พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1579 เพียงคนที่ผ่านทางมาเจอกัน
เรื่องบางเรื่องก็เป็นอย่างนี้ ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง ก็จะไม่คิดอะไรซี้ซั้ว แต่ประเด็นก็คือในปีนั้นจ้านหรูอี้ขอร้องให้เขาพานางไป เคยเปิดเผยเรือนร่างส่วนบนให้เขาเห็น เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน รวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย
เรื่องอื่นเขาสามารถบอกอวิ๋นจือชิวได้หมด มีเพียงเรื่องระหว่างชายหญิงเท่านั้นที่เขาบอกอวิ๋นจือชิวไม่ได้ ทำเรื่องน่าละอายเยอะจนติดเป็นนิสัยแล้ว ช่วยไม่ได้
และในใจเขาก็รู้ชัดเจนมาก ว่าจ้านหรูอี้ไม่อยากอยู่ที่วังสวรรค์ ดังนั้นแล้ว เขาจึงกังวลว่าจ้านหรูอี้จะอยากทำหม้อชำรุดให้ตกแตก[1]หรือเปล่า ถ้าวันไหนจ้านหรูอี้เอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ราชันสวรรค์จะใจกว้างขนาดไหนแต่ก็ไม่มีทางรับเรื่องนี้ได้ ตระกูลโค่วก็จะปกป้องเขาไม่ได้เช่นกัน ประมุขชิงจะต้องทำให้ร่างเขาแหลกเป็นจุนแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว ขนาดอวิ๋นจือชิวที่มาเยี่ยมเขาที่ผืนนาหลวงเป็นครั้งคราวยังมองออกถึงความไม่ชอบมาพากลเลย ถามว่าระหว่างเขากับจ้านหรูอี้มีเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า
เหมียวอี้แสร้งตอบอย่างจนใจว่า “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ในปีนั้นข้าเคยมีเรื่องกับนาง ตอนนี้นางเรียกใช้ข้าอย่างกับคนใช้ กำลังจงใจสร้างความอัปยศให้ข้าเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างนะ ถ้าจ้านหรูอี้มีร่างกายไม่บริสุทธิ์ จะเข้าวังหลังได้ยังไง จะกลายเป็นสนมโปรดของราชันสวรรค์ได้เหรอ เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?”
สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดมีเหตุผลเหมือนกัน ถ้าไม่ได้มีร่างกายที่บริสุทธิ์ ต่อให้เข้าไปในวังหลังแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับความโปรดปรานจากราชันสวรรค์ อย่างราชันสวรรค์จะโดนคนอื่นสวมเขาได้อย่างไร
แต่สำหรับสัญชาตญาณของผู้หญิง นางมองไม่ออกเลยว่าจ้านหรูอี้เรียกใช้เหมียวอี้เหมือนบ่าวไพร่ มิหนำซ้ำบางครั้งจ้านหรูอี้ก็ยังเรียกนางไปคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันด้วย ระหว่างที่คุยกันไม่ได้มีความหยิ่งผยองอะไร ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า
“ฝ่าบาท สนมสวรรค์หรูอี้ทำเกินไปรึเปล่า มักจะไปอยู่กับหนิวโหย่วเต๋อตรงที่นาหลวงบ่อยๆ แบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหนเพคะ?”
