พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1578 ของขวัญล้ำค่าจากตระกูลเซี่ยโห้ว
“ของขวัญของตระกูลเซี่ยโห้วทำไมเหรอ?” เหมียวอี้ไม่เข้าใจว่าทำไมนางสีหน้าเปลี่ยน จึงหยิบกำไลเก็บสมบัติขึ้นมาดู ทำให้เขาอึ้งไปเช่นกัน เขาเรียกของในกำไลเก็บสมบัติออกมา เป็นตั๋วแลกสีม่วงทองหนึ่งปึก บนตั๋วแลกเงินมีคำว่า ‘ธนาคารสัตยพรต’ ด้วย
เหมียวอี้ย่อมรู้จักกับ ‘ธนาคารสัตยพรต’ อยู่แล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ เป็นประเภทที่มีมูลค่ามากที่สุด หนึ่งใบเท่ากับหนึ่งร้อยล้านล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด เขาเชื่อว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ถึงขั้นนำตั๋วแลกเงินปลอมมาทำเป็นของขวัญในโอกาสและงานแบบนี้
เอาไปแลกได้หรือเปล่า? ไม่ต้องสงสัยเลย! ตั๋วแลกเงินของธนาคารสัตยพรตมีมาก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะก่อตั้งขึ้นนานมาก ไม่ต้องพูดถึงความน่าเชื่อถือ นั่นคือชื่อยี่ห้อเลยล่ะ ที่นี่เบียดจนตำหนักสวรรค์ไม่สามารถสร้างธนาคารที่ทัดเทียมกับที่นี่ได้ กอปรกับการรักษาความลับที่ธนาคารสัตยพรตมีให้ การไปมาหาสู่ที่ธนาคารของทางการล้วนถูกจับตาดูได้ง่าย ดังนั้นจะขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังให้รู้ไว้ นั่นก็คือ แม้แต่ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ยังแอบหอบเงินก้อนใหญ่ไปที่ธนาคารสัตยพรตเลย แค่ดูจากสิ่งนี้ก็รู้แล้ว
ตั๋วแลกเงินสีม่วงทองสิบใบ เหมียวอี้นับแล้วนับอีก มันคือสิบใบจริงๆ ก็เท่ากับมีผลึกแดงหนึ่งพันล้านล้าน เท่ากับว่าตระกูลเซี่ยโห้วมอบยาแก่นเซียนให้ตนหนึ่งหมื่นล้านเม็ดในรวดเดียว “ซี้ด!” เหมียวอี้ที่ยืนยันให้แน่ใจแล้วอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจอย่างตกตะลึง!
ของขวัญล้ำค่ามหาศาลส่วนนี้เพียงพอที่จะช่วยให้เขาเพิ่มวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสี่เลย สำหรับเหมียวอี้ที่ไม่เคยขาดทรัพยากรมาก่อนเลย จำนวนนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ถ้าเป็นสำหรับคนทั่วไป นักพรตส่วนใหญ่ทั้งชีวิตนี้แค่รวบรวมทรัพยากรฝึกตนจนบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งให้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้เป็นคนในตำหนักสวรรค์ก็ตาม ถ้าเหมียวอี้ไม่เคยครองตำแหน่งที่เงินทองอุดมสมบูรณ์มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเคยรวยแบบพรวดพราดมาก่อน ก็คงต้องใช้เวลาสะสมทีละนิด คนที่ไร้เงินไร้อำนาจทั้งยังไม่มีโอกาสอะไร มีหรือที่จะรวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้ได้ง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ที่อวิ๋นจือชิวนับของขวัญจากลั่วหม่างจอมพลสายวอกก็ถือว่าได้เยอะแล้ว เป็นของขวัญที่เยอะที่สุดที่นับได้ก่อนหน้านี้ ให้มาสิบล้านล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยล้านเม็ด แต่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับให้เยอะกว่าลั่วหม่างหนึ่งร้อยเท่า!
หน้าใหญ่ใจโตจนหน้าตกใจ!
