พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1574 หูทวนลม
พอจะเข้าใจความรู้สึกของโพ่จวินได้ โค่วหลิงซวีไม่ถือสาอะไร สังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาข้างหลังอิ๋งจิ่วกวง เขาขยับสายตาเหล่สังเกตเล็กน้อย พบว่าอิ๋งจิ่วกวงสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อนิ้วที่จับจอกสุนานูนขันอย่างชัดเจน
อิ๋งจิ่วกวงรีบมองไปที่โค่วหลิงซวีแวบหนึ่งเช่นกัน เห็นโค่วหลิงซวีกำลังชูจอกสุราให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน ราวกับไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว
บรรยากาศที่คุยกันอย่างคึกครื้นในตำหนักใหญ่เหมือนจะอึดอัดลงไม่น้อยในชั่วพริบตาเดียว ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงสังเกตเห็นความไม่ชอบมาหากล มีคนเข้าออกมากระซิบความเคลื่อนไหวข้างหูขุนนางใหญ่ไม่หยุด ภาพเหตุการณ์นี้ชัดเจนเกินไปแล้ว จะให้มองไม่ออกก็คงยาก
ลั่วหม่างจอมพลสายวอกที่กำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงลุกขึ้นกุมหมัดคารวะประมุขชิง ขอตัวออกจากงานเลี้ยงชั่วคราว
โพ่จวินเอียงหน้าส่งสายตาให้ฮวาอี้เทียน จากนั้นฮวาอี้เทียนก็ลุกขึ้นทันที ไม่ได้บอกอะไรใครทั้งนั้น รวมทั้งประมุขชิงด้วย เดินออกไปอย่างนั้นเลย
ประมุขชิงโค้งมุมปากเล็กน้อยอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก รู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับลั่วหม่างโดยตรงด้วย จึงเอียงหน้าเล็กน้อย แล้วพบว่าซ่างกวนชิงไม่ได้อยู่ข้างกาย จะถามถึงสถานการณ์ก็ไม่สะดวก สายตาจึงมองไปยังโพ่จวินที่อยู่เบื้องล่าง ดูจากปฏิกิริยาของโพ่จวินเมื่อครู่นี้ คาดว่าน่าจะรู้สถานการณ์
โพ่จวินกำลังคิดจะถ่ายทอดเสียงบอก แต่กลับพบว่าซ่างกวนชิงขึ้นบันเดินไปข้างกายประมุขชิงแล้ว เขาจึงระงับอารมณ์ไว้ รู้ว่าใช้ปากตัวเองมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์
“ฝ่าบาท ทางที่นาหลวงเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยยขอรับ…” ซ่างกวนชิงถ่ายทอดเสียงเล่าสถานการณ์ที่ได้รับรายงานมาให้ฟังคร่าวๆ
หลังจากฟังจบ ประมุขชิงก็เลิกคิ้ว พ่นเสียงทางจมูกเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว จากนั้นยกจอกสุราขึ้นช้าๆ มองประเมินปฏิกิริยาของคนในงาน
เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบครู่หนึ่ง แล้วหันมาชูจอกสุราคารวะให้ไกลๆ ราวกับในตรงกันมาก ท่าทางเหมือนรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย เห็นได้ชัดว่ามองอะไรบางอย่างออกแล้ว
จากนั้นข่าวก็แพร่ขยายไปวงกว้าง บรรยากาศในตำหนักใหญ่ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนยิ้มบางๆ มีบางคนแสยะยิ้ม มีบางคนยิ้มตึงๆ บางคนเงียบงันไม่พูดอะไร ต่างก็รอให้เรื่องนี้ถูกเปิดโปง
ผ่านไปครู่เดียว อิ๋งจิ่วกวงก็ลุกขึ้นยืน แล้วกุมหมัดคารวะประมุขชิง บอกใบ้ว่าขอตัวออกไปข้างนอกก่อน
พอออกจากตำหนักใหญ่แล้ว ก็เดินตรงออกไปจากพระตำหนักอุทยาน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าเสแสร้ง สีหน้าดำมืดแล้ว ไปเจอกับจั่วเอ๋อร์ที่รอพบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านนอก
วันนี้คนที่สามารถเข้าออกพระตำหนักอุทยานได้ล้วนเป็นคนในครอบครัวของขุนนางใหญ่ทั้งนั้น บ่าวรับใช้ของขุนนางไม่มีสิทธิ์เข้าออก
พอเจอหน้ากัน อิ๋งจิ่วกวงก็ถามทันทีว่า “มันเรื่องอะไรกัน? เตรียมการไว้เหมาะสมแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกว่าให้ของวิเศษฮุยเอ๋อร์ไว้แล้ว ถ้าลงมือขึ้นมาก็ชนะแน่นอนไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต่อให้ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะกำจัดทิ้งได้ แต่ให้พวกเด็กๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตำหนิสั่งสอนสักหน่อยก็จะไม่เกิดเรื่องไม่ใช่เหรอ?”