ตำหนักนารีสวรรค์ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับน้ำฝนพระราชทานจากประมุขชิง ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังช่วยแต่งตัวให้ประมุขชิง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มได้ทีขี่แพะไล่แล้ว
ประมุขชิงตอบว่า “นางก็ไม่ค่อยได้ออกจากวังสักเท่าไร ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ชัดเจนว่านางกำลังสร้างความอัปยศให้หนิวโหย่วเต๋อ พวกเขามีความแค้นมานานแล้ว ให้นางระบายความโกรธสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงก็ยังมีตระกูลโค่ว นางคงไม่ทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อตรงๆ เช่นกัน ทำได้แค่นี้”
“จะผ่อนคลายอารมณ์หรือระบายความโกรธรึเปล่าหม่อมฉันก็ไม่รู้หรอกเพคะ แต่ชายหญิงอยู่กันตามลำพังจะให้คนอื่นมองยังไง? จะให้พวกน้องๆ ในวังหลังเห็นแล้วรู้สึกยังไง? ผลกระทบแย่เกินไปแล้ว!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว
ประมุขชิงเอียงหน้ามองมา แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย “ชายหญิงอยู่กันตามลำพังเสียเมื่อไร มีคนมากมายขนาดนั้นดูอยู่ เจ้าหวังจะให้สนมสวรรค์มีชื่อเสียงไม่ดีมากนักเหรอ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็หวังดีกับฝ่าบาทเหมือนกันนะเพคะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็จะสายไปแล้ว”
“พอแล้ว!” ประมุขชิงพลันหันตัวมา แล้วจ้องนางอย่างเย็นเยียบ “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้? ใช่ว่าข้าจะหูหนวกตาบอดเสียเมื่อไร ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็มองทะลุปรุโปร่ง สนมสวรรค์เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ทำอะไรก็เปิดเผยจริงใจ ไปอุทยานสวรรค์แล้วเรียกใช้หนิวโหย่วเต๋อหน่อยจะเป็นไรไป? มีจุดไหนที่ลับสายตาคนบ้าง อยู่ในสายตาทุกคนตลอด เรื่องสะอาดบริสุทธิ์ที่ทุกคนมองเห็นกันหมด ทำไมเมื่ออยู่ในสายตาเจ้าถึงกลายเป็นเรื่องแย่ขนาดนี้ล่ะ? เฮอะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ทิ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วออกไปแล้ว
พิจารณาตามความเป็นจริง ต่อให้ประมุขชิงจะไม่ชอบเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่อย่างน้อยในแต่ละปีก็ต้องมาดูแลเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักสองสามครั้ง
เพิ่งจะมีความสุขสำราญไป เดิมทีไม่อยากจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง แต่เขาไม่พอใจมากที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มักจะพูดข่มจ้านหรูอี้เสมอ เขาเองก็รู้ว่าที่วังหลังมีการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนวิธีการบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนที่เขาอยู่กับจ้านหรูอี้ เขาไม่เคยได้ยินจ้านหรูอี้พูดถึงความผิดใดๆ ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย จ้านหรูอี้เองก็ไม่เคยว่าร้ายใครในวังหลังเลยด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขชิงก็ไม่เคยปิดบังอะไร และไม่เคยวางแผนอะไรกับเขาด้วย มีแค่ตอนที่อยู่กับจ้านหรูอี้เท่านั้น เขาถึงจะสัมผัสได้ถึงความสงบจิตสบายใจ สำหรับประมุขชิงที่เผชิญกับขุนนางปากหวานก้นเปรี้ยวในราชสำนักแล้วกลับมาเจอการวางอุบายใส่กันที่วังหลังอีก จ้านหรูอี้ก็คือดินแดนอันสงบสุข มอบความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านให้เขา
