พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1573 กองมังกรดำไร้ระเบียบแล้ว
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!” เวินเจ๋อตะคอกอย่างโมโห
เหมียวอี้มองดูกลุ่มคนที่หนีไปจนไม่เห็นเงา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พี่ใหญ่เวินกล่าวเกินไปแล้ว หนิวได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าผืนนาหลวง มีคนมาเหยียบย่ำผลงานของบรรดาพระสนมเสียหาย ทั้งยังขัดขืนการจับกุมต่อหน้าสาธารณะ บ้าระห่ำที่สุด ถ้าข้าไม่สนใจน่ะสิถึงจะบ้าจริงๆ มีความผิดที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ เบื้องบนควรจะให้รางวัลข้าสิถึงจะถูก!”
“…” เวินเจ๋ออ้าปากค้างพูดไม่ออก มองดูพืชในนาที่ถูกทำให้เสียกาย ก็พอจะเข้าใจเจตนาคร่าวๆ ของเหมียวอี้แล้ว มุมปากกระตุกเล็กน้อย
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกสองคนมองดูพืชที่เสียหายในผืนนาหลวง แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
กลุ่มกำลังพลกองมังกรดำปาดเหงื่อเล็กน้อย ได้ยินชื่อเสียงบารมีของท่านนี้มานาน วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว ทำแบบนี้โหดเกินไปแล้วมั้ง ฆ่าใครไปบ้างแล้วล่ะ สงสัยงานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้จะครึกครื้นแล้วจริงๆ
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพียงลำพังตกใจจนเอามือปิดปาก นางทำสีหน้าตระหนกตกใจจริงๆ ราวกับย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ที่นางเห็นตอนอยู่บนกำแพงเมืองตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอีกแล้ว
ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกสหายที่ตอนเพิ่งมาถึงอุทยานหลวงยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ตอนนี้เลือดนองเต็มพื้นแล้ว ศพนอนเกลื่อนพื้น กุยลั่วที่เมื่อครู่นี้ยังวางอำนาจบาตรใหญ่ก็กำลังนอนตัวสั่นอยู่ใต้เท้าหนิวโหย่วเต๋อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
จะเป็นสหายหรือกุยลั่วอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้สีหน้าตระหนกตกใจของก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มบรรเทาลงทีละนิด สองมือที่ปิดปากวางลงอย่างช้าๆ ฟันขาวกัดริมฝากแดงเบาๆ มองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ ค่อนข้างออดอ้อน
นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกมารดาถึงปรารถนาอย่างแรงแบบนั้น บรรดาสหายที่ยามปกติทำตัวสูงส่งและเรียกใช้ลูกน้องให้ทำนั่นทำนี่ พวกสหายที่ดูหรูหราไม่ธรรมดาราวกับไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เมื่อครู่ยังขู่เข็ญกดดันคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แต่พอได้เจอกับของจริง แต่ละคนก็อ่อนแอราวกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา ตกใจจนหนีเอาชีวิตรอดไปหมดแล้ว
มองในมุมของเหมียวอี้ เขามองคนกลุ่มนี้อ่อนแอเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาจริงๆ ฆ่าได้อย่างสบายมือ ฆ่าแบบไม่ต้องเปลี่ยนสีหน้า ไม่ได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ฆ่าได้สิบกว่าคนแล้ว พอปักทวนลงพื้น ก็ใช้เท้าเหยียบควบคุมกุยลั่วเอาไว้ ลักษณะตอนง้างธนูยิงดูราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย กลายเป็นข้อเปรียบกับที่เด่นชัดกับบรรดาสหายที่หนีกระเจิงไป เผด็จการมากจริงๆ สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว ทำให้นางยอมอย่างราบคาบในรวดเดียว!
ฉากที่เผด็จการฉากนั้น ก่วงเม่ยเอ๋อร์คิดแล้วก็ใจลอย ดวงตางามจ้องเหมียวอี้อย่างเป็นประกาย
สายตาเวินเจ๋อย้ายจากพืชที่เสียหายบนที่นาไปที่ใบหน้าเหมียวอี้อีกครั้ง มองเหมียวอี้ราวกับมองสัตว์ประหลาด
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว มารดาเจ้าเถอะ พวกเขาสามคนโดนเหมียวอี้หลอกใช้ประโยชน์แล้ว โผล่หน้ามาคุมสถานการณ์ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานบ้าบออะไรกันล่ะ เจ้าตัวเฝ้าอยู่ข้างผืนนาหลวง เกรงว่าคงเกิดความคิดที่จะหลอกล่อคนมาฆ่าในผืนนาหลวงตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาก็แค่มาคุมสถานการณ์จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาสามคนปรากฏตัว เดิมทีคนพวกนั้นก็เตรียมจะก่อเรื่องและลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ต้องต่อสู้กับเหมียวอี้สิถึงจะถูก มีหรือที่จะโดนเหมียวอี้ขู่ให้ตกใจหนีไปอย่างนี้ ผลปรากฎว่าพอพวกเขาโผล่มาคุมสถานการณ์ พวกนั้นจึงไม่กล้าโต้ตอบ ทำให้หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวฆ่าได้อย่างถึงอกถึงใจ
เวินเจ๋ออยากจะทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้จริงๆ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เป็นไร พวกเขาแค่โผล่หน้ามา แต่ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น กลับมีผลงานที่มาช่วยห้ามด้วยซ้ำ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ความรับผิดชอบก็มาไม่ถึงพวกเขาหรอก หนิวโหย่วเต๋อแค่อาศัยแนวโน้มของพวกเขาก็เท่านั้นเอง ไม่นับว่าใช้ประโยชน์อะไร ถึงได้ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ช้าๆ แล้วชี้เหมียวอี้พร้อมกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “น้องชาย ข้าจะคอยดูว่าเจ้ารายงานขึ้นไปยังไง!”
