พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1580 เจียงหลาง
พอเดินออกจากเมืองมา บนพื้นก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
นอกเมืองเป็นฤดูหนาว มีผู้คนเดินถนนหร็อมแหรม ทั้งสองที่ทิ้งรอยเท้าไว้บนหิมะเดินออกจากทางหลัก เดินเลี้ยวไปบนทางแยกอย่างช้าๆ เดินไปบนทางเล็กที่มีร้อยเท้าคนน้อย มีเพียงรอยล้อรถม้า ที่ปลายทางเป็นบ้านพักภูเขาหลังหนึ่งที่มีภูเขาอยู่ข้างหลังและติดแหล่งน้ำ ตั้งสงบเงียบอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
ตอนที่เดินขึ้นบนสะพานหินแห่งหนึ่ง ทั้งสองก็หยุดเดินพร้อมกัน เจียงหลางถามว่า “เยว่เหยา เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”
“หืม?” เยว่เหยาได้ยินแล้ได้สติกลับมา ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ยืนสบตากันเงียบๆ อยู่บนสะพานโค้ง แล้วสุดท้ายเยว่เหยาก็ส่ายหน้า
เจียงหลางที่มือข้างหนึ่งถือร่มยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือไปปัดเกล็ดหิมะบนผ้าพันคอของเยว่เหยา
บนใบหน้าเยว่เหยาแดงเรื่อ ถอยหลบไปข้างหลังเล็กน้อยอย่างเขินอาย
เจียงหลางไม่สนใจ ยังคงเคลื่อนไหวต่อไป หลังจากปัดหิมะบนผ้าพันคอนางไปพอสมควรแล้ว เขาก็มองตาของเยว่เหยาตรงๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มงามสง่า “เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ พูดให้ข้าฟังสักหน่อยก็ได้”
เยว่เหยาเหมือนจะทนกับสายตาแบบนี้ของเขาไม่ไหว นางหันตัวไปทางลำธารสายเล็กที่ยังไม่ถูกน้ำแข็งผนึก แล้วถามว่า “พี่ใหญ่เจียง เคยได้ยินเรื่องงานแต่งงานที่อุทยานสวรรค์หรือเปล่า?”
สายตาของเจียงหลางเปลี่ยนเป็นจริงจังในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นน่ะเหรอ? ได้ยินมาแล้ว ทำไมเหรอ?”
เยว่เหยาส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยถึงรับผู้หญิงอย่างนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม แล้วก็หนิวโหย่วเต๋อนั่นอีก จะแต่งกับใครก็ไม่แต่ง ทำไมต้องไปแต่งกับแม่หม้ายคนนั้นด้วย?” ปากนางไม่ยอมรับว่ารู้จักกัน แต่เจตนาอันเป็นศัตรูที่มีต่ออวิ๋นจือชิวก็ยากที่จะหายไปได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าทำให้พี่ใหญ่ของตัวเองต้องไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจนางโมโห แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้กับคนนอกได้
แต่สำหรับคนนอกคนนี้ เยว่เหยาก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ตอนที่เจอกันครั้งแรกก็เป็นแถวๆ นี้ ตอนนั้นทั้งสองล้วนปลอมตัว นางปลอมตัวเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ส่วนเขาก็ปลอมตัวเป็นชายแก่คนหนึ่ง เขากำลังสะบัดพู่กันจุ่มหมึกวาดภาพอยู่ระหว่างภูเขา ส่วนนางก็กำลังตรวจสอบว่ามีบุคคลน่าสงสัยเข้าใกล้บริเวณนี้หรือไม่ นางย่อมต้องเข้าไปดูใกล้ๆ อยู่แล้ว เมื่อทั้งสองพบกันก็รู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างปลอมตัว นางคิดหาทางทำทุกอย่างให้เขาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เมื่อสืบถามตรวจสอบก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายอยู่อย่างสันโดษตรงหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบลี้เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว
ส่วนจะมีตัวตนแบบไหน ก็ยังต้องรอการตรวจสอบ อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง บอกเพียงว่าให้เรียกเขาว่า ‘เจียงหลาง’ ก็พอ
ที่นี่คือจุดหนึ่งที่อยู่นอกลัทธิเซียน ชื่อว่าบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร กับคนที่น่าสงสัยแบบนี้ เยว่เหยาย่อมไม่กล้าผ่อนปรนความระแวดระวังตัวอยู่แล้ว นางจึงรักษาความสัมพันธ์แบบคบค้าเอาไว้ตรวจสอบ
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่านางเป็นผู้หญิง ทั้งสองกลายเป็น ‘สหาย’ กันแล้ว มักจะไปเที่ยวเล่นอย่างอิสระเสรีด้วยกันบ่อยๆ สุดท้ายก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เจียงหลางกอดไหล่ชักชวนไปดื่มสุรา ทำให้เยว่เหยาเผยพิรุธว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้ทั้งสองคบหาเป็นสหายกันต่อไป
เยว่เหยาจึงซักถามประวัติความเป็นมาของเจียงหลางเสียเลย เจียงหลางบอกว่า ข้าไม่ถามประวัติของเจ้า เจ้าก็อย่าถามประวัติของข้า
เป็นเช่นนี้จริงๆ เจียงหลางไม่เคยเข้าใกล้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรเลย และไม่ถามเยว่เหยาถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรด้วย ท่าทีแบบนี้ทำให้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรสงบใจขึ้นไม่น้อย แต่เขาก็ไม่เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองให้เยว่เหยารู้เช่นกัน ทั้งสองไปมาหาสู่กันแบบนี้หลายร้อยปี
ชายหญิงที่อยู่ด้วยกันเนเวลานานขนาดนี้ กอปรกับหน้าตาที่ไม่ธรรมดาของเจียงหลาง ทั้งยังรู้ศิลปะสี่แขนงของปัญญาชนอย่างลึกซึ้ง เรียกได้ว่ามีดีทั้งหน้าตาและพรสวรรค์ ยิ่งใกล้ชิดกันนานก็ยิ่งทำให้รู้สึกชื่นชมบูชา เยว่เหยารู้ว่าตัวเองแอบเกิดความรู้สึกสนิทสนมเป็นพิเศษกับเจียงหลางแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขารู้สึกพิเศษกับตนหรือเปล่า นางยอมรับว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาแย่
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ทั้งสองจะใกล้ชิดกันถึงขนาดเดินอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันได้อย่างไร ระหว่างทั้งสองราวกับว่าอีกนิดเดียวก็จะเจาะกระดาษกั้นได้แล้ว แต่กระดาษหน้าต่างชั้นนี้ก็เหมือนจะเจาะยากมาก เพราะทั้งสองต่างก็ระแวดระวังตัวตนของตัวเองอยู่ตลอด ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นเพราะทั้งสองไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน
เยว่เหยาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกสนิทกับผู้ชายคนนี้ เดิมทีในใจของนาง นางคิดมาตลอดว่าคนที่นางต้องการแต่งงานด้วยคือพี่ใหญ่ แต่นางก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่าตัวเองก็แค่อยากแต่งงานกับพี่ใหญ่ เป้าหมายนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นี่คือเป้าหมายของนางมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกเขินอายกับพี่ใหญ่เหมือนที่รู้สึกกับเจียงหลาง และไม่เคยรู้สึกมีความสุขทั้งกายและใจเหมือนตอนอยู่ด้วยกันด้วย
นางอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าตัวเองไม่ได้ชอบพี่ใหญ่หรอกเหรอ? แต่ก็ไม่น่าจะใช่สิ เพราะนางก็เหมือนจะหึงหวงเพราะอวิ๋นจือชิวมาตลอด