พูดจากใจจริง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวตระกูลเซี่ยโห้ว เขาก็อยากจะแต่งตั้งให้จ้านหรูอี้เป็นฮูหยินตำหนักหลักจริงๆ แต่ความเป็นจริงต้องทำให้เขาอดทนไว้ ด้วยนิสัยอย่างจ้านหรูอี้ก็เป็นราชินีสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน ถ้าอยู่ในตำแหน่งราชินีสวรรค์จริง ตระกูลอื่นๆ ก็คงไม่ยืนอยู่ฝ่ายจ้านหรูอี้แน่ เขากลัวว่าจะทำให้จ้านหรูอี้มีบาแผลเต็มตัว
วังหลังคือสถานที่บอกเล่าร้องขอที่สะท้อนถึงอำนาจในราชสำนัก เจ้าจะไม่เก็บสะสมไว้ก็ไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ยอมรับสนมเอาไว้ พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็จะคิดว่าเจ้ามีความคิดอะไรต่อเขาหรือเปล่า เรื่องนี้ทำให้คนปวดหัวจริงๆ ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากจะเลี้ยงผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้อยากแตะต้องไว้มากขนาดนี้ เขาเล่นกับสาวงามจนเบื่อหน่ายมาตั้งนานแล้ว อะไรสวยหรือไม่สวย พอถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วมองข้ามใบหน้าไปก็พอๆ กันทั้งนั้น เขาจะเอากำลังวังชาอะไรมากมายไปใช้กับผู้หญิงเยอะแยะขนาดนั้น ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้แต่ก็ไร้ความสามารถกับเรื่องนี้อยู่ดี ต่อให้ทำอย่างสุดกำลัง แต่วันหนึ่งจะทำได้สักกี่คน?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ปล่อยผมสยายยืนอยู่หน้าประตูใช้มือประคองจับวงกบประตูด้วยสีหน้าเศร้าโศก ถึงไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะรักจ้านหรูอี้ขนาดนี้ ถ้าเอาเรื่องระหว่างชายหญิงของสนมคนอื่นมาพูด ประมุขชิงจะต้องสงสัยแน่นอนว่าในใจต้องมีอะไร แต่พอเปลี่ยนเป็นจ้านหรูอี้ ไม่น่าเชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่สงสัยเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ปกป้องเข้าข้าง ทั้งยังตำหนิต่อว่านางยุ่งมากไปด้วย
พอออกจากตำหนักนารีสวรรค์มาแล้ว ซ่างกวนชิงก็มาต้อนรับแล้วเดินตามหลัง จู่ๆ ประมุขชิงก็ถามว่า “ซ่างกวน เจ้าว่าให้สนมสวรรค์เป็นราชินีสวรรค์ดีมั้ย?”
“หา!” ซ่างกวนชิงตกใจ ทำไมจู่ๆ ถึงมีความคิดนี้ได้ล่ะ เขารู้ว่าประมุขชิงชอบจ้านหรูอี้จริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเปลี่ยนตำแหน่งราชินีหรอกมั้ง!
ถึงแม้เขาจะเป็นคนดูแลวังสวรรค์ แต่เขาก็ไม่เคยพูดอะไรมากเลยเกี่ยวกับเรื่องของวังหลัง ทว่าการเปลี่ยนตัวราชินีส่งผลกระทบเยอะมากจริงๆ เขาเลยต้องเตือนว่า “ฝ่าบาท! ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าถอดราชินีสวรรค์แล้ว ในสายตาของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็เหมือนเป็นเค้าลางว่าจะลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ถึงตอนนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายแล้ว! หากฝ่าบาทโปรดปรานสนมสวรรค์จริงๆ ก็ได้โปรดเห็นอกเห็นใจสนมสวรรค์ บ่าวขออนุญาตกล่าวสิ่งที่มิควร ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของสนมสวรรค์ ไม่เหมาะจะนั่งตำแหน่งนายหญิงของวังหลังจริงๆ ถ้านางได้นั่งตำแหน่งนั้น ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายนาง!”
“ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น! เฮ้อ! ใช่แล้ว!” ประมุขชิงส่ายหน้า คำพูดนี้เขาเก็บมาใส่ใจแล้ว เขาชี้ข้ามหัวไหล่ไปทางตำหนักนารีสวรรค์ “ต่อให้สนมสวรรค์จะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังมีคนไม่อยากจะปล่อยนางไป อยากจะเล่นงานนางให้ถึงตาย เลวร้ายยิ่งนัก! ซ่างกวน ทางวังหลังน่ะ เจ้าสนใจเรื่องปกป้องสนมสวรรค์ไว้หน่อยนะ อย่าให้ใครใช้วิธีการชั้นต่ำอะไรกับนางจนเกิดเรื่องที่เอาคืนไม่ได้!”
