พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1581 แม่ทัพภาคตลาดผี
อวิ๋นจือชิวที่นั่งสง่าเคียงคู่กับเหมียวอี้มองดูเฟยหงที่เดินเนิบนาบเข้ามา เรือนร่างแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น นางแอบถอนหายใจ แบบนี้เรียกว่ายอดหญิงงามแห่งยุคจริงๆ ทำไมกลายมาเป็นสายลับได้ล่ะ?
แต่ไม่ว่าจะเป็นสายลับหรือไม่ แต่ก็ทำให้ไอ้เวรที่อยู่ข้างๆ นี่ได้ประโยชน์ไปแล้ว…พอนึกถึงตรงนี้ อวิ๋นจือชิวก็แอบกัดฟันเบาๆ เอียงหน้าชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง
หางตาเหมียวอี้สังเกตเห็นแล้ว จึงกุมมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้องอย่างเก้อเขินนิดหน่อย
ในใจเฟยหงค่อนข้างกังวล อะไรที่จะต้องเกิด สุดท้ายก็หลบไม่พ้น ในฐานะที่เป็นอนุภรรยา เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีกไม่มาคำนับฮูหยินเอกได้ตลอดไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าอารมณ์อุปนิสัยของฮูหยินท่านนี้เป็นอย่างไร นางไม่รู้ว่าในอนาคตควรจะรับมืออย่างไรดี
นางเองก็ไม่อยากมาที่นี่ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเร่งให้มา
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากให้นางมาเจอกับอวิ๋นจือชิวเช่นกัน แต่อวิ๋นจือชิวบอกไว้แล้ว ว่าในเมื่อนางพักอยู่ที่เรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่ว การให้เฟยหงพักอยู่ที่บ้านคนอื่นต่อไปก็ฟังดูเหลวไหล สุดท้ายก็ต้องพบหน้ากัน นางต้องการไปมาหาสู่กับเฟยหงสักหน่อย
ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็เคยเห็นเฟยหงมาตั้งนานแล้วตั้งแต่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่เฟยหงเต้นระบำในบ้านของพวกชนชั้นสูง เรียกได้ว่าเต้นได้สวยงามกระชดกระช้อย เรือนร่างอ่อนช้อยราวกับไม่มีกระดูก
เฟยหงเองก็เคยเห็นอวิ๋นจือชิวมานานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้สนใจมากก็เท่านั้นเอง
ตอนนี้พอเดินมาถึงที่นั่ง เฟยหงก็ย่อเข่าอย่างช้าๆ เพื่อทำความเคารพ “เฟยหงคำนับนายท่าน คำนับฮูหยิน!”
เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันยกน้ำชาเข้ามา เฟยหงรับไว้แล้วก้าวไปข้างหน้า ใช้สองมือประคองไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วคำนับอีกครั้ง “ฮูหยินเชิญดื่มน้ำชาค่ะ”
อวิ๋นจือชิวรับถ้วยน้ำชามาจิบเบาๆ พอวางน้ำชาลงด้านข้าง บนใบหน้าถึงได้เผยรอยยิ้มที่สนิทสนมพร้อมยืนขึ้น ใช้สองมือประคองเฟยหง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องสาวที่แสนดี ต่อไปนี้เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วนะ…”
พูดจาสุภาพเกรงใจ ผู้หญิงทั้งสองคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่รู้จักจบ เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ อึดอัดไปทั้งตัว ส่งสายตาให้เชียนเอ๋อร์แล้วก็เดินออกไปแล้ว
ทางนี้เพิ่งจะเดินเข้ามาในสวน ก็เห็นโค่วเจิงเดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “พี่ใหญ่”
“เหอะๆ! น้องเขยมาเดินเล่นอยู่ตรงนี้คนเดียวทำไม?” โค่วเจิงถามอย่างสนใจ “น้องเจ็ดล่ะ?”