เหมียวอี้เตรียมจะมอบให้เป็นน้ำใจกับลูกน้องเก่าหนึ่งหมื่นที่รอดชีวิต จะให้ยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด หนึ่งหมื่นคนก็เท่ากับหนึ่งหมื่นล้านเม็ด การจ่ายครั้งนี้ของตระกูลเซี่ยโห้ว สามารถเติมส่วนที่ขาดได้ภายในรวดเดียว ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมอวิ๋นจือชิวถึงบอกว่าไม่ต้องแล้ว เพราะของขวัญส่วนนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วก็เพียงพอแล้ว
อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างตกใจปนประหลาดใจว่า “เจ้าแอบมีความสัมพันธ์อันดับกับตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเลยล่ะ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าเงียบๆ ทำท่าเหมือนคิดไปร้อยตลบแต่ก็ยังไม่เข้าใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงมอบของขวัญให้แพงขนาดนี้ ข้ากับตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่กันด้วย ต่อให้จะส่งของขวัญ แต่ก็ควรส่งให้ถึงมือตระกูลโค่วสิ ถ้าส่งให้ตระกูลโค่ว ของขวัญส่วนนี้ก็ไม่ได้นับว่ามากมายอะไร แต้ถ้าให้ข้าแบบนี้…พวกเขาส่งผิดรึเปล่า ที่จริงแล้วอยากจะส่งให้ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่กลับส่งมาให้ที่มือพวกเรา”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “ด้วยความสามารถในการทำงานของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ถึงขั้นส่งของขวัญผิดหรอกมั้ง”
เหมียวอี้พยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจ บอกเชียนเอ๋อร์ว่า “เชียนเอ๋อร์ เจ้าไปสืบดูหน่อย ถามหน่อยว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันรึเปล่า”
“ค่ะ!” เชียนเอ๋อร์เอ่ยรับแล้วออกไป
สามคนที่อยู่ในห้องรอไม่นาน เชียนเอ๋อร์ก็กลับมารายงานว่า “นายท่าน ฮูหยิน ทางตระกูลโค่วบอกว่าได้รับของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้วเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วพึมพำว่า “การให้ครั้งนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนมองไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ว่าจะมองยังไงก็คล้ายกับอยากจะสานสัมพันธ์กับพวกเรา แต่ตามหลักการแล้ว ใช่ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราเป็นคนของตระกูลโค่ว ขอเพียงคสามสัมพันธ์ของเขากับตระกูลโค่วได้ที่แล้ว ฝั่งพวกเราก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การให้ของขวัญมากมายกับพวกเราเงียบๆ แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ?”
เหมียวอี้ก็ไตร่ตรองดูเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว จะมีเจตนาอะไรก็รอดูต่อไปแล้วกัน ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวจุดประสงค์ก็จะเผยออกมา” เขาโบกตั๋วแลกเงินในมือ “แต่กำลังทรัพย์ของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วที่ผูกขาดการค้าใต้ดิน เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก! เออใช่ เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนไม่ได้ส่งของขวัญมาให้เหรอ?”
“ระวังเกินไปแล้ว ทางนั้นระวังตัวมาก ไม่ได้ให้ของขวัญมา น่าจะส่งไปให้ตระกูลโค่วแล้ว” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า
เหมียวอี้ยัดตั๋วแลกเงินใส่มืออวิ๋นจือชิว “ในเมื่อมีเงินก้อนนี้แล้ว ก็รบกวนฮูหยินจัดการเรื่องลูกน้องเก่าหมื่นกว่าคนพวกนั้นหน่อย พยายามส่งไปให้ถึงมือพวกเขาให้ได้ ข้ารู้ว่าพวกเรากำลังขัดสน แต่เรื่องที่น่านฟ้าระกาติงทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อพวกเขาจริงๆ พวกที่รบตายไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถจะชดเชยให้พวกเขาได้ ทำได้แค่แสดงน้ำใจเพื่อให้ตัวเองสงบใจก็แล้วกัน”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายกับข้าหรอก ข้าไม่ได้บอกว่าไม่อยากทำเสียหน่อย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ข้าก็แค่อยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย ว่าพวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงทัพใหญ่ ดูแลได้แค่ครั้งนี้ แต่ครั้งต่อไปทำไม่ได้แล้ว หวังว่าเจ้าจะมีแผนในใจ”
เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ “ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหนึ่งร้อยปี ค่าใช้จ่ายในหนึ่งร้อยปีนี้ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าขัดสนจริงๆ เจ้าลองดูว่าจะหาทางปล่อยขายยาเจี๋ยตันเม็ดนั้นกับสมุนไพรเทพต้นนั้นไปก่อนได้รึเปล่า? ทางตลาดมืด…”