อิ๋งจิ่วกวงถามแต่ละประโยคด้วยน้ำเสียงเดือดดาล ทำให้จั่วเอ๋อร์ทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย ขมขื่นจนยากจะเอ่ยออกมาจริงๆ
นางเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด นางเองก็ให้ของวิเศษที่สามารถกำจัดหนิวโหย่วเต๋อได้แน่นอนแล้วจริงๆ ถ้าลงมือขึ้นมาก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อตายได้แน่นอน ขนาดเป้าหมายในการเติมเชื้อเพลิง นางก็ช่วยหาให้อิ๋งฮุยแล้ว ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะอดทนได้หรือไม่ แต่ก็จะลงมือแน่นอน หลังจากจบเรื่องแล้ว ก็จะเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทของลูกหลานขุนนางเสเพลที่หึงหวงแย่งผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นเอง อย่างไรเสียลูกหลานขุนนางเสเพลกลุ่มนี้ก็ไม่มีการมีงานทำอยู่แล้ว
ผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเยอะขนาดนี้ ถึงอย่างก็ลงโทษคนจำนวนมากไม่ไหวอยู่แล้ว อย่างมากราชันสวรรค์ก็ช่วยลงโทษเด็กๆ พวกนั้นสักครั้งก็เท่านั้นเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าทิ้งหมด
นอกจากนี้ ราชันสวรรค์ก็อาจจะไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตอยู่ในมือตระกูลโค่วก็ได้ เพียงแต่ราชันสวรรค์ไม่สะดวกจะทำเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง ในภายหลังต่อให้โค่วหลิงซวีเดือดดาลสุดขีดแล้วดึงดันจะหาคนมารับผิดชอบให้คนตายให้ได้ ผู้รับผิดชอบหลักก็สาวมาไม่ถึงอิ๋งฮุยเช่นกัน เพราะหาผู้รับผิดชอบหลักไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมแพะรับบาปอย่างลั่วกุยเอาไว้เรียบร้อย ถ้าโค่วหลิงซวีต้องการจะเล่นงานลั่วกุยจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องสู้กับลั่วหม่างและก่วงลิ่งกงที่หนุนหลังลั่วหม่าง
ต่อให้ไปหาเรื่องทะเลาะด้วย จากนั้นเกิดการลงไม้ลงมือ แต่เรื่องที่เรียบง่ายขนาดนี้ จะลงมือพลาดได้อย่างไรล่ะ? ถ้าทำพลาดแล้ว เด็กกลุ่มนั้นก็แค่โดนด่าโดนทำโทษนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ พวกขุนนางใหญ่ก็ไม่มีทางกัดเด็กไม่เอาถ่านพวกนั้นไม่ปล่อยหรอก เพราะต่อให้จับไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าส่งขุนพลที่มีความสามารถออกไปลงมือ ก็จะมีคนฉวยโอกาสกำจัดเจ้าทิ้งแน่นอน ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่
เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรได้
แต่ต่อให้นางจะคิดวางแผนรอบคอบอย่างไร แต่ก็ยังมีช่องโหว่ให้หนิวโหย่วเต๋อเอาที่นาหลวงมาเป็นข้ออ้างได้ นึกไม่ถึงว่าเด็กโง่พวกนั้นจะมองไม่ออกแม้กระทั่งกับดักแบบนี้ ถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงเข้าไปในกับดักแล้ว และที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อโหดเหี้ยมมาอย่างที่คาดไว้ กล้าลงมือสังหารลูกหลานกลุ่มขุนนางชั้นสูงในเวลาแบบนี้ นางไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรดี!