“เอ่อคือเฟยหง…เพิ่งจะยกน้ำชาให้ ทั้งสองกำลังคุยกันไม่จบสักที” เหมียวอี้ตอบอย่างอึกอักเล็กน้อย
“อ่อ!” โค่วเจิงเข้าใจแล้ว นี่เป็นธรรมเนียม ถ้าฮูหยินเอกไม่ยอมรับน้ำชาจากอนุภรรยา ก็เท่ากับว่าไม่ยอมรับ ในภายหลังอนุภรรยาคนนั้นก็จะลำบากแล้ว ผู้ชายที่โดนขนาบอยู่ตรงกลางก็จะยิ่งลำบากกว่า จะทำตัวไม่ถูก เขาตบบ่าเหมียวอี้ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันเข้าใจกันดี พลางพูดหยอกล้อว่า “ตอนนี้โล่งใจแล้วสินะ?”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นถาม “พี่ใหญ่มาด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
โค่วเจิงมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วดึงแขนเหมียวอี้อย่างสนิทสนม “ไปกันเถอะ”
เหมียวอี้มองออกแล้ว ว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จึงยื่นมือเชิญ แล้วทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันออกไปช้าๆ หลังจากหลบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องพ้นแล้ว ถึงได้ถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
โค่วเจิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ได้ยินว่าสนมสวรรค์ชอบเรียกเจ้าไปรับใช้ที่อุทยานหลวงเหรอ? เจ้าฆ่าลูกพี่ลูกน้องของนางแล้ว แต่นางยังเรียกหาเจ้าทุกๆ สามวันสองวัน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน คนในบ้านไม่ค่อยเข้าใจ นางไม่ได้กลั่นแกล้งอะไรเจ้าใช่มั้ย?”
นึกไม่ถึงว่าจะถามเรื่องนี้ เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเรียกแล้ว ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธได้”
โค่วเจิงถามว่า “ระหว่างเจ้ากับสนมสวรรค์นี่ยังไงกันแน่?”
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ อย่าบอกนะว่ามีคนสังเกตเห็นอะไรแล้ว? เขาจึงแกล้งโง่ “ยังไงกันแน่คืออะไร?”
“ข้าหมายถึง ความสัมพันธ์ของเจ้ากับสนมสวรรค์เป็นยังไงกันแน่?” โค่วเจิงถาม
เหมียวอี้ยักไหล่พลางยิ้มเจื่อน “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสัมพันธ์ยังไง ข้าก็ระวังป้องกันตลอด”
โค่วเจิงจึงบอกว่า “คืออย่างนี้นะ ทางตระกูลคาดว่าฝ่าบาทคงไม่ปล่อยให้เจ้าไปง่ายๆ ไม่รู้ชัดว่าฝ่าบาทเตรียมจะทำอะไรกันแน่ และผู้หญิงคนนั้นก็ได้รับความโปรดปรานมากจากฝ่าบาท เจ้าลองดูวิว่าจะหาทางสืบข่าวจากปากของผู้หญิงคนนั้นได้หรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้ข่าวอะไรบ้างสักหน่อย แบบนี้ทางตระกูลข้าจะได้เตรียมตัวสะดวก”
เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ
เขาตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะยังต้องขอความร่วมมือจากจ้านหรูอี้ เขาครุ่นคิดวิธีการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปครึ่งค่อนปีกว่าจ้านหรูอี้จะออกจากวังมาที่อุทยานหลวงอีกครั้ง
เป็นเหมือนอย่างเคย สนมสวรรค์เปลี่ยนจากเสื้อผ้าหรูหราเป็นชุดกระโปรงเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เหมียวอี้ถือถังน้ำเดินอยู่ข้างๆ จ้านหรูอี้ถือกระบวยด้ามหนึ่งตักน้ำรดต้นต้นไม้ ทำงานละเอียดมาก ราวกับปรนนิบัติเด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่ง
เหมียวอี้ไม่เคยมีอารมณ์สุนทรีกับสิ่งเหล่านี้เลย เขาเป็นคนที่ทำอะไรเน้นผลลัพธ์ สำหรับเขาแล้ว การทำแบบนี้เหมือนคนที่กินอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี เป็นเรื่องที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วแท้ๆ ทำไมต้องมาลำบากทำแบบนี้ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าประมุขชิงเป็นโรคอะไร ไม่น่าเชื่อว่าวังสวรรค์จะมีกระแสนิยมแบบนี้ ทำไร่ทำนา!
เขาเดาว่าถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปในโลก ให้ตายยังไงก็คิดไม่ถึงว่าวังสวรรค์จะทำแบบนี้!
ตรงหน้านี้ คอที่ขาวหมดจดดุจคอห่านฟ้า ม้วนแขนเสื้อเผยแขนเรียวเล็กสีชมพูระเรื่อ บางครั้งก็โน้มตัวเผยเค้าโครงแผ่นหลัง ส่วนโค้งของเอวที่ยื่นออกมานั้นชัดเจนมาก เผยให้เห็นเอวเพรียวบาง ให้ความรู้สึกว่าใช้มือเดียวกำได้ พอมองลงไปข้างล่างอีกก็เป็นบั้นท้ายรูปทรงน้ำเต้า กลมกลึง มีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด
เหมียวอี้พยายามไม่เสียมารยาทมอง ใช้เวลาส่วนใหญ่หันหน้าไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัน เพียงแต่วันนี้มีเรื่องในใจ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหยินซวง ไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างหลังเป็นระยะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าจ้านหรูอี้สังเกตเห็นได้อย่างไร พอดูแลต้นไม้เสร็จไปบริเวณหนึ่งแล้ว นางก็โยนกระบวยไว้ในถังน้ำ แล้วถามส่งเดชว่า “วันนี้มีเรื่องในใจเหรอ?”