“ขอรับ! บ่าวจะจำไว้แน่นอน ไม่สะเพร่าเด็ดขาด!” ซ่างกวนชิงโล่งใจ รีบเอ่ยรับแล้ว
แสงจันทร์ส่องสว่างตรงขอบฟ้า เสียงคลื่นกระทบฝั่ง บนยอดเขาสูงพันจั้ง คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งสูงต่ำไม่เสมอกันตามลักษณะภูเขา ตรงประตูใหญ่ที่มีรูปแบบโบราณเรียบง่ายเขียนคำว่า ‘ตระกูลหวงฝู่’ เอาไว้
ในลานบ้านที่เงียบสงบ เสียงกู่ฉินฟังดูเศร้าคับแค้น หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในศาลสวมชุดกระโปรงขาวดุจหิมะ ผมยาวคลุมบ่า นิ้วทั้งสิบกำลังดีดกู่ฉิน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ความกลัดกลุ้มในใจก็ยิ่งไม่มีทางกำจัดออกไปได้ กลัดกลุ้มถึงขั้นสะสมกลายเป็นความเคียดแค้น!
ถึงแม้ตอนนี้นางก็ถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ แต่มารดาก็ไม่ได้ตัดขาดอำนาจในการรับรู้เรื่องราวภายนอก เรื่องบางเรื่องนางก็ได้รู้จากปากสาวใช้แล้ว
นางนึกไม่ถึง นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่ออวิ๋นจือชิวได้ ตอนแรกที่อยู่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางก็เคยได้ยินเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อชอบอวิ๋นจือชิวมาบ้าง นางเองก็จงใจเข้าหาอวิ๋นจือชิวเช่นกัน แต่ก็สืบไม่เจออะไร ใครจะคิดล่ะว่าความสัมพันธ์ของหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวจะลึกซึ้งถึงขั้นนี้
ถ้าเช่นนั้นนางนับเป็นอะไรล่ะ? ความเจ็บปวดขมขื่นในใจยากจะบรรยาออกมาได้ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่คนหนึ่ง โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นสนุกด้วยแล้ว!
แต่ที่น่าขำก็คือ นางยังนึกว่าสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อไม่แต่งตั้งให้เฟยหงเป็นฮูหยินเอกก็เพราะนาง แต่ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะนาง แต่เพื่ออวิ๋นจือชิว! ช่างน่าขำที่นางคิดว่าตัวเองต่างหากที่เป็นผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อรักจริงอยู่เบื้องหลัง ที่แท้คนที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังที่แท้จริงก็ไม่ใช่นางเลย นางเป็นแค่ของเล่นระบายอารมณ์ที่หนิวโหย่วเต๋อเอาไว้เปลี่ยนรสชาติเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น!
“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นข้างหลัง เสียงฉินหยุดลง พอหวงฝู่จวินโหรวหันกลับไป ก็เห็นหวงฝู่ตวนหรงผู้เป็นมารดามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังมองนางด้วยสีหน้ารักและสงสาร
“ท่านแม่กลับมาแล้วหรือคะ” หวงฝู่จวินโหรวลุกขึ้นยืนแล้วคำนับ
หวงฝู่ตวนหรงช่วยลูบผมงามที่ประบ่านาง แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่”
“พวกเขาแต่งงานกันแล้วใช่มั้ยคะ?” หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้าพูดเบาๆ
“ใช่แล้ว จัดงานแต่งใหญ่ที่อุทยานสวรรค์ มีขุนนางเต็มราชสำนักมาร่วมงาน ราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์ก็ให้เกียรติมาด้วยตัวเอง มีหน้ามีตามาก” หวงฝู่ตวนหรงใช้สองมือประคองใบหน้าลูกสาว “ตื่นจากฝันรึยังล่ะ?”