แน่นอน นางเองก็สงสัยว่าความรู้สึกที่มีต่ออวิ๋นจือชิวใช่ความหึงหวงหรือเปล่า เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ตัวเองก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไรกันแน่
นางคิดวนเวียนกับเรื่องนี้มานานมากแล้ว
เพียงแต่ในตอนนี้ เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นางก็เหมือนจะตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม
“เหอะๆ!” เจียงหลางส่ายหน้าหัวเราะ “อยู่ห่างจากพวกเราเกินไปแล้ว เจ้าสนใจมากเกินไปรึเปล่า หรือว่าเจ้ารู้จักพวกเขา?” สายตาที่เป็นประกายเหล่มองมาเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยาของนาง
เยว่เหยาส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น จะไม่ให้สนใจก็คงยาก ข้าก็อยากจะรู้จักเหมือนกัน อยากจะเห็นว่าแม่หม้ายแบบไหนกันแน่ที่ทำให้อ๋องสวรรค์รับเป็นลูกสาวบุญธรรม ทั้งยังทำให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่เสียดายชีวิตคนหลายแสนด้วย”
“เรื่องใหญ่แล้วยังไงล่ะ เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเหรอ?” เจียงหลางถามพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน” เยว่เหยาหาข้ออ้าง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าอิจฉาอวิ๋นจือชิวนั่นละมั้ง”
สำหรับข้ออ้างนี้ เจียงหลางพยักหน้าเงียบๆ อย่างเข้าใจ ในที่สุดสายตาจับผิดก็ละออกจากใบหน้าของเยว่เหยาแล้ว เขาทอดสายตาไปทางลำธารเล็กคดเคี้ยวที่มีน้ำไหลเอื่อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ผู้ชายคนหนึ่งทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้ เป็นที่น่าอิจฉาของผู้หญิงในใต้หล้าจริงๆ เจ้าคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร” เขาหันกลับไปมองทางบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรอีก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ข้าส่งเจ้าตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวค่อยติดต่อกันอีกที”
เขายื่นร่มในมือให้เยว่เหยา จากนั้นก็กระโจนตัวขึ้นราวกับห่านป่าผู้โดดเดี่ยว ไปเหยียบอยู่บนลำธารเล็กๆ ผิวน้ำกระเพื่อมเหมือนแมลงปอเกาะ แล้วเดินย่องเหยียบบนคลื่นราวกับเซียนในภาพวาด ผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวพัดกระเพื่อม ท่วงท่าสง่างามล่องลอยเข้ากับทิวทัศน์ สุดท้ายก็พุ่งขึ้นฟ้า เหาะจากไปไกลตามลำธารสายเล็ก ก่อนจะหายไปในท้องฟ้า
เยว่เหยากางร่มมองคล้อยหลัง ฝ่ามือตัวเองสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนด้ามร่วม ทำให้นางแอบรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าเล็กน้อย นางเดินย่ำหิมะช้าๆ ไปทางบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร แอบกัดริมฝีปากเงียบๆ
พอมาถึงบ้านพักภูเขา นางก็ไม่ได้เข้าทางประตูหลัก นางเข้าผ่านไปทางประตูหลัง ในจุดลึกของลานบ้านด้านใน นางเห็นถังจวินกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ทางเดิน
“ศิษย์พี่!” เยว่เหยาที่เดินเข้ามาใต้ทางเดินยาวตะโกนเรียก จากนั้นก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่สลัดกองหิมะทิ้งแล้ว
ถังจวินเอามือไขว้หลังเดินเข้ามา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมเพิ่งกลับมาป่านนี้?”
“ศิษย์พี่รีบเรียกข้ามามีธุระอะไรเหรอ?” เยว่เหยาถาม
“เจ้าอยู่กับเจียงหลางนั่นเหรอ?” ถังจวินถาม
เยว่เหยาชะงักเล็กน้อย พบว่าถังจวินมีสีหน้าแปลกไ นางพยักหน้าตอบว่า “ถ้าอยากสืบประวัติเขาให้ชัดเจน ก็ต้องคลุกคลีกันมากๆ หน่อยค่ะ”
ถังจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์น้อง เจ้าบอกความจริงข้ามา เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย ระหว่างเจ้ากับเขา…” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่สีหน้ากับน้ำเสียงก็สื่อความหมายชัดเจนมากแล้ว
เยว่เหยากินปูนร้อนท้องนิดหน่อย แต่กลับกลอกตามองถังจวินแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่คิดไปถึงไหนแล้ว ก่อนที่ข้าจะรู้ถึงตัวตนของเขาชัดเจน ข้ากับเขาจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ข้าอยากจะสืบตัวตนของเขา ก็เลยคลุกคลีอยู่กับเขามากหน่อย”
“ศิษย์น้องรู้ไว้ก็ดีแล้ว” ถังจวินยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วบอกว่า “ตัวตนของเขาข้าสืบมาชัดเจนแล้ว คนคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ต่อไปนี้ศิษย์น้องต้องระวังมากขึ้นหน่อย ดูเอาเองสิ”
เยว่เหยาประหลาดใจ นางรับแผ่นหยกมาตรวจอ่านแล้ว
ถังจวินคอยอธิบายอยู่ข้างๆ “หลังจากมีข่าวโจรราคะเจียงอีอี พวกเราก็จับตาดูคนคนนี้ นี่คือภาพวาดที่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ฝั่งนั้นส่งมา เป็นภาพผู้ร้ายหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์ออกมายจับ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนี้จะอยู่ข้างกายพวกเรานี่เอง”
เยว่เหยาแอบกัดฟัน สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่ ถึงแม้ภาพโจรราคะเจียงอีอีบนแผ่นหยกจะไม่ได้เหมือนเจียงหลางมากขนาดนั้น แต่โดยรวมก็คล้ายกันอยู่ โดยเฉพาะการแต่งตัว เหมือนกันมากจริงๆ
“เจียงอีอี เจียงหลาง…” ถังจวินส่ายหน้าเดาะลิ้น “มิน่าล่ะถึงไม่ยอมเปิดเผยประวัติความเป็นมา ที่แท้ก็เป็นโจรราคะที่ไม่มีหน้าไปเจอใครที่นี่เอง พอมาคิดดูตอนนี้ ข้าก็นึกกลัวทีหลัง ศิษย์น้อง ต่อไปเจ้าไม่ต้องไปมาหาสู่กับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่เสียเปรียบก็คือเจ้า ถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางแก้ตัวกับท่านอาจารย์ได้เลย”
เยว่เหยาทำใจเชื่อได้ยาก นางคลุกคลีกับเจียงหลางมานานขนาดนี้ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงอีอีมีแนวโน้มไปทางโจรราคะ และไม่ค่อยอยากจะยอมรับความจริงด้วย นางกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ข้าจะไปถามให้ชัดเจน”
“ศิษย์น้อง!” ถังจวินพลันตะโกนห้ามนาง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ด้วยสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ช่างเถอะ ต่อไปไม่ต้องคบค้ากันอีกก็พอ ในเมื่อรู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่ใช่สายลับของตำหนักสวรรค์ พวกเราก็วางใจแล้วเช่นกัน แค่อยู่ห่างๆ ก็พอแล้ว อย่าสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”
เยว่เหยาเอียงหน้ามองกลับมา “ไม่ได้ ถ้าเขาคือเจียงอีอีจริง ก็ต้องไล่เขาไป ถ้าวันไหนตำหนักสวรรค์ตามมาจับที่นี่แล้วพวกเราจะไม่ซวยไปด้วยหรอกเหรอ”
“เอ่อ…” ถังจวินลังเล ที่ศิษย์น้องพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าเยว่เหยาเหาะไปแล้ว
“อูอู…อู…”
