พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1575 จับไม้สั้นไม้ยาว
ทว่าพอคิดไปคิดมาแล้วคิดไม่ออก จาหรูเยี่ยนก็ขี้คร้านจะคิดต่อแล้ว ถึงอย่างไรนายท่านกับพ่อบ้านก็มักจะทำเรื่องที่เป็นความลับบางอย่างโดยหลบเลี่ยงนางอยู่แล้ว ต่อให้นางไปถามก็ไม่ได้คำตอบ กลับถูกไล่ด้วยคำว่า ‘สมองอย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร’
เอาเป็นว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่นางเชื่อ คือไม่ว่าจะอย่างไร นายท่านกับพ่อบ้านก็ไม่มีทางทำร้ายลูกสาวตัวเองหรอก
“หนิวโหย่วเต๋อนี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ควรจะโดนประหารสักพันดาบหมื่นดาบ ข้าจะคอยดูว่าครั้งนี้เขาจะรอดไปได้ยังไง!” จาหรูเยี่ยนชำเลืองมองเหมียวอี้ที่กำลังถูกสอบสวน ปากทำเสียงฮึดฮัดไม่หยุด เพราะหลานชายของนางตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ นางจดจำความแค้นนี้มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนเตือนไว้อย่างเข้มงวด ถึงขั้นเขียนหนังสือหย่าให้นางดูจนนางตกใจ นางคงคิดหาทางล้างแค้นเหมียวอี้ไปนานแล้ว
เดิมทียังคิดจะด่าอีกสักสองสามประโยค แต่จู่ๆ ก็พบว่าพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วมาแล้ว นางถึงได้หุบปาก
“พ่อบ้านโกว เม่ยอ๋อร์จะไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“เหนียงเหนียงไม่ต้องห่วง ไม่เป็นอะไรแน่ขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าลูกสาวตัวเองมาร่วมอยู่ในความขัดแย้งนี้ด้วย ทั้งยังมีลูกหลานของขุนนางชั้นสูงตายไปไม่น้อย หวังเฟยเม่ยเหนียงจึงนั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน วิ่งมาดูแล้ว ตอนนี้ลูกสาวยังโดนกักตัวอยู่ นางจึงร้อนใจนิดหน่อย อยากจะเข้าไปเจอลูกสาว แต่กลับถูกพ่อบ้านโกวเยว่ห้ามไว้
หลังจากสอบปากคำในที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว ฮวาอี้เทียนก็นำรายชื่อฉบับหนึ่งออกมา ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับลั่วกุยนึกย้อนว่าก่อนหน้านี้มีลูกหลานขุนนางชั้นสูงคนไหนมาบ้าง ทำออกมาเป็นรายชื่อแผ่นนี้แล้ว
“มีคำสั่งให้ปิดอุทยานหลวง ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามถือวิสาสะเข้าออก”
ฮวาอี้เทียนถ่ายทอดคำสั่งลงมาทีละฉบับ แล้วทำสำเนารายชื่อชุดหนึ่งให้แม่ทัพใหญ่เกราะแดง “เจ้าพาคนไป ตามหาคนในรายชื่อนี้ให้ครบ จับตัวมาสอบปากคำให้หมด ถ้าบ้านไหนไม่ยอมส่งคนให้ ก็รายงานขึ้นมาทันที!”