“อือ ฮือๆ…” ในที่สุดหวงฝู่จวินโหรวก็ระเบิดอารมณ์แล้ว นางสลัดหน้าออกจากมือมารดา นั่งยองๆ บนพื้น แล้วกอดเข่าร้องไห้อย่างปวดใจ
เสียงกู่ฉินดังขึ้น หวงฝู่ตวนหรงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมลูกสาว แต่ไปนั่งดีดฉินแล้ว ท่วงทำนองที่เหมือนสายน้ำไหลเอื่อยเต็มไปด้วยการปลอบบำรุงขวัญ
ไม่รู้เหมือนกันว่าร้องไห้ไปนานเท่าไร หวงฝู่จวินโหรวลุกขึ้นยืนแล้ว นางปาดน้ำตาแล้วหันตัวมา “ท่านแม่ ปล่อยข้าออกไปทำธุระเถอะ”
หวงฝู่ตวนหรงยังดีดกู่ฉินไม่หยุด นางถามว่า “อยากจะออกไปล้างแค้นเขาเหรอ? เขาได้ไต่เต้าไปพึ่งพาตระกูลขุนนางระดับบนสุดในใต้หล้าแล้ว ตอนนี้คนที่หนุนหลังเขาคืออ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ที่มีอำนาจในใต้หล้า ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ไม่อาจแตะต้องเขาโดยไร้เหตุผลได้ ตระกูลหวงฝูของเราไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวหรอก นอกเสียจากวันใดที่ตระกูลโค่วล้มลง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องกล้ำกลืนความเสียเปรียบนี้ไว้เอง เจ้าเข้าใจมั้ย?”
หวงฝู่จวินโหรวที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำสูดหายใจฟึดฟัด นางยกแขนเสื้อเช็ดใบหน้าอีกครั้ง “เรื่องนี้ลูกหารนหาที่เอง ไปโทษใครไม่ได้ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปลูกจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก และไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วย ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นแค่คนที่ผ่านทางมาเจอกันเท่านั้น!”
ตึง! เสียงฉินหยุดลง หวงฝู่ตวนหรงใช้ฝ่ามือสองข้างกดบนสายฉิน แล้วก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า “คนที่กลับใจได้นั้นมีค่ายิ่งกว่าทอง เข้าใจก็ดีแล้ว!”
โลกจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไร แต่ก็หนีลมหิมะไม่พ้น ท้องฟ้าครึ้มสลัว เกล็ดหิมะโปรยปราย
บนถนนในโลกมนุษย์ คนที่สัญจรไปมากอดเสื้อผ้าไว้แน่น แต่ชายหญิงคู่หนึ่งกลับไม่สะทกสะท้านกับลมหนาว
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาว ผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาให้เด่น สีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็น สง่าอ่อนโยนดุจหยก มีสง่าราศีไม่ธรรมดา ในมือกำลังถือร่มกระดาษน้ำมัน และใต้ร่วมกระดาษคันนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเคียงคู่ก็สวมผ้าพันคอขนสัตว์สีขาวเช่นกัน นางงดงามราวกับเทพธิดา ใบหน้าหยกขาวสว่างดุจพระจันทร์ จมูกโด่งปากแดง สวยสง่าเหมือนดอกกล้วยไม้ เรียกว่างามล่มเมืองอย่างแท้จริง
เมื่อคู่ที่เหมือนกุมารทอง และกุมารีหยกปรากตัวบนถนนในโลกมนุษย์ ก็เป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ดึงดูดให้คนที่สัญจรไปมาเหลียวมองไม่หยุด
ผู้หญิงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยว่เหยานั่นเอง ส่วนผู้ชายชื่อว่าเจียงหลาง
ทั้งสองเดินบนถนนเงียบๆ ย่ำเท้าเดินบนหิมะช้าๆ เยว่เหยาเหมือนขมวดคิ้วด้วยความกังวลไม่หยุด เจียงหลางเหลือบมองนางเป็นครั้งคราว และไม่ลืมที่จะถือร่มบังเกล็ดหิมะให้เยว่เหยา
…………………………
[1] ทำหม้อชำรุดให้ตกแตก 破罐子 破摔 อุปมาว่าทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม