พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1583 การแลกเปลี่ยนข้อตกลงหลังม่าน
เขาเองก็ไม่ได้ถือตัวเพราะความอาวุโส ตอนที่โค่วหลิงซวีมาถึงประตูสวนต้องห้าม เขาก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
โค่วหลิงซวีปลอมตัวเข้ามา คลุมหมวกงอบตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ถอดหนังปลอมบนใบหน้าออกแล้ว กุมหมัดคารวะมาตั้งแต่ไกลๆ “ท่านปู่สวรรค์!”
“อ๋องสวรรค์ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับใกล้ๆ!” เซี่ยโห้วท่าต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ถือไม่เท้ากุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้ามาในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ที่มีพุ่มเหมือนร่มขนาดใหญ่จัดวางเก้าอี้เอาไว้แล้ว หลังจากหญิงรับใช้นำน้ำชามาวาง เว่ยซูก็โบกมือให้พวกนางออกไป
หลังจากดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณแล้ว โค่วหลิงซวีก็มองไปทางเว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พอเห็นเว่ยซู ก็นึกถึงเหล่าเว่ย น่าเสียดายนะ!”
เว่ยซูตอบอย่างเกรงใจว่า “ลิขิตฟ้าก็เป็นเช่นนี้ บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ก้าวผ่านระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านพ่อเองก็นับว่าชีวิตดับสิ้นไปในวัยชรา จากไปพร้อมรอยยิ้ม ไม่นับว่าน่าเสียดายหรอกขอรับ”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “อ๋องสวรรค์ปลงอนิจจังแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเตือนตาแก่คนนี้ว่าอยู่ไม่ไกลจากประตูผีแล้ว?”
โค่วหลิงซวีโบกมือ “ท่านปู่สวรรค์ทำไมต้องถ่อมตนขนาดนั้นล่ะ ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลเซี่ยโห้ว สักวันจะต้องหาพบไม้ไม่ผุที่ช่วยให้ท่านปู่สวรรค์อายุยืนยาวแน่”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม้ไม่ผุ ของสิ่งนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่เกินจะไขว่คว้า เน้นอาศัยโชคดี แต่รอมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตาแก่คนนี้ยังไม่มีวาสนานั้นเลย แต่ข้าก็ปลงแล้วล่ะ อยู่มาหลายปีขนาดนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วเช่นกัน ฝุ่นกลับสู่ฝุ่น ดินกลับสู่ดิน นับว่าเป็นแหล่งที่อยู่สุดท้าย”
มีใครบ้างที่จะไม่อยากเป็นอมตะ? โค่วหลิงซวีรู้สึกขำในใจ แน่นอนว่ารู้ว่าอีกฝ่ายก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่สวรรค์ช่างปลงได้จริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่าบาทจะปลงได้เหมือนท่านปู่สวรรค์หรือเปล่า”
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินแบบนี้แล้วก็เหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าแวบหนึ่ง
เซี่ยโห้วท่าแววตาวูบไหว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอย่างสำรวม แล้วด้วยรยยิ้มเรียบๆ ว่า “เดิมทีอาจารย์ของฝ่าบาทก็เป็นยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฝ่าบาทได้รับถ่ายทอดวิชามา การจะก้าวข้ามประตูผีนั้นไปได้ก็ไม่ใช่ปัญหา”
โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “เกรงว่าคงไม่แน่หรอก! ทฤษฎีลึกลับของอายุขัย เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ทฤษฎีหลักจะทำความเข้าใจได้อยู่แล้ว นี่เป็นอายุที่ยืนยาวเท่ากับอุฟ้าดิน ตั้งแต่ยุคโบราณจนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เป็นอมตะจริงๆ เลย มักจะมีด่านเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ ต่อให้เป็นพระปีศาจหนานโปแล้วยังไงล่ะ? ตกอยู่ในจุดจบที่อนาถเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าวิญญาณไปอยู่ที่ไหน ต่อให้มีเคล็ดวิชาฝึกตนเหมือนกัน แต่ถ้าอยากข้ามผ่านประตูผีได้ ก็ยังต้องอาศัยปัจจัยที่แตกต่างกันไป อันตรายของด่านนั้น เกรงว่าท่านปู่สวรรค์คงจะรู้ชัดดีกว่าใคร”
เซี่ยโห้วท่าเหมือนจะอมยิ้ม “อ๋องสวรรค์กล่าวอะไรแบบนี้ออกมา ไม่กลัวว่าหน้าต่างจะมีหู ประตูจะมีช่องเหรอ?”
โค่วหลิงซวีโบกมือชี้ไปรอบๆ แล้วหัวเราะเสียงดัง “เกรงว่าในใต้หล้านี้คงไม่มีใครสอดแนมเข้ามาในสวนต้องห้ามของท่านปู่สวรรค์ได้หรอก คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้างก็ไม่มีอะไรน่ากลัว อย่างไรเสียยามอยู่ต่อหน้าท่านปู่สวรรค์ ข้าก็พูดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ เรื่องบางเรื่องท่านปู่สวรรค์คงจะเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ “ไม่ทราบว่าอ๋องสวรรค์หมายถึงการเตรียมตัวด้านไหน?”
โค่วหลิงซวีเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ข้ารู้สึกว่าฝ่าบาทควรจะมีทายาท ฝ่าบาทจะบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่าก็ยังพูดได้ไม่ชัดเจน ความเป็นความตายหน้าด่านประตูผีเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ถ้าไม่เตรียมตัวเรื่องผู้สืบทอดเอาไว้ เมื่อใดที่เรื่องจวนตัวแล้ว จะไม่ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูกหรอกเหรอ ดีไม่ดีใต้หล้าอาจจะวุ่นวายก็ได้ ต่อให้พิจารณาเพื่อใต้หล้า แต่เรื่องทายาทก็ควรเริ่มลงมือฝึกเลี้ยงได้แล้ว ราชินีสวรรค์คือมารดาแห่งใต้หล้า ปรนนิบัติฝ่าบาทมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ควรจะถือโอกาสตอนที่ยังเป็นหนุ่มสาวรีบให้กำเนิดโอรสสวรรค์เพื่อฝ่าบาทสิถึงจะถูก อย่าบอกนะว่าจะถ่วงเวลาไปจนแก่ชรา?”
ถึงแม้เซี่ยโห้วท่าจะเงียบสงบ พอได้ยินแล้วก็ใจเต้นตึกตักเช่นกัน หากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้เกิดเนิดโอรสแก่ประมุขชิงเมื่อไร ฐานะของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะมั่นคงไม่สั่นคลอนแน่นอน หากในอนาคตประมุขชิงผ่านด่านระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้จริงๆ และโอรสของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นตำแหน่งราชันแทน ถึงตอนนั้นต่อให้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็นับเป็นหลักประกันที่ใหญ่มากให้ตระกูลเซี่ยโห้วได้เช่นเดียวกัน
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่จนใจที่ตระกูลเซี่ยโห้วถูกประมุขชิงข่มไว้ มีอำนาจน้อยในราชสำนัก ไม่มีอำนาจจะพูดอะไร คนที่สามารถกระโดดออกไปพูดอะไรได้มีไม่กี่คน แต่ตระกูลโค่วนั้นไม่เหมือนกัน มีอำนาจในการพูดในราชสำนักเยอะมาก ขอเพียงโค่วหลิงซวีเต็มใจ ก็สามารถยุยงให้คนกลุ่มใหญ่กดดันประมุขชิงได้
แต่ภายนอกเขาก็ยังนิ่งสงบ กล่าวถามเสียงเรียบว่า “เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ได้คิดเช่นนี้ เหมือนฝ่าบาทจะโปรดปรานสนมสวรรค์มาก!”
โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “โอรสสวรรค์ไม่เหมือนเด็กทั่วไป ต้องทำให้ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมเป็นธรรมดา ฮูหยินเอกย่อมต้องให้กำเนิดทายาท หน้าที่นี้ราชินีสวรรค์ไม่อาจปฏิเสธได้! ไม่ว่าจะยังไง ข้าก็ต้องผลักดันเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง พยายามกระตุ้นให้ขุนนางในราชสำนักเสนอความคิดนี้ หากวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ยอมตอบตกลง ข้าก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์คิดว่าอย่างไร?”
ในใต้หล้าไม่มีผลประโยชน์ใดได้มาเปล่าๆ โดยเฉพาะกับเรื่องแบบนี้ เซี่ยโห้วท่ายอมเข้าใจจุดนี้ชัดเจน อีกฝ่ายถามถึงความเห็นของเขา ก็แสดงว่าต้องการสิ่งตอบแทน ถ้าไม่ได้สิ่งตอบแทน อีกฝ่ายคงไม่พยายามอย่างเต็มที่หรอก ถึงขนาดวางเรื่องอื่นไว้ก่อนเพื่อมาจัดการเรื่องนี้เลย เขาถึงได้ยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “อ๋องสวรรค์มาเพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
เข้าใจก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายต่อไป! โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ถ้าท่านปู่สวรรค์สามารถยื่นมือช่วยเรื่องนี้ได้ นั่นก็ย่อมดีอยู่แล้ว”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนโง่ มีคนอยากเห็นพวกเราสองฝ่ายต่อสู้กันไง! มีหรือที่ข้าจะยอมให้คนที่มีเจตนาแบบนั้นสมหวัง? อย่างอื่นข้าก็รับประกันไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ที่ตลาดผี ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถรับประกันความปลอดภัยให้หนิวโหย่วเต๋อได้”
“เฮ้อ! หนิวโหย่วเต๋อได้รับคำพูดแบบนี้จากท่านปู่สวรรค์ ก็นับเป็นวาสนาของเขาแล้ว เพียงแต่ว่า…” โค่วหลิงซวีลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า “ถ้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อรบกวนท่านปู่สวรรค์ที่ตลาดผีตลอด เกรงว่าคงไม่ใช่แผนการที่ดีในระยะยาว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเจ้าเด็กนั่น คาดว่าท่านปู่สวรรค์ก็คงได้ยินมาบ้างแล้ว ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ อย่างไรเสียคนที่เจตนาไม่ดีก็มีเยอะเกินไป! แต่เจ้าเด็กนั่นก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ถ้ามีโอกาสหเขาสร้างผลงานสักนิดสักหน่อยก็จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าสร้างผลงานแล้วได้ออกจากตลาดผีไวๆ จะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนชื่นชอบหรอกเหรอ”
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แอบส่ายหน้า นี่ไม่ใช่แค่ต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วรับรองความปลอดภัยให้หนิวโหย่วเต๋อเมื่ออยู่ที่ตลาดผี ทั้งยังต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยหนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานด้วย ตระกูลโค่วออกแรงสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อไม่น้อยเลย
เซี่ยโห้วท่าตอบกลั้วหัวเราะว่า “ตัวเขายังไม่ได้ไปเลย ว่าพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ถึงตอนนั้นค่อยดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
โค่วหลิงซวีเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เป็นเพราะยังไม่เห็นกระต่ายจึงยังไม่ล่อยเหยี่ยว ต้องดูความจริงใจของเขาในการประชุมราชสำนักก่อน จึงพยักหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่ท่านปู่สวรรค์พูดมาก็มีเหตุผล”
การแลกเปลี่ยนข้อตกลงหลังม่านนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนที่พูดอะไรเหลวไหล จึงวางเรื่องนี้ไว้แล้วดื่มร่วมกัน เริ่มคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย
หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปสักพัก โค่วหลิงซวีก้ขอตัวลา ขอร้องให้เซี่ยโห้วท่าอยู่ตรงนี้ ไม่กล้ารบกวนให้ไปส่ง
หลังจากเว่ยซูส่งโค่วหลิงซวีกลับไปแล้ว เห็นเซี่ยโห้วท่าดื่มน้ำชาอย่างเนิบนาบโดยไม่พูดอะไร เขาก็เดินมาข้างๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โค่วหลิงซวีใช้ความพยายามเพื่อลูกเขยจอมเอาเปรียบคนนี้จริงๆ ถ้าหากรู้ว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อมีหกลัทธิ เกรงว่าคงจะร้องไห้ไม่ทันแล้ว”
เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม “ต่อให้เขาไม่มาหาข้า ข้าก็ไม่คิดจะนั่งดูหนิวโหย่วเต๋อเป็นอะไรไปที่ตลาดผีหรอก ในเมื่อเป็นฝ่ายเอาผลประโยชน์มาให้ข้าก่อนแล้ว ข้าจะถือโอกาสส่งมอบน้ำใจให้เขาก็ได้ อย่างไรเสีย การดึงตระกูลโค่วเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหกลัทธิก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ยิ่งตกหลุมพรางลึกเท่าไรก็ยิ่งดี ถึงตอนนั้นก็จะมีกำลังต่อต้านประมุขชิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อย่างไรเสียในมือโค่วหลิงซวีก็กุมอำนาจทางทหารของใต้หล้าเอาไว้สองส่วน สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเรา ไม่อาจเอาไข่ไก่ไปไว้ในตะกร้าใบเดียวกันได้ แบบนั้นเสี่ยงเกินไป ถ้าประมุขชิงกล้าไร้ความจริงใจ ก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรม ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถผลักดันให้คนเป็นใหญ่มาหลายคนแล้ว ไม่ถือสาที่จะผลักดันเพิ่มอีกสักคน!” ใบหน้าชราพลันหรี่ตาขณะที่พูดประโยคนี้
คำพูดนี้เว่ยซูได้ยินแล้วแอบหนาวในใจ เขามองเห็นความดุร้ายในร่องตาของเซี่ยโห้วท่า ไม่ได้เห็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว
ครบกำหนดการลงโทษหนึ่งร้อยปี ตรงประตูใหญ่เรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่วในอุทยานหลวง เหมียวอี้ที่ได้รับแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางใหม่กำลังยืนอยู่หน้าประตูและทอดสายมองแนวภูเขา ครั้งนี้นับว่าจะได้ออกจากกองทัพองครักษ์อย่างเป็นทางการแล้ว ค่อนข้างรู้สึกทอดถอนใจ
อวิ๋นจือชิวกับเฟยหงและคนอื่นๆ ที่เก็บของแล้วกำลังยืนรออยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ได้รบกวน พวกมู่อวี่เหลียนที่มาส่งก็รออยู่เงียบๆ เช่นกัน
“ในภายหลังก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาที่นี่อีกหรือเปล่า เหอะๆ ไม่พูดอะไรแล้ว ขอตัวก่อน” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อกลุ่มคนที่มาส่ง พวกเวินเจ๋อไม่ได้มาส่ง อีกฝ่ายพูดผ่านระฆังดาราเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่านับแต่นี้ไปเขาไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์อีก ไม่สะดวกจะไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัย
มู่อวี่เหลียนใช้สองมือส่งสัญญาณมือ แล้วถอยหลังไปกุมหมัดคาระพร้มกับคนที่อยู่ข้างหลัง “นายท่านโปรดรักษาตัวด้วย!”