“หึหึ! รายงานเหรอ? แค่พวกเขาเนี่ยนะ? นับประสาอะไรล่ะ! ข้าหนิวโหย่วเต๋อเคยฆ่าคนมามากเท่าไรแล้ว ขนาดตัวเองยังนับไม่หมดเลย ผ่านอุปสรรคความเป็นความตายมามากมาย ถ้าแค่พวกลูกหลานขุนนางเสเพลยังจัดการไม่ได้ งั้นข้าก็ไม่ต้องออกมาทำมาหากินอะไรแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม
ขนาดตอนไม่มีตระกูลโค่วหนุนหลังเขายังทำตัวกร่างเลย พอมีตระกูลโค่วหนุนหลังแล้วเขาจะกลัวอะไรอีกล่ะ ถ้าตัวเองได้เปรียบด้านเหตุผลแล้วตระกูลโค่วไม่ช่วยเหลือ เช่นนั้นในภายหลังตระกูลโค่วก็ไม่ต้องทำงานในราชสำนักแล้ว ถ้าเรื่องเล็กขนาดนี้ตระกูลโค่วยังช่วยไม่ได้ แล้วจะหวังให้ตระกูลโค่วหนุนหลังได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ เขามีเหตุผลที่ฟังขึ้น เป็นลูกน้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี กองทัพองครักษ์จะยอมเข้าข้างคนนอกให้คนอื่นมาว่ากองทัพองครักษ์เหรอ?
พอเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว เหมียวอี้ก็ดึงทวนมาไว้ในมือ แล้วย้ายคมทวนตรงหน้ากุยลั่วอย่างช้าๆ ทำเอากุยลั่วตกใจจนร้องว่า “อย่า!”
เวินเจ๋อก็คว้าทวนในมือเหมียวอี้ไว้เช่นกัน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รู้จักหยุดได้แล้ว! จับได้แล้วก็ส่งตัวให้เบื้องบนจัดการก็พอ ถ้าจับแล้วยังฆ่าอีก เดี๋ยวต่อไปต่อให้สิบปากแต่ก็เถียงขุนนางใหญ่พวกนั้นไม่ไหว”
เหมียวอี้บอกว่า “ถ้าข้าจะฆ่าเขาจริงๆ เขาตายไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้คนที่อยู่ใกล้ตรงหน้ารอดอยู่คนเดียวเหรอ ที่ไว้ชีวิตเขาก็เพื่อจะให้เขากลับไปรายงานคนในครอบครัวตัวเอง อย่าโง่จนโดนคนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว “ตุ้บ” เขาเตะหนึ่งทีจนกุยลั่วกระเด็นออกไป
อั้ก! กุยลั่วที่ตกกระแทกพื้นกระอักเลือดออกมาอีกคำ เหมียวอี้ลงเท้าอย่างไม่เกรงใจ ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำตัวกำเริบเสิบสาน จะไม่สั่งสอนสักหน่อยได้อย่างไร
“มัดไว้ ส่งไปให้เบื้องบนจัดการ!” เหมียวอี้กำชับเสียงเรียบ
แบบนี้ใช้ได้เลย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น มีคนของกองมังกรดำพุ่งออกมาหลายคน มาควบคุมตัวกุยลั่วแล้วใช้เชือกมัดเซียนมัดไว้
เวินเจ๋อและแม่ทัพใหญ่อีกสองคนเห็นแล้วปวดประสาท เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนับว่าเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบที่ยศต่ำสุดไม่ใช่เหรอ? แต่ผู้บังคับการกองห้า ผู้บังคับการกองร้อยกับผู้ช่วยผู้บัญชาการจะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องดูสีหน้าเขา ตกลงว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา!