หิมะโปรยปรายท่ามกลางลมหนาว บนหน้าผาสูงร้อยจั้งที่มีหิมะกองทับถม เสียงขลุ่ยสะอื้นดังอยู่กลางท้องฟ้า เจียงหลางที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวยืนลำพังอยู่ริมหน้าผา ยืนเปล่าขลุ่ยอย่างโดดเดียว
ที่พักของเขาก็คือถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่เกือบกึ่งกลางใต้หน้าผา
เงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาจากท้องฟ้า เป็นเยว่เหยานั่นเอง นางมาเหยียบลงข้างหลังเขาไกลๆ
เสียงขลุ่ยสะอื้นหยุดชะงัก เจียงหลางมองกลับมา ถือขลุ่ยนอนอยู่ในมือ แล้วหันตัวมาถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เพิ่งจะแยกกันไป ทำไมถึงมาอีกแล้วล่ะ ท่าทางดูโมโห ใครไปทำอะไรเจ้าเหรอ?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เยว่เหยาถามเสียงเย็น
เจียงหลางแววตาวูบไหว แต่ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายว่า “บอกไปแล้วไง ว่าข้าจะไม่สืบเรื่องของเจ้า เจ้าก็จะไม่สืบเรื่องของข้าด้วย”
“แล้วถ้าวันนี้ข้าต้องการจะรู้ให้ได้ล่ะ?” เยว่เหยาถาม
“ทำไมต้องบังคับให้ลำบากใจด้วย” เจียงหลางกล่าว
เยว่เหยาโยนแผ่นหยกในมือออกไป เจียงหลางรับไว้ หลังจากได้ดูแล้ว เขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน แต่บีบไว้ในมือจนแผ่นหยกแหลกเป็นผุยผง
“ใช่หรือไม่ใช่?” เยว่เหยาถามกดดัน
ผุยผงในมือเจียงหลางปลิวไปแล้ว เขาถามด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งว่า “ถ้าใช่แล้วยังไง? ไม่ใช่แล้วยังไง?”
“หมายความว่า ท่านยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองคือโจรราคะเจียงอีอี?” เยว่เหยาถาม
เจียงหลางยังยิ้มไม่เปลี่ยน “ข้าคือเจียงอีอี แต่ข้าไม่ใช่โจรราคะ คนอื่นจะพูดยังไงก็ไม่สำคัญ ข้าเคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับเจ้าเหรอ? ก็เหมือนเมื่อก่อนที่บอกว่าอวิ๋นจือชิวอะไรนั่น มีแต่คนบอกว่าข้าไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ทั้งยังออกหมายจับข้าด้วย แต่เจ้าก็รู้ชัดดีกว่าใคร ว่าในเวลานั้นข้าไม่มีทางไปก่อคดีนั้นได้”
เยว่เหยาอึ้งไปชั่วขณะ พบว่าตัวเองโมโหจนเลอะเลือนไปหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ใช่สติปัญญาไตร่ตรองปัญหา ใช่แล้ว ถ้าเขาคือเจียงอีอี แล้วจะไปโผล่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนได้ยังไงล่ะ ในช่วงเวลานั้นทั้งสองยังไปเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่เลย เพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้นี้เอง!
ไฟโกรธในใจดับลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางถามหยั่งเชิงว่า “ท่านหมายความว่า ฉายาโจรราคะนี้ คนอื่นใส่ร้ายท่านเหรอ?”
“ถ้าจริงก็ดี ถ้าโดนใส่ร้ายก็ช่าง คนมีเหาเยอะไม่กลัวคันหรอก ถึงยังไงข้าก็ถูกคนสาดโคลนเหมือนกัน เคยชินตั้งนานแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึง ว่าขนาดมาหลบอยู่ที่นี่แล้วยังบริสุทธิ์ไม่ได้อีก ผิดชอบชั่วดี บุญคุณความแค้น ใจคนยากจะคาดเดา ข้าอยากได้เพียงชีวิตที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวหรอก ถ้าเชื่อก็มี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี เจ้ากับข้าคบกันตื้นเขิน ตั้งแต่นี้ไปเป็นเพียงคนที่ผ่านมาเจอกันก็พอก็พอ ข้าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้า เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ต่อไปนี้เราไม่ต้องเจอกันอีกก็สิ้นเรื่องแล้ว” เจียงหลางพูดจบแล้วหันตัวไป ถือขลุ่ยไว้ที่ริมฝีปากอีกครั้ง เสียงขลุ่ยสะอื้นดังขึ้นอีก
…………………………