“รับทราบ!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
พอหันกลับมา ฮวาอี้เทียนก็เอียงหน้ากำชับแม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกันอีก “คงสภาพที่เกิดเหตุเอาไว้ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ได้บทสรุป ยังไม่ได้รายงานขึ้นไปเบื้องบน ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ใครทั้งนั้น”
“รับทราบ!” คนคนนั้นเอ่ยรับคำสั่ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้ลูกน้อง
จากนั้นฮวาอี้เทียนก็เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเรียบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าจะลำบากทำไมอีกแล้ว”
“ผู้ตรวจการใหญ่ ท่านมองไม่ออกเชียวเหรอว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานข้าถึงตาย?” เหมียวอี้ถามกลับ
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวไว้แล้ว ลำบากต้องลำบากสร้างศัตรูให้ตัวเองอีก?” ฮวาอี้เทียนถาม
เหมียวอี้เงียบงัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ในขณะนี้เอง ฮวาอี้เทียนก็ได้รับข้อความจากระฆังดารา เมื่อคนในครอบครัวผู้ตายเห็นเขาสอบปากคำเสร็จแล้ว แต่กลับไม่ยอมให้พวกเขาแตะต้องศพ จึงพากันฟ้องขึ้นไปเบื้องบน เบื้องบนจึงออกคำสั่งลงมาให้ฮวาอี้เทียน สั่งให้เขาถอนกำลังออกไป ส่วนศพก็ให้คนในครอบครัวเก็บกลับไปได้ ไม่ต้องกักตัวคนอื่นๆ ไว้อีก ให้ปล่อยตัวไปทั้งหมด
ฮวาอี้เทียนย่อมต้องทำตามคำสั่ง ถ่ายทอดคำสั่งให้กองทัพองครักษ์ถอนกำลัง ให้พาตัวเหมียวอี้ไปด้วย ไม่พาไปคงไม่ได้ ถ้าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ต่อไป อาจจะทำให้ฝูงชนโกรธเกรี้ยวและตบจนตายได้
พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ข้างกายจาหรูเยี่ยนกำลังมองเหมียวอี้ ยิ้มบางๆ ให้เหมียวอี้อย่างแนบเนียบ
เหมียวอี้ที่ตามกลุ่มคนออกไปพยักหน้าเบาๆ อย่างรู้อยู่แก่ใจ นับว่าแสดงคำขอบคุณแล้ว
นอกจากพวกเขาสองคน ในที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครรู้เงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในนั้น และไม่ประกาศให้ใครรู้ด้วย รวมทั้งตระกูลโค่ว
ทัพตะวันออกถูกควบคุมโดยอิ๋งจิ่วกวง ใต้สังกัดมีจอมพลสายชวด สายฉลู สายขาล ทัพใต้ถูกควบคุมโดยฮ่าวเต๋อฟาง ใต้สังกัดมีจอมพลสายเถาะ สายมะโรง สายมะเส็ง ทัพตะวันตกควบคุมโดยก่วงลิ่งกง ใต้สังกัดมีจอมพลสายมะเมีย สายมะแม สายวอก ทัพเหนือควบคุมโดยโค่วหลิงซวี ใต้สังกัดมีจอมพลสายระกา สายจอ สายกุน
เรื่องราวในครั้งนี้เป็นตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวที่ร่วมกันวางแผน โดยหลบเลี่ยงตระกูลก่วงกับตระกูลโค่ว สาเหตุที่หลบเลี่ยงตระกูลโค่วก็ไม่ต้องอธิบายแล้ว ส่วนสาเหตุที่หลบเลี่ยงตระกูลก่วง ก็เพราะจะหลอกใช้ประโยชน์จากลูกชายของลั่วหม่างจอมพลสายวอก ส่วนเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนก็เป็นลูกน้องของจอมพลสายเถาะพอดี เท่ากับเป็นคนฝั่งตระกูลฮ่าว กอปรกับทุกคนรู้เรื่องราวความแค้นระหว่างตระกูลของผังก้วนกับเหมียวอี้ จึงรู้สึกว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงดึงลูกสาวของผังก้วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ที่บังเอิญก็คือ ผังก้วนกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยไม่ได้ ความสัมพันธ์นี้แม้แต่จาหรูเยี่ยนฮูหยินของผังก้วนก็ไม่รู้
หลังจากผังก้วนรู้เรื่องนี้จากปากลูกชาย มีหรือที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ เขากับเหมียวอี้ยังมีผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่านั้นให้วางแผนร่วมกัน ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย จึงแอบติดต่อกับเหมียวอี้ไว้แล้ว ให้เหมียวอี้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
ถึงแม้ตระกูลโค่วจะกังวลเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในงานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้ และเตือนให้เหมียวอี้ระวังตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเบื้องลึกเหมือนที่เหมียวอี้รู้มาจากฝั่งผังก้วนเลย เหมียวอี้รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ลั่วกุยจับไม้สั้นไม้ยาวได้ด้วยซ้ำ จะไม่เตรียมตัวได้เหรอ?
ตอนนั้นพอเหมียวอี้ได้ยินข่าว ก็บอกผังก้วนให้พาลูกสาวแยกออกไป
ผังก้วนได้ยินแล้วตกใจ จังหวะนี้เหมือนเตรียมลงมือ เขากลี้ยกล่อมเหมียวอี้ไม่สำเร็จ แต่ก็ยังเตือนเหมียวอี้ว่า จอมพลสายวอกลั่วหม่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก โปรดปรานลูกชายคนเล็กมาก รู้ว่าลุกชายคนเล็กสมองไม่ดี เพื่อที่จะรักษาความร่ำรวยและเกียรติยศให้ลูกชาย ถึงขั้นเตรียมจะให้ลูกชายคนนี้แต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของก่วงลิ่งกง ลูกชายคนอื่นที่มีอำนาจไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้หรอกนะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโอ๋ลูกชายคนเล็กขนาดไหน คนพวกนั้นผลักลั่วกุยออกมาเรียกได้ว่าความคิดชั่วร้ายมาก ถ้าปกป้องชีวิตลั่วกุยได้ ลั่วหม่างจะต้องจดจำน้ำใจนี้แน่นอน แต่ถ้าเจ้าฆ่าลั่วกุยแล้ว ลั่วหม่างจะต้องตามจองเวรเจ้าไม่เลิกแน่ เกรงว่าก่วงลิ่งกงจะต้องออกหน้าเพื่อนลั่วหม่างเช่นกัน ให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยลงมือ
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เหมียวอี้จะสงบนิ่งใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยที่ทำอะไรตามอารมณ์อย่างเหมียวอี้ ตอนเกิดเรื่องจะต้องตะโกนด้วยความโมโหแน่นอน ไม่อย่างนั้นตอนที่รีบร้อนลงมือ เขาจะเหลือลั่วกุยที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้ทำไม? เพราะเขาเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบตั้งแต่แรกแล้ว วางกับดักรอเรียบร้อยแล้ว!
ในเวลานี้ เหมียวอี้กับเฉินหวยจิ่วก็แค่เหลือบมองกันแวบหนึ่งแล้วผ่านไป ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางสื่อสารอะไรกัน
พอฝ่ายกองทัพองครักษ์ถอนตัวไป กลุ่มผู้หญิงที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก็กระโจนไปยังที่นาหลวง โผไปที่ศพลูกชายตัวเอง เรียกได้ว่าวุ่นวายเสียงดังมาก
โค่วเจิงตามไปที่จวนแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ได้รับการคุ้มครองจากที่นี่ชั่วคราว พอเจอหน้ากันเขาก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ทำไมเจ้าถึงข่มอารมณ์ไม่ได้ ข้าให้เจ้าทนเอาหน่อยไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า “ถ้าข้าทนแล้วพวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ? ไม่สู้ทุกคนตรงไปตรงมาหน่อยดีกว่า ถ้าไม่ใช่ข้าตาย ก็เป็นพวกเขาตาย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น!”
“…” โค่วเจิงพูดไม่ออก
เรือนพักของอ๋องสวรรค์ก่วง เม่ยเหนียงกับลูกสาวยังไม่ไปที่พระตำหนักอุทยาน แต่มาที่นี่แทน นี่เป็นสิ่งที่โกวเยว่ต้องการ
เม่ยเหนียงตกใจแทบแย่ พอกลับมาแล้วไม่เห็ฯว่ามีคนนอกแล้ว นางก็เลิกวางมากมั่นใจทันที ถามลูกสาวซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรหรือไม่
หลังจากยืนยันกับเม่ยเหนียงแล้วว่าไม่เป็นอะไร โกวเยว่ก็เริ่มถามแทรกทันที “คุณหนู เล่ารายละเอียดที่มาที่ไปให้บ่าวฟังได้หรือไม่?”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้ฟังทันที
โกวเยว่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ถามอีกว่า “ทำไมคุณหนูถึงไปหาหนิวโหย่วเต๋อในเวลานี้?”