นางอยากจะถามอิ๋งฮุยที่ตายไปแล้วมากว่า นอกจากกินนอนรอความตายไปวันๆ แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้าง? แค่ความสามารถในการรับมือเรื่องจวนตัวง่ายๆ แค่นี้ยังไม่มีเลย ขนาดกับดักแบบนี้เจ้ายังมุดเข้าไปได้? เข้าไปแล้วก็ต้องสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบ้างสิ พอเห็นท่าไม่ดีแล้วยังไม่ระวังตัวอีกเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนฆ่าตายได้ง่ายๆ แบบนี้แล้ว?
ขนาดเรื่องที่เตรียมการไว้อย่างราบรื่นขนาดนี้ยังกลายเป็นแบบนี้ได้เลย! นางนับว่าเข้าใจแล้ว ว่าลูกหลานผู้ดีมีเงินกลุ่มนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อเลย ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นคู่ต่อสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมายด้วยซ้ำ อาศัยวงศ์ตระกูลหนุนหลังให้กินดื่มเที่ยวเล่นรังแกคนอื่นยังพอไหว แต่ส่งไม่ใช่ทำงานที่จริงจังเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เลย
นางรู้สึกว่าความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ไม่น่าให้พวกอิ๋งฮุยลงสนามไปทำเรื่องแบบนี้เลย…
ที่นาหลวง กองทัพองครักษ์หลายหมื่นปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีระดับค่อนข้างสูงด้วย แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอย่างเดียวก็ปาไปสิบกว่าคนแล้ว พวกเขามาล้อมที่เกิดเหตุไว้แล้ว
ด้านนอกวงล้อม มีคนหลายกลุ่มทยอยกันเข้ามา ล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยาน
อิ๋งอู๋เชวีย บิดาของอิ๋งฮุยอยากจะเข้าไปยังจุดที่ถูกล้อมไว้ แต่ก็ถูกขวางไว้ไม่ให้เข้าไป
มีทหารยามของกองทัพองครักษ์กั้นไว้ ขณะมองดูลูกชายท้ายทอยเละและนอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง อิ๋งอู๋เชวียก็เม้มริมฝีปากแน่น สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกย้ายไปหาเหมียวอี้ที่สวมเกราะเงิน สีหน้าเดือดดาลเคียดแค้นนั้นยากจะปิดบังไว้ อยากจะสับเนื้อเหมียวอี้สักหมื่นดาบพันดาบ
เหมียวอี้ไม่เป็นไรเลย คนที่มองเขาด้วยสายตาแบบนี้ไม่ได้มีแค่อิ๋งอู๋เชวียคนเดียว มีตั้งสิบกว่าคน ถ้าเก่งนักก็โจมตีฝ่ากองทัพองครักษ์มาคิดบัญชีกับเขาสิ
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ ลั่วกุยที่สภาพจนตรอกไปทั้งตัวตะโกนเสียงดังอย่างตื่นตัว ราวกับได้พบกับดาวช่วยชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว ปลดปล่อยฝีเท้าเตรียมจะวิ่ง แต่ปรากฏว่าโดนดาบสองด้ามจ่อคอเอาไว้ ทำให้ตกใจจนไม่กล้าขยับตัวทันที
ลั่วหม่างเหยียบลงพื้นแล้วมองไปทางนั้น เห็นลูกชายผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่มุมปากมีคราบเลือด โดนเชือกมัดเซียนทัดไว้อย่างแน่นหนา ถึงแม้สภาพจะแย่ไปหน่อย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าพวกที่นอนนิ่งจมกองเลือดอยู่บนพื้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ลั่วหม่างแอบโล่งใจ เขายังกลัวว่ามาช้าแล้วลูกชายจะตายอยู่เลย
ชีวิตของลูกชายคนเล็ก หลานชายคนโตและคนแก่สำคัญที่สุด ใช่ว่าคำกล่าวนี้จะไม่มีเหตุผลเลย
“เดรัจฉาน! นี่มันใช่ที่ที่เจ้าจะมาก่อเรื่องมั้ย?” ลั่วหม่างเปลี่ยนสีหน้าตะคอกอย่างเดือดดาล เดินก้าวยาวบุกเข้าไป ต้องกาจจะสั่งสอนลูกสายต่อหน้าฝูงชน
ผลปรากฏว่าอาวุธหลายสิบชิ้นมาก่อตรงหน้าเขาพร้อมกัน กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนแล้ว ต่อให้เป็นจอมพลอย่างเขาก็ไม่มีประโยชน์
ลั่วหม่างกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วถามเสียงต่ำว่า “ข้าจะสั่งสอนลูกชายตัวเองก็ไม่ได้เหรอ?”
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ แล้วโบกมือให้ลูกน้องวางอาวุธลง ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คำสั่งเบื้องบนเป็นอย่างนี้ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้จนรู้ชัดเจน ก็ไม่ให้ใครเข้าใกล้ทั้งนั้น จอมพลลั่วอย่าทำให้พวกเราทำงานลำบากเลย”
ในขณะนี้เอง ฮวาอี้เทียนเหาะลงมาจากฟ้า ลั่วหม่างหันขวับมองกลับมา แล้วถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวา ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“จอมพลลั่วไม่ต้องร้อนใจ ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายสั่งให้ข้ารับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้” ฮวาอี้เทียนกดมือลง บอกใบ้ให้เขาอดทนรอสักประเดี๋ยว แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อ กองทัพองครักษ์ที่ปิดล้อมข้างหน้าไว้หลีกทางให้ทันที ปล่อยให้เขาเข้าไปแล้ว
หลังจากเข้าไปแล้ว ฮวาอี้เทียนก็เดินไปตรงหน้าเหมียวอี้แล้วมองอย่างสื่อความหมายล้ำลึก แล้วก็มองลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่ตายเกลื่อนพื้น ถึงแม้จะรู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่าคนเป็นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ดีๆ ตายเกลื่อนพื้น ก็ยังทำให้เขาปวดประสาทนิดหน่อย
ภายใต้การรวมกลุ่มของเขา สมาชิกที่เกี่ยวข้องกับเหตุถูกสอบปากคำแล้ว เหมียวอี้ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลั่วกุย ทหารยามที่เฝ้าอยู่ใกล้ที่นาหลวง รวมทั้งพวกเวินเจ๋อด้วย ทั้งหมดถูกสอบสวนเพื่อเอาเป็นหลักฐาน
โค่วเจิงที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เห็นกองทัพองครักษ์เข้าร่วมแล้ว น่าจะไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของเหมียวอี้แล้ว โล่งใจแล้วเช่นกัน
คนที่ได้ยินข่าวแล้วตามมายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ พวกฮูหยินที่รู้ว่าลูกชายลูกสาวตัวเองโดนฆ่า ก็เลยวิ่งมาดู ก็ว่าเป็นตามข่าวจริงๆ พวกนางร้องไห้จนตาพร่ามัว
“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องไม่ตายดี!”
“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเอาชีวิตลูกสาวข้าคืนมานะ!”
พวกผู้ชายสีหน้าแย่แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้ได้ แต่พวกผู้หญิงกลับด่าอย่างเคียดแค้น มีบางคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างเจ็บปวดและต้องการจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกผู้ชายที่อยู่ข้างกันดึงไว้
ท่ามกลางเสียงก่นด่าต่างๆ นาๆ เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมหลายชั้นทำสีหน้าเรียบเฉย ทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยิน
ยังมีฮูหยินอีกกลุ่มที่ได้ยินข่าวแล้วมาดูเอาสนุกเฉยๆ จาหรูเยี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้น พอเห็นฉากนองเลือดในที่นาหลวง นานงก็ทอดถอนใจไม่หยุด นางมองไปทางเหมียวอี้ที่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแวบหนึ่ง ถึงแม้จะแค้นใจ แต่กลับยังหวาดกลัว นางเอียงหน้ามองผังอวี้เหนียงลูกสาวตัวเองที่อยู่ข้างกาย แล้วก็ดึงแขนลูกสาวพร้อมกล่าวถามเสียงต่ำว่า “อวี้เหนียง เจ้าไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่มั้ย?”
ผังอวี้เหนียงก็หวาดกลัวเช่นกัน ที่จริงนางก็นับว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่ก่อนจะมา จู่ๆ พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วก็มาหานาง พาตัวนางไปแล้ว นางส่ายหน้าอย่างรู้สึกโชคดีว่า “เปล่าค่ะ”
จาหรูเยี่ยนถลึงตาเล็กน้อย ถามอย่างกลัวอยู่บ้างว่า “ไม่เกี่ยวข้องจริงเหรอ? ทำไมก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้ามายุ่งกับคนพวกนี้ล่ะ”
ผังอวี้เหนียงตอบว่า “ท่านแม่ เปล่าจริงๆ ค่ะ ลุงเฉินเป็นพยานได้เลย เมื่อครู่นี้ข้าคุยอยู่กับท่านลุงเฉินตลอด คุยกันนานมาก พอได้ยินว่าเกิดเรื่องถึงได้วิ่งมาดู แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าเกี่ยวข้องจริงๆ ตอนนี้ข้าคงไม่กล้ามาอยู่ตรงนี้หรอก”
จาหรูเยี่ยนคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “พ่อบ้านเรียกเจ้าไปคุยเรื่องอะไรนานขนาดนั้น?” ในภาพความทรงจำของนาง แต่ไหนแต่ไรมาพ่อบ้านก็มีหน้าที่ช่วยนายท่านจัดการธุระสำคัญ มีหรือที่จะว่างมาคุยกับลูกสาวตัวเองไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้น ในโอกาสและสถานที่อย่างวันนี้ ก็ยิ่งไม่น่าจะมีเรื่องอะไรมารบกวนการเที่ยวเล่นของลูกสาวตนสิ
ผังอวี้เหนียงเอียงศีรษะนึกย้อนไป แล้วตอบว่า “บอกว่าท่านพ่อให้มาถามข้าว่าหลายปีมานี้ข้าทำอะไรบ้าง บอกให้ข้าพูดให้ชัดเจนทุกเรื่อง”
“ถามแค่นี้น่ะเหรอ?” จาหรูเยี่ยนงงยิ่งกว่าเดิม เรื่องนี้นายท่านมาถามเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องให้พ่อบ้านมาถามลูกสาวนางด้วยล่ะ?
ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ครั้งนี้นายท่านกับพ่อบ้านว่ามีบางอย่างไม่ปกตินิดหน่อย ก่อนจะจัดงานเลี้ยงอุทยาน นายท่านก็มอบหมายหน้าที่ให้ลูกชายไปทำ เลยทำให้ลูกชายไม่ได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานในครั้งนี้ แล้ววันนี้ก็ให้พ่อบ้านมาหาลูกสาวอีก ทำไมรู้สึกว่าพ่อบ้านกับนายท่านเริ่มให้ความสำคัญกับลูกสาวขึ้นมาแล้วล่ะ?
…………………………