“เปล่าขอรับ” เหมียวอี้ส่ายหน้า
จ้านหรูอี้กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “วันนี้เจ้าดูเหม่อลอยนิดหน่อย ทนรำคาญไม่ไหวที่ข้าเรียกเจ้ามาทำแบบนี้บ่อยๆ ใช่มั้ย? เจ้ากำลังรู้สึกเบื่อหน่าย”
“ไม่ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้ปฏิเสธ แต่พอคิดไปคิดมาก็ยังถ่ายทอดเสียงตอบว่า “เหนียงเหนียง ผู้น้อยอยากจะสืบข่าวสักหน่อย ไม่ทราบว่าหลังจากผู้น้อยรับโทษหนึ่งร้อยปีนี้เสร็จแล้ว จะต้องไปที่ไหนต่อ?”
จ้านหรูอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “นอกจากทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่ว ยังจะไปที่ไหนได้อีก? นี่คือเป้าหมายที่อ๋องสวรรค์โค่วรับบุตรสาวบุญธรรมไม่ใช่เหรอ? แค่เรื่องนี้น่ะเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปสักครู่ แล้วถือโอกาสเอ่ยอีกเรื่องหนึ่ง “เหนียงเหนียง ลูกน้องคนสนิทหลายคนของข้าที่เคยอยู่กองมังกรดำ ท่านเองก็รู้จัก ตอนนี้ถูกจับแยกไปยังหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์แล้ว…”
“ตอนจะไปสามารถพาพวกเขาไปด้วยได้หรือไม่น่ะเหรอ? นี่เป็นเรื่องของกองทัพองครักษ์ เจ้ามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? อยากจะให้ข้าเอ่ยปากกับฝ่าบาทเหรอ?”
“ได้ยินว่าเหนียงเหนียงสามารถโน้มน้ามฝ่าบาทได้ขอรับ”
“ข้าไม่สะดวกจะเอ่ยปากเรื่องนี้ ถ้าเอ่ยปากช่วยเจ้าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทสงสัยเหรอ?”
เหมียวอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ข้าไม่เคยเอ่ยปากขอร้องอะไรฝ่าบาทเลย เรื่องนี้เจ้าไปหาอ๋องสวรรค์โค่วก่อนแล้วกัน ในเมื่อเป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้า ไปเจ้าออกไปแล้ว เกรงว่ากองทัพองครักษ์คงจะไม่วางใจที่จะใช้งานคนพวกนั้น ด้วยหน้าตาศักดิ์ศรีของอ๋องสวรรค์โค่ว คงไม่ถึงขั้นขอคนแค่ไม่กี่คนพวกนั้นไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะลองให้อีกทีก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ขอพระทัยเหนียงเหนียงแล้ว”
“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าต่างหาทกี่ต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยให้ข้าเข้าวัง ให้ข้ามีโอกาสเอ่ยปากพูดต่อหน้าฝ่าบาท”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที ทำไมเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ
เดิมทีช่วงเวลาเหล่านี้ที่ได้เจอกัน พอได้เห็นจ้านหรูอี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ความรู้สึกผิดในใจเขาก็อ่อนจางลงบ้างแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพอเอ่ยถึงเรื่องที่จะจากที่นี่ไป ก็ถูกทำให้คลื่นไส้อีกแล้ว
เวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปเร็วเหมือนดีดนิ้ว
ตำหนักนารีสวรรค์ หลังจากสำราญบานใจไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ชายตามองอย่างหยาดเยิ้ม นอนหมอบอยู่บนอกประมุขชิงด้วยสีหน้าเต็มอิ่ม กำลังกระซิบกระซาบออดอ้อน
หลังจากคุยกันไม่กี่ประโยค จู่ๆ ประมุขชิงที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังของนางก็บอกว่า “เฉิงอวี่ ข้าเตรียมจะมอบขุนพลมากฝีมือให้เจ้า ให้เจ้าช่วยจัดระเบียบเรื่องในตลาด”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะส่งขุนพลมากฝีมือคนไหนให้หม่อมฉันเพคะ?”