คำถามนี้ทำให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างเขินอาย คนเป็นแม่พอจะเข้าใจความคิดของลูกสาว ดูออกตั้งนานแล้วว่าลูกสาวหวั่นไหวกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจริงๆ นางไม่อยากจะให้ลูกสาวอับอาย จึงพูดแทรกว่า “พ่อบ้านโกว พอแล้ว เม่ยอ๋อร์ตกใจแทบแย่แล้ว ให้นางพักก่อนเถอะ”
โกวเยว่ไม่เลิก กุมหมัดคารวะต่อนางพร้อมบอกว่า “หวังเฟยเหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าบ่าวอยากถาม แต่ท่านอ๋องกำชับลงมา ท่านอ๋องบอกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย ต้องการให้บ่าวสืบให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”
“น่าสงสัยเหรอ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย “เม่ยอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อเป็นเพื่อนกัน แค่ไปเจอนิดหน่อยไม่เหมาะสมเหรอคะ? เห็นได้ชัดว่าลั่วกุยนั่นเกาะแกะไม่เลิก หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ แล้วคนกลุ่มนั้นก็ไม่ชอบหน้าหนิวโหย่วเต๋อด้วย”
โกวเยว่พยักหน้า “บ่าวรู้ว่าคุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นเพื่อนกัน แต่ยังไม่ถึงเวลาเที่ยวเล่นในสวน การทักทายพบปะกันยังไม่จบ ทำไมคุณหนูถึงไปพบหนิวโหย่วเต๋อได้ล่ะ? ที่บ่าวอยากจะรู้ก็คือ ก่อนหน้านั้นคุณหนูได้บอกใครหรือเปล่าว่าจะไปเจอหนิวโหย่วเต๋อ หรือมีใครแอบบอกใบให้คุณหนูไปเจอหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วตะลึงงัน เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ตอบอย่างลังเลว่า “พวกพี่หนีเอ๋อร์กับพี่ฉางเอ๋อร์อยากรู้จักหนิวโหย่วเต๋อ เลยดึงข้าออกมาจากพระตำหนักอุทยาน”
โกวเยว่พลันหรี่ตาถาม “แล้วทำไมสองพี่น้องนั่นถึงไม่ไปกับคุณหนูด้วย?”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตอบว่า “พวกนางให้ข้าไปถามหนิวโหย่วเต๋อก่อนว่าเต็มใจจะเจอพวกนางหรือไม่…” ขณะที่พูดตัวเองก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน
โกวเยว่แสยะหัวเราะหึหึ แล้วไม่ได้ถามอะไรมากอีก กุมหมัดคารวะบอกว่า “บ่าวเข้าใจแล้ว คุณหนูตกใจมามากแล้ว ไปพักก่อนเถอะขอรับ” พูดจบก็ขอตัวถอยออกไป
เม่ยเหนียงก็ไม่ใช่คนโง่ ฟังออกถึงเงื่อนงำในนั้นแล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้าย “นางเด็กแสบสองคนนั้น มาวางแผนกับลูกสาวข้าซะแล้ว!”
“ท่านแม่ เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน อย่าพูดซี้ซั้วเลยค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล
“ไม่มีหลักฐานเหรอ?” เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “ทั้งชีวิตนี้แม่มีเจ้าคนเดียวที่สำคัญที่สุด ใครกล้ามาแตะต้องลูกสาวข้า ข้าก็จะสู้ตายกับคนนั้น! จะมีหลักฐานมั้ยไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือแม่ไม่ปล่อยพวกนางไปแน่ ชอบเล่นแผนสกปรกกันนักใช้มั้ย ดี ถึงยังไงข้าก็ไม่มีงานอะไรทำอยู่แล้ว งั้นก็มาเล่นด้วยกันเถอะ!”