อวิ๋นจือชิวปฏิเสธลูกเดียว “ไม่ได้! สมุนไพรเซียนที่เจ้าได้มากจากแดนอเวจี ส่วนใหญ่ข้าเอาไปปล่อยขายที่ตลาดมืดแล้ว แต่ของสองสิ่งนั้นไม่มีทางปล่อยขายได้เลย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะซื้อขายกันได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พอปล่อยขายออกไปก็จะทำให้คนสงสัย ถ้าไม่ถึงขั้นเอาสมบัติเก่ามากินจนหมดจริงๆ พวกเราก็ต้องเหลือสมบัติรองหีบไว้เป็นทางหนีทีไล่สักหน่อยสิ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ของขวัญที่อยู่ในมือยังประคองไปได้สักระยะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะหยุดใช้ยาเจี๋ยตันกับตั๊กแตนชั่วคราว ให้พวกมันพ่นผลึกสกัดบริสุทธิ์เอาไว้ขายสักหน่อย ยังพอหมุนเงินไหว เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว เรื่องในบ้านข้าคิดหาทางได้เอง” พูดจบก็หันตัวไปบอกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นับของขวัญต่อไป หลังจากนับเสร็จก็ต้องบันทึกไว้ทุกรายการ ในภายหลังจะต้องให้ของขวัญคืน
เหมียวอี้ยืนดูอยู่ข้างๆ ยืนดูใบหน้าด้านข้างที่งดงามของอวิ๋นจือชิว ทำให้เขาใจลอยโดยไม่รู้ตัว ความคิดลอยไปที่ตัวหวงฝู่จวินโหรว เรื่องเงินไม่ได้ทำให้เขาคิดมากเลย แต่ไม่รู้ว่าถ้าหวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าเขากับอวิ๋นจือชิวอยู่ด้วยกัน นางจะรู้สึกอย่างไร…
ชั่วขณะนั้นเขาคิดจนเหม่อลอยเล็กน้อย นับของขวัญเสร็จตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย
หลังจากเรียกสติกลับมาแล้ว เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความสงสาร เขาจึงอดขำไม่ได้ “บนหน้าข้ามีดอกไม้บานเหรอ? มองข้าแบบนี้ทำไม?”
อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่เห็นเหมียวอี้มีสีหน้ากังวลจางๆ อย่างที่เห็นได้ไม่บ่อย นางนึกว่าเขากำลังกังวลเรื่องเงิน นี่ก็คือสาเหตุที่นางไม่รีบบอกเหมียวอี้ว่าขัดสนเงินทอง นางกลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามไปเสี่ยงอันตรายอะไรอีกเพื่อเงิน
“กำลังคิดเรื่องเงินเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเอ่ยถามเสียงเบา
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ด้วยเส้นสายของข้าในตอนนี้ เงินถือเป็นเรื่องเล็กแล้ว หกลัทธิสะสมเงินอยู่ข้างนอกมาหลายปี เอามาจากพวกเขานิดหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา ข้าแค่กำลังคิดว่าต่อไปจะทำยังไงดี ตกอยู่ในการต่อสู้ของบุคคลระดับสูงในตำหนักสวรรค์ คงมีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้”
อวิ๋นจือชิวเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าบอกเจ้าว่าอย่าทำซี้ซั้ว เจ้าก็ไม่ฟัง ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ทำได้แค่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ด้วยความสามารถของพวกเรา ยังไม่มีทางวางแผนได้ไกลขนาดนั้น”
เหมียวอี้กอดปลอบใจนาง ดมกลิ่นหอมของผมนาง ทำอย่างนั้นเงียบๆ อยู่นานมาก บางทีอาจจะรู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่ค่อยดี จึงพูดหยอกข้างหูอวิ๋นจือชิวว่า “ร่างกายฮูหยินของขาดมานานแล้ว แล้วนี่ก็เป็นคืนเข้าห้องหอด้วย…”
อวิ๋นจือชิวเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าอกเขา ช้อนตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ขนาดสี่อ๋องสวรรค์ยังอยากยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าเลย เจ้ายังมาชอบข้าได้อีกเหรอ? ข้าไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งอำนาจ หน้าตาก็ไม่ได้สวยมากมายเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข จะไปเทียบกับก่วงเม่ยเอ๋อร์อะไรนั่นได้ยังไง ข้าเห็นนางที่พระตำหนักอุทยานแล้ว เรียกว่าสวยเย้ายวนแพรวพราวก็ได้ ขนาดผู้หญิงด้วยกันมองแล้วยังใจสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ชายเลย มิน่าล่ะหนิวเอ้อร์ของเราเลยหึงจนลงมือเพื่อนาง พูดจริงๆ เลยนะ ถ้าเจ้านึกเสียใจทีหลังก็ยังไม่สายหรอก ข้าจะหลีกทางให้ ไม่เป็นตัวถ่วงอนาคตของเจ้าหรอก”
เหมียวอี้ไถลมือจากแผ่นหลังลงไปข้างล่าง บีบแก้มก้นของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กองทัพนับหมื่นนับแสนนองเลือดเป็นแม่น้ำเพื่อเจ้า หัวคนหลายแสนร่วงลงพื้นเพื่อเจ้า ยังทำให้ฮูหยินยิ้มสักครั้งไม่ได้เชียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าแบบนี้ยังพิสูจน์ความจริงใจของข้าไม่ได้อีก?”
