดคนนี้สักหน่อย ดังนั้นเวินเจ๋อจึงพาสหายมาทุกๆ สามวันห้าวัน คนที่เคยมาก็สนิทกับเหมียวอี้แล้ว ทั้งยังพาสหายที่อยากรู้อยากเห็นมาดื่มสุรากับเหมียวอี้อีก
ถึงอย่างไรก็มีทั้งคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายและหน่วยองครักษ์ขวา นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้คลุกคลีกับแม่ทัพใหญ่วังสวรรค์มากมายขนาดนี้ เลยถือโอกาสให้คนพวกนี้ช่วยเหลือสักหน่อย ให้พวกเขาช่วยดูแลลูกน้องเก่าของตัวเองที่ถูกจับแยกไป โดยเฉพาะพวกลูกน้องคนสนิท เรื่องนี้พูดง่าย บางทีการช่วยเลื่อนขั้นอาจจะทำไมได้ แต่ช่วยไม่ให้โดนคนอื่นรังแกก็ไม่มีปัญหา
เหมียวอี้ได้ค้นพบเรื่องที่น่าตกตะลึงจากคนพวกนี้เช่นกัน พวกทหารที่ติดตามเขาไปทำศึกเลือดที่น่านฟ้าระกาติงได้เลื่อนตำแหน่งหมดแล้ว ไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว อย่างน้อยได้เลื่อนตำแหน่งติดกันสองขั้น บางคนเลื่อนจากระดับต่ำสุดข้ามผู้บังคับการกองห้าไปเลย ผู้บังคับการกองร้อยเลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการแล้ว กำลังพลนับหมื่นอย่างแย่สุดก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ส่วนผู้บัญชาการ บัญชาการใหญ่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ ของกองมังกรดำที่ไม่ได้ร่วมศึกใหญ่น่านฟ้าระกาติง ส่วนใหญ่ก็ถูกโยกย้ายไปในตำแหน่งเดิม ไม่ได้โอกาสเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วอย่างคนที่ร่วมศึก
ตอนหลังพอเวินเจ๋อมาหา เหมียวอี้จึงถามถึงเหตุผลที่อยู่ในนั้น เวินเจ๋อยิ้มพร้อมตอบว่า “น้องชาย กำลังพลห้าหมื่นถูกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านโจมตี สละชีวิตทำศึกเลือดภายใต้สถานการณ์ที้สียเปรียบอย่างแน่นอน แต่ก็ยังสามารถโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านจนล้มตายไปหลายแสนได้ คนที่ยังรอดชีวิตก็แปลว่ามีประวัติส่วนตัวที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรไม่ได้หากจะเลื่อนขั้นให้พวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะสลายตัวไปหมดแล้ว แต่กองทัพองครักษ์เคยปฏิบัติต่อคนที่มีผลงานการรบอย่างอยุติธรรมเสียที่ไหนกัน มีแต่จะสรรเสริญ ไม่มีทางข่มเหง เบื้องบนยังหวังให้พวกเขาบอกเล่าประสบการณ์ศึกน่านฟ้าระกาติงต่อกองทัพองครักษ์ด้วย พวกเขากลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แต่ละหน่วยงานเพาะเลี้ยงไปแล้ว แน่นอน เจ้าเป็นแค่คนเดียวที่โดนลดขั้น ใครใช้ให้เจ้ายืนผิดกลุ่มเพราะผู้หญิงคนเดียวล่ะ แต่จะว่าไปแล้ว กำลังพลนับหมื่นนั่นก็ได้อาศัยบารมีเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะศึกนี้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสได้ทะยานขึ้นเร็วแบบนี้ด้วยซ้ำ นับว่าสู้ตายเพื่ออนาคนก็แล้วกัน!”