ในเรือนพักเดียวของจอมพลสายวอก มารดาของลั่วกุยกำลังเช็ดรอยเลือดบนปากลูกชายด้วยน้ำตาคลอเบ้า ปากก็กล่าวอย่างคับแค้นไม่หยุดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! ต้องโดนมีดสับสักพันเล่ม นึกว่าได้กลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจะเลิศเลอนักรึไง…”
พ่อบ้านหลางจวี๋ยืนอยู่ข้างกายลั่วหม่างเงียบๆ มองไปที่สองพ่อลูกเป็นระยะ ลูกชายตัวสั่นหลบอยู่ข้างกายแม่ไม่กล้ามองพ่อ ส่วนพ่อก็จ้องลูกชายด้วยสีหน้าดุดัน
“ไม่ต้องเช็ดแล้ว หลบไปทางนั้นไป!” ในที่สุดลั่วหม่างก็ระเบิดอารมณ์ เสียงตะคอกนี้ทำให้สองแม่ลูกตกใจ ถงเหลียนซีรีบหลีกไปด้านข้างอย่างระแวงกลัว
ลั่วหม่างรูปร่างกำยำบึกบึน เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าลูกชายที่กำลังทำสีหน้าน้อยใจ “ข้าถามหน่อย ว่าใครเป็นคนให้เจ้าออกหน้าทำเรื่องนี้?”
ลั่วกุยก้มหน้าตอบว่า “ไม่มีใครให้ข้าออกหน้า ข้าชอบเม่ยเอ๋อร์”
ลั่วหม่างจึงบอกว่า “คนที่ชอบเม่ยเอ๋อร์มีเยอะแยะ วันนี้คนอื่นอยู่ข้างหลังกันหมด มีเจ้าคนเดียวที่ออกหน้า ต้องมีสักเหตุผลหนึ่งสิ!”
“ทุกคนจับไม้สั้นไม้ยาวด้วยกัน…” ลั่วกุยเล่าเรื่องที่จับไม้สั้นไม้ยาวให้ฟัง ความหมายที่จะสื่อก็คือ ในภายหลังเม่ยเอ๋อร์ก็จะเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว
ลั่วหม่างสูดหายใจลึกอย่างตกใจ กางนิ้วทั้งห้าไปที่ประตู กิ่งไม้ที่อยู่ด้านนอกมีเสียงดังกรอบแกรบ มีกิ่งไม้หลายกิ่งลอยเข้ามา เขาคว้าเอาไว้ในมือ แล้วยื่นไปตรงหน้าลั่วกุย “จับสิ! รีบจับ!”
ลั่วกุยตกใจทันที จากนั้นก็หยิบกิ่งหนึ่งมาไว้ในใอ ลั่วหม่างกางนิ้วทั้งห้า ในมือยังเหลืออีกสี่กิ่ง พอเอามาเทียบกันแล้วก็ดูออก ว่ากิ่งไม้ที่อยู่ในมือลั่วกุยสั้นที่สุด
พอหยิบกิ่งไม้จากมือลั่วกุยกลับมา ลั่วหม่างก็เอามือไขว้หลังแล้วจัดใหม่ แล้วก็กำกิ่งไม้ยื่นออกมาอีก ตะคอกอีกว่า “จับไม้สั้นไม้ยาว!”
ลั่วกุยทำตามอย่างซื่อสัตย์ ผลปรากฏว่าจับได้ไม้ที่สั้นที่สุดอีกแล้ว
ทำซ้ำไปซ้ำมาก็ได้ผลลัพธ์แบบนี้ ลั่วกุยจับได้ไม้ที่สั้นที่สุดตลอด เขาเองก็แปลกใจแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพ่อ ข้าดวงดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า!”
เพี้ยะ! ลั่วหม่างตบทีเดียวจนเขานอนคว่ำบนพื้น โยนกิ่งไม้ห้ากิ่งลงตรงหน้าเขา แล้วสะบัดแขนเสื้อ โยนกิ่งไม้อีกกองที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เฒ่าหลาง หนิวโหย่วเต๋อจงใจจะไว้ชีวิตลั่วกุยชัดๆ!” ลั่วหม่างไม่สนใจลูกชาย เอามือไขว้หลังมองไปทางประตูแล้วถอนหายใจยาว
…………………………