ชั่วพริบตานั้น อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งแล้ว นางเขย่งปลายเท้า เป็นฝ่ายส่งริมฝีปากแดงไปหาเขาก่อน
เหมียวอี้ก้มหน้าลงประกบริมฝีปาก สองร่างคลอเคล้าอยู่ด้วยกัน อยากจะรวมเข้าไปอยู่ในร่างของอีกฝ่ายใจจะขาด ความรักเข้มข้นลึกซึ้ง เหมียวอี้โน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา แล้วโถมทับลงบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมา เสื้อผ้าปลิวว่อน ในที่สุดก็ได้เห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิในโถน้ำผึ้ง ท่านขุนนางเหมียวดื่มด่ำตามอำเภอใจ
แสงเทียนสีแดงส่องสว่างในห้อง…
ตอนเที่ยงคืน อวิ๋นจือชิวที่ยังทำสีหน้าออดอ้อนไม่หายกำลังนอนกอดเหมียวอี้อย่างเกียจคร้าน อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่เหมียวอี้ประสบในแดนมรณะดึกดำบรรพ์
พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ดึงอวิ๋นจือชิวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ นั่งหันหน้าชนกัน
การมองหน้ากันในท่านี้ขณะที่ร่างกายเปลือยเปล่า อวิ๋นจือชิวยังไม่ค่อยคุ้นชิน เอามือสองข้างปิดหน้าอก แล้วถลึงตาถามว่า “อยากจะเล่นลูกไม้แบบไหนอีกล่ะ?”
“แบบที่ประหยัดทรัพยากรไง!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ แล้วโบกมือเรียกลูกแก้วพลังปรารถนาให้ลอยอยู่กลางอากาศ
ลูกแก้วพลังปรารถนาในมือเดิมทีหายไปแล้ว โชคดีที่ตอนหลังเวินเจ๋อนำค่าจ้างภายในหนึ่งพันปีนั้นมาส่งให้
ผ่านไปไม่นาน ร่างเปลือยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเตียงก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ข้างในมีเสียงพึมพำของทั้งสองดังมา “เป็นยังไงบ้าง?” ในที่สุดก็ทำให้อวิ๋นจือชิวร้องอุทานอย่างประหลาดใจแล้ว…
หลังจากวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็ไม่สามารถออกจากอุทยานหลวงได้ ตระกูลโค่วก็เตรียมเรือนพักให้อวิ๋นจือชิวที่อุทยานหลวงชั่วคราวเช่นกัน ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้ว จะอยู๋ที่เรือนพักเดี่ยวก็ไม่มีใครว่าอะไร ถือว่าให้ทั้งสองคนได้เจอกันได้สะดวก
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวก็คือ ตอนนี้เขาต้องขยันยืนเฝ้ายามมากขึ้นหน่อย ทุกวันนี้สนมสวรรค์หรูอี้มักจะมาทำนาที่อุทยานหลวงบ่อยๆ สิ่งที่ทำให้เขาพูกไม่ออกก็คือ จ้านหรูอี้มักจะเรียกใช้เขาบ่อยๆ ให้ไปช่วยนางทำงานเบ็ดเตล็ด ยกตัวอย่างเช่นยกถังน้ำให้นางรดน้ำต้นไม้
จ้านหรูอี้กลับไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด ท่าทางใจกว้างตรงไปตรงมา แต่แบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้อกสั่นขวัญแขวน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่กลัวคนอื่นสงสัยสักนิดเลยล่ะ อย่ามาทำร้ายข้านะ!
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเป็นเพียงนายทหารเล็กๆ สนมสวรรค์สั่งให้เขาทำงาน เขาจะโวยวายใส่ได้เหรอ?
…………………………