ประมุขชิงตอบกลั้วหัวเราะว่า “หนิวโหย่วเต๋อถูกทำโทษที่อุทยานสวรรค์ใกล้จะครบร้อยปีแล้ว เขามีชื่อเสียงบารมีที่ตลาดสวรรค์ พอเปิดเผยชื่อก็ทำให้คนนับหมื่นของตลาดสวรรค์ตกใจ ส่งเขาไปช่วยเจ้าไม่ดีหรอกเหรอ?”
“หา…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงนิดหน่อย นางยันตัวลุกนั่ง มองประมุขชิงที่กำลังยิ้มตาหยีพร้อมถามอย่างงุนงง “หนิวโหย่วเต๋อ? ฝ่าบาทต้องให้เขากลับมาที่ตลาดสวรรค์?”
“ไม่ใช่!” ประมุขชิงส่ายหน้า “ไปตลาดผีแล้วกัน ที่นั่นวุ่นวาย เขามีวิธีปกครองจัดระเบียบตลาดสวรรค์ได้ดี ลองให้เขาที่ตลาดผีก็แล้วกัน”
“ไปตลาดผีเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจมาก นั่นคือถิ่นของตระกูลเซี่ยโห้วนะ นี่คิดจะทำอะไรกัน? นางรีบลุกขึ้นนั่งงอเข่าอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า “ฝ่าบาท คนคนนี้ควบคุมยาก หม่อมฉันใช้งานไม่ไหวหรอกเพคะ”
ประมุขชิงหรี่ตาสองข้าง ลุกขึ้นนั่งแล้วเช่นกัน ในร่องตาฉายแววเย็นเยียบ “เจ้าไม่พอใจการเตรียมการของข้าเหรอ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบร้อนโบกมือปฏิเสธ “หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว เกรงว่าอ๋องสวรรค์โค่วคงจะไม่ตอบตกลงเรื่องนี้”
“ทางโค่วหลิงซวีเจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก ข้าถามแค่ว่าเจ้าจะรับหรือไม่รับ?” ประมุขชิงถาม
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึกอักพูดไม่ออก นางยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วบอกว่า “หม่อมฉันย่อมทำตามคำสั่งอยู่แล้วเพคะ!”
ประมุขชิงสีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม ใช้มือลูบไล้ก้อนกลมอิ่มเอิบบนหน้าอกนางอีก แล้วโถมทับนางลงบนเตียงอีกไป เพียงแต่ครั้งนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่มีอารมณ์เลยจริงๆ สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องสองเรื่อง ปรนนิบัติไปพลาง ครุ่นคิดถึงเจตนาของประมุขชิงไปพลาง
นางอยากจะติดต่อท่านปู่เสียตอนนี้เลย แต่ก็ถูกประมุขชิงพัวพันจนสลัดไม่พ้น
ในขระเดียวกันนี้เอง จวนแม่ทัพภาคอุทยานสวรรค์ บุคคลระดับสูงของกองมังกรดำล้วนอยู่ที่นี่ เหมียวอี้ที่กำลังสวมเกราะดำหนึ่งแถบก็อยู่ด้วยเช่นกัน
เวินเจ๋อนำคนหลายคนเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน พอเดินขึ้นไปถึงตำแหน่งบนแล้วก็หยุด จากนั้นหันตัวมาหาทุกคนที่กองมังกรดำ ชูแผ่นหยกในมือขึ้นมา แล้วถามเสียงต่ำว่า “คำสั่งจากวังสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อฟังคำสั่ง!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้ก้าวออกจากแถวแล้วกุมหมัดคารวะ
เวินเจ๋อกล่าวเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อให้ท้ายลูกน้องทำผิดที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน เห็นแก่ที่มีผลงาน จึงลงโทษให้ไปยืนเฝ้ายามที่อุทยานสวรรค์หนึ่งร้อยปี ทว่าในหนึ่งร้อยปีนี้มีการผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง ที่จริงเขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้งเท่านั้น มองข้ามความสำคัญเช่นนี้ ไม่มีท่าทีว่าจะกลับตัวเลยสักนิด แทบจะไม่เห็นหน้าเลย เดิมทีต้องการจะลงโทษประหาร แต่กลับได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท เปิดช่องโหว่ให้หนึ่งด้าน ให้ไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ตลาดผี รอดูผลงานและความประพฤติอีกที จบ!”
เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็งุนงงเป็นไก่ตาแตก เหมียวอี้ก็งงจนเหม่อเช่นกัน ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผีชั่วคราวเหรอ? นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
คนกลุ่มนี้มองหน้ากันเลิกลั่ก จะให้ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบไปเป็นแม่ทัพภาคชั่วคราวที่ตลาดผีเหรอ นี่คือการลงโทษหรือให้รางวัลกันแน่?
…………………………