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เข้ามาใกล้อย่างเก้อเขิน แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ศพของเพื่อนตัวเอง “พี่ใหญ่หนิว ล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าสร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”
เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าก็แค่โดนคนหลอกใช้เท่านั้นเอง เจ้าไม่รู้ชัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าแค่โดนคนอื่นหลอกใช้เท่านั้นเอง เจ้าไม่รู้ชัดเจน แต่คนในครอบครัวเจ้าจะเข้าใจ”
ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า มู่อวี่เหลียนได้ยินเบื้องล่างรายงาน จึงรีบนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนรองแม่ทัพภาคทั้งสองก็อยู่ด้วย
พอเหยียบลงพื้นแล้วเห็นถาพเหตุการณ์นี้ แต่ละคนก็สีหน้าเคร่งเครียด
มู่อวี่เหลียนยังดีหน่อย แต่ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว บรรพบุรุษหนิวของข้า ท่านเล่นบ้าอะไรของท่าน ขนาดโดนลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุดแล้วยังไม่สงบอีก วันนี้เป็นงานเลี้ยงอุทยานหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปีของตำหนักสวรรค์นะ มีลูกหลานขุนนางชั้นสูงตายไปมากมายขนาดนี้ในรวดเดียว นี่มันเรื่องใหญ่มากจริงๆ
พวกมู่อวี่เหลียนคารวะเวินเจ๋อก่อน ทั้งสามโบกมือแล้วรีบถลันตัวไปยืนไกลๆ ก่อนที่เรื่องนี้จะได้บทสรุป พวกเขาไม่อยากติดร่างแหไปด้วย
“ผู้น้อยคารวะท่านแม่ทัพภาค คารวะท่านรองแม่ทัพภาค!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
มู่อวี่เหลียน ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนไม่กล้าวางมาดต่อหน้าเหมียวอี้ รีบกุมหมัดคารวะตอบ จากนั้นทั้งสามก็มายืนตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเบาว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
พวกเวินเจ๋อที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ปวดประสาทอีกครั้ง พบว่ากองมังกรดำไร้ระเบียบไปแล้ว ขนาดเบื้องบนจับกองมังกรดำแยกกันแล้วนะ ขนาดกองมังกรดำเปลี่ยนคนใหม่ยกชุดแล้วนะ แต่ไม่มีทางลบบารมีของหนิวโหย่วเต๋อที่กองมังกรดำได้เลย ขนาดบุคคลระดับสูงของกองมังกรดำเห็นหนิวโหย่วเต๋อแล้วยังต้องเกรงใจ ถ้าเบื้องล่างกล้าแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อก็แปลกแล้ว
“เฮ้อ! ดูท่าแล้วกองมังกรดำจะประทับหนิวโหย่วเต๋อไว้ลึกทีเดียว ต่อให้ย้ายหนิวโหย่วเต๋อไปก็ไม่มีประโยชน์ วิญญาณนั้นยังอยู่ คนที่เข้ามาอยู่ในกองมังกรดำล้วนได้รับผลกระทบ ต่างก็เห็นยกศึกน่านฟ้าระกาติงให้เป็นความภาคภูมิใจ!” เวินเจ๋อส่ายหน้า
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกคนกล่าวอย่างรู้สึกขำ “ข้านับว่ามองออกแล้ว ต่อให้พวกเราไม่ออกหน้า ที่นี่ก็ยังเป็นอาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อเหมือนเดิม คนกลุ่มนั้นไม่มีทางทำสำเร็จอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อแค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้คนอื่นๆ ของกองมังกรดำก็เท่านั้นเอง ถึงได้ให้พวกเราออกหน้ามาคุมสถานการณ์ ข้าว่าเจ้าเด็กกลุ่มนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน หาเรื่องใครก็ไม่ไป ดันเสนอหน้ามาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อที่ถิ่นของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าเด็กนี่มันยี่ห้อไหน ถ้าจะเล่นแผนสกปรกก็อย่าให้ลูกหลานเสเพลพวกนี้มาทุ่มหินใส่เท้าตัวเองเลย ตอนนี้เบื้องบนได้บันเทิงแน่”
ยังมีอีกคนส่ายหน้าบอกว่า “ชื่อเสียงไม่ได้จอมปลอมเลย มิน่าล่ะสี่ตระกูลนั้นถึงอยากดึงตัวไปเป็นพวก หนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตรอดมาได้จนวันนี้ แสดงว่ามีอะไรไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”
ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ทางนั้นก็ไม่ได้ปิดบังมู่อวี่เหลียน บอกตรงๆ เลยว่ามีคนอยากจะลงมือทำร้ายเขา บอกเล่าขั้นตอนการโจมตีกลับอย่างชัดเจนมาก
หลังจากฟังจบ พวกมู่อวี่เหลียนก็โล่งอก วิธีการของเหมียวอี้พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้กองมังกรดำเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเช่นกัน ต่อให้เบื้องบนจะดันทุรังเอาเรื่อง แต่ถ้าจะให้ทั้งกองมังกรดำไปเกี่ยวข้องก็จะฟังดูเหลวไหล ดีไม่ดีอาจจะมาระบายอารมณ์กับเหมียวอี้คนเดียวก็ได้
พระตำหนักอุทยาน ในสวนที่สนุกสนาน ขุนนางและราชันกำลังอยู่ในงานเลี้ยง ราชันสวรรค์นั่งอยู่เบื้องสูง สมาชิกครอบครัวของขุนนางใหญ่ที่พามาเข้าเฝ้าและรับรางวัลได้ถอยออกไปหมดแล้ว
สมาชิกหญิงในครอบครัวของตระกูลต่างๆ กำลังต้อนรับขับสู้กันอยู่ในงานเลี้ยงกลางแจ้งที่ราชินีสวรรค์จัดให้ ไม่เปิดโล่งกลางแจ้งคงไม่ได้ แค่สนมในวังหลังอย่างเดียวก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว อนุภรรยาของขุนนางใหญ่ก็มีอีกมาก ถึงแม้พระตำหนักอุทยานจะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดจุดคนมาร่วมงานเลี้ยงได้มากขนาดนั้นภายในคราวเดียว
วันนี้ขุนนางและราชันไม่คุยเรื่องงานกัน พวกเขากินดื่มและพูดคุยเรื่อยเปื่อย ดูสามัคคีปรองดองเช่นกัน
โค่วเจิงได้รับการผ่อนปรนจากทหารยาม เดินเข้ามาจากตำหนักด้านข้าง พอเดินมาถึงข้างกายโค่วหลิงซวีก็โน้มตัวลง แล้วกระซิบข้างหูโค่วหลิงซวีเบาๆ “ท่านพ่อ เกิดเรื่องแล้ว ที่ผืนนาหลวง หนิวโหย่วเต๋อสังหารลูกหลานของขุนนางใหญ่ไปสิบกว่าคน หลานชายของอิ๋งจิ่วกวง ลูกหลานของจอมพล เทพประจำดาว ท่านโหวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”
ใบหน้าโค่วหลิงซวีเจือรอยยิ้มอ่อนจางในขณะที่รับการคารวะจากที่ไกลๆ พอจิบสุราหยกไปได้ครึ่งคำก็แทบสำลักตาย เขาสีหน้าเปลี่ยนทันที พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไอออกมา แล้วหันขวับมาถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าเด็กนั่นบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าไม่ได้กำชับเขาไว้ก่อนเหรอว่าให้เขาอดทนไหว?”
“กำชับแล้วขอรับ บอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว”
“เจ้าไม่ได้ส่งคนไปดูเหรอ?”
“เขาบอกว่าเขามีแผนในใจแล้ว รับมือไหวขอรับ”
“เลอะเลือน!”
“ทานพ่อ เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่ท่านคิดไว้ หนิวโหย่วเต๋อวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ…” โค่วเจิงแจงรายละเอียดให้ฟัง
หลังจากได้ฟังจบ โค่วหลิงซวีก็หน้าซีดเล็กน้อย สายตาชำเลืองไปทองหลายโต๊ะที่อยู่ในงาน มัมปากยิ้มเย้ยเล็กน้อย “ข้าว่าเจ้าเด็กนั่นก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญเสียเลย สงสัยจะมีคนยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง น่าสนใจ! อย่าประมาท เจ้าไปดูด้วยตัวเองสักหน่อย ดูว่ามีช่องโหว่อะไรหรือเปล่า…เจ้าไปเฝ้าอยู่ข้างกายเขาด้วยตัวเอง อย่าให้คนอื่นหาช่องโหว่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้ระฆังดาราติดต่อข้า”
“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับแล้วรีบออกไป
ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ก็อยู่ในงานเลี้ยงเช่นเดียวกัน หลังจากเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็เดินไปข้างโพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน ทำให้โพ่จวินเบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ทำสีหน้าปกติ พยักหน้าบอกใบ้ว่ารู้แล้ว
ฮวาอี้เทียนเพิ่งจะถอยออกไป ตอนที่สายตาโพ่จวินชำเลืองมองไปทางโค่วหลิงซวี ผลก็คือพบว่าโค่วหลิงซวีกำลังยิ้มตาหยีพร้อมชูจอกสุราให้ไกลๆ รู้ว่าตาแก่โค่วหลิงซวีนั่นกำลังโอ้อวดอะไร โพ่จวินโดนแย่งลูกน้องไปในใจจึงโมโห เขากลอกตาไม่สนใจโค่วหลิงซวี เอียงหน้าไปอีกด้านแล้วคว้าจอกสุราของตัวเองขึ้นมาดื่ม
…………………………