เหมียวอี้เงียบไป ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็กลับรู้สึกผิดน้อยลงบ้างนิดหน่อย ไม่ง่ายเลยกว่าคนพวกนั้นจะรอดชีวิตมาได้ ต่อให้อยู่ที่กองมังกรดำต่อ กองมังกรดำก็อาจจะไม่มีตำแหน่งมากพอให้พวกเขาก็ได้ การโดนจับแยกกันตอนนี้กลับส่งผลดีต่ออนาคตพวกเขา
และสาเหตุที่กองมังกรดำย้ายเหมียวอี้มาประจำอยู่ใกล้ๆ ที่นาหลวง ก็เพื่อที่จะดูแลเหมียวอี้ เรื่องงานผลัดเวรเฝ้าประตู มีหรือที่จะให้เหมียวอี้ไปทำ แต่ถ้าจะไม่เตรียมงานให้เหมียวอี้ทำเลยก็ไม่ได้ เพราะนี่คือบทลงโทษที่เบื้องบนสั่งลงมา นาหลวไงล่ะ ไม่มีของล้ำค่าอะไรให้เฝ้า พวกขุนนางชั้นสูงในวังสวรรค์มาไม่บ่อย ยามปกติเหมียวอี้สามารถฝึกตนอย่างสงบใจได้ ถ้าเบื้องบนมีขุนนางชั้นสูงมาจริงๆ ค่อยให้เหมียวอี้ออกมารับมือสักหน่อย ถึงอย่างไรขุนนางชั้นสูงพวกนั้นก็มาพอเป็นพิธีอยู่แล้ว อยู่ไม่นานแล้วก็ไป ดังนั้นโดยทั่วไปก็ไม่มีเรื่องอะไร นับว่าเป็นการดูแลเหมียวอี้เป็นพิเศษ
และพวกผู้บังคับการกองห้า ผู้บังคับการกองร้อย ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่เบื้องบนก็รู้ถึงเจตนาของเบื้องบน ไม่มีใครมาชี้นิ้วสั่งเหมียวอี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลั่นแกล้งเขาเลย เวลาเรียกรวมเหมียวอี้จะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร ทุกคนก็ไม่อยากให้เขามาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าท่านนี้มาแล้ว เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกใช้งานดีหรือไม่ ทำเอาทุกคนอึดอัดทำตัวไม่ถูก
สาเหตุสำคัญเป็นเพราะท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่กองทัพองครักษ์ ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีใครไม่รู้จัก ใช้กำลังที่อ่อนแอกว่าเอาชนะกำลังที่แข็งแกร่งกว่า สร้างผลงานการรบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาตร์ของกองทัพองครักษ์ สร้างผลงานรบอันน่าเลื่อมใสดุจศิลาจารึกอันสูงใหญ่ที่ไม่มีใครเหนือไว้ในกองทัพองครักษ์! ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสบประมาทได้
ในกองทัพองครักษ์มีคนที่ตำแหน่งสูงกว่าท่านนี้เยอะ แต่คาดว่าคงไม่มีใครที่หน้าด้านถึงขั้นกล้าอวดผลงานการรบต่อหน้าท่านนี้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ทอดถอนใจ ต่อให้ท่านนี้จะไม่ได้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่อนาคตก็ไม่แย่เหมือนกัน วันใดวันหนึ่งต้องได้เลื่อนเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะถูกเลื่อนขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาคกองทัพองครักษ์เป็นกรณีพิเศษก็ได้ แต่กลับก่อเรื่องจนกลายเป็นแบบนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว แบบนี้ต้องรออีกกี่ปีถึงได้ตำแหน่งกลับมาล่ะ? อ๋องสวรรค์โค่วเองก็คงไม่เจียดผลประโยชน์ส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เลื่อนขั้นให้เจ้าภายในสองสามวันหรอกมั้ง!
เมื่อใช้ชีวิตว่างๆ ผ่านไปช่วงหนึ่ง ในวันหนึ่งขณะกำลังฝึกวิชา จู่ๆ เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากประมุขขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงจินม่านแห่งแดนอเวจี
จินม่านถามทันทีที่เอ่ยปากพูด : หลานสาวของประมุขปราชญ์ลัทธิมารกลายเป็นลูกบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้วจริงเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่!
จินม่าน : ประมุขต้องการจะรับลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีเป็นฮูหยินเอกจริงเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่!
จินม่าน : ประมุขปราชญ์ ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราและลัทธิมาร มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ประมุขปราชญ์ยังไม่รู้ ข้าน้อยรู้สึกว่าจะต้องเตือนสักหน่อย ระหว่างไห่ยวนเค่อกับโค่วหลิงซวีมีความแค้นที่ล้ำลึกเหมือนทะเลเลือด ทุกคนในครอบครัวและผู้หญิงที่ไห่ยวนเค่อรักที่สุดล้วนตายด้วยน้ำมือโค่วหลิงซวี
เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้อยู่ด้วย หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : ก็แค่ใช้ประโยชน์กันและกัน เจ้าไม่รู้สึกว่าโค่วหลิงซวีมีเอี่ยวขึ้นเรือโจรของหกลัทธิแล้วเหรอ? เรือนี้เขาลงไม่ได้แล้ว!
จินม่าน : ถ้าประมุขปราชญ์คิดแบบนี้ได้ เตรียมการแบบนี้ได้ งั้นข้าน้อยก็วางใจและจะสนับสนุนเต็มที่แน่นอน นอกจากนี้ข้าน้อยยังอยากจะถามอีกสักหน่อย ได้ยินว่ากำลังพลของประมุขปราชญ์ ในกองทัพองครักษ์โดนจับแยกหมดแล้ว ไห่ผิงซินก็ถูกย้ายไปแล้ว นางจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : เจ้าวางใจเถอะ ข้าฝากฝังให้คนดูแลแล้ว รอให้โอกาสเหมาะสมก่อน ข้าค่อยคิดหาทางย้ายนางกลับมาอยู่ข้างกายอีกที
จินม่าน : รบกวนประมุขปราชญ์แล้ว
…………………………