เหมียวอี้พยักหน้าให้คนของตระกูลโค่วที่มารับและนำทาง แล้วคนกลุ่มนี้ก็เหาะจากไป ไม่หันหน้ากลับมาอีก
จ้านหรูอี้ที่กำลังถือตะกร้าเก็บผักอยู่ในผืนนาหลวงเงยหน้าขึ้น มองดูคนกลุ่มนี้หายไปในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ในดวงตาฉายแววเศร้าสลดเล็กน้อย
เมื่อมาถึงดาวหยกงาม เหมียวอี้ที่ได้มาจวนอ๋องสวรรค์โค่วเป็นครั้งแรกก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนตระกูลโค่ว มีเสียงเรียกน้องเขย อาเขยไม่หยุด
โค่วเหวินหลานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน พอได้ยินเจ้าหมอนี่เรียกตนว่าอาเขยอย่างอ่อนปวกเปียก เหมียวอี้ก็กลั้นขำนิดหน่อย โชคดีที่อ๋องสวรรค์โค่วเรียกพบ กลุ่มคนที่อยู่ตรงประตูจึงไม่ได้เกาะแกะมากนัก ได้แต่ไปเกาะแกะคุยเล่นอยู่กับอวิ๋นจือชิว
เฟยหงที่อยู่ข้างๆ ไม่มีใครมาสนใจ เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลโค่วไม่ค่อยโปรดปรานนาง
เรื่องบางเรื่องก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลโค่วยืนอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว กอปรกับพื้นเพอาชีพเต้นกินรำกินของเฟยหง ช่างขัดตาคนของตระกูลโค่วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ เกรงว่านางคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าประตูตระกูลโค่วด้วยซ้ำ
เหมียวอี้เข้ามาในลานบ้านด้านในของตระกูลโค่ว แล้วถูกนำตัวเข้าไปในหอสามรากฐานโดยตรง ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงความหมายของหอสามรากฐาน คนในตระกูลโค่วไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาได้
โค่วหลิงซวีเรียกพบเขา ก็แสดงว่ามีเรื่องจะบอก การช่วยกำจัดอุปสรรคขวางทางให้เหมียวอี้ก็ย่อมต้องพูดให้ชัดเจนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็กำชับเรื่องที่ต้องระวังเอาไว้ด้วย
หลังจากจบเรื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ได้รีบจากไป มาที่จวนตระกูลโค่วเป็นครั้งแรก หากเข้าประตูมาแล้วออกไปเลยก็คงไม่ใช่เรื่องดี ต้องอยู่ที่นี่สักหนึ่งเดือนแล้วค่อยออกเดินทาง
ต่อไปยังต้องคลุกคลีกับคนของตระกูลโค่วอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ผู้หลักผู้ใหญ่เยอะไปหน่อย ทำให้เหมียวอี้ปวดหัว อนุภรรยาของโค่วหลิงซวีมีเยอะมากจริงๆ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนที่เหมียวอี้ออกจากจวนอ๋องสวรรค์ ก็เห็นพวกเหยียนซิว หยางชิ่ง หยางเจาชิง สวีถังหรานกับไห่ผิงซินอยู่ในสวนนอกจวนแล้ว
เป็นอย่างที่จ้านหรูอี้คาดไว้ ถ้าต้องการคนไม่กี่คนก็ไม่จำเป็นต้องให้นางออกหน้า พออ๋องสวรรค์โค่วเอ่ยปากก็สามารถดึงคนพวกนี้มาจากกองทัพองครักษ์ได้แล้ว ทางวังสวรรค์กลั่นแกล้งเหมียวอี้เรื่องนี้ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งพวกเหยียนซิวอีก เตะคนพวกนี้ออกจากกองทัพองครักษ์อย่างใจกว้าง
ในสวน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองรอบวง แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าจะไปต้องไปที่ไหน ข้าอยากจะบอกอะไรบางอย่างเอาไว้ตรงนี้ ถ้าเต็มใจจะไปกับข้าก็ไปกับข้าได้ แต่ถ้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่บังคับ ข้าจะหาตำแหน่งที่ทัพเหนือให้พวกเจ้า พวกเจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้าก็ได้”
สวีถังหรานเป็นคนแรกที่กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยยินดีติดตามนายท่าน!”
เหมียวอี้เพิ่งจะพยักหน้ายิ้ม แต่ใครจะคิดว่าไห่ผิงซินจะโพล่งออกมาว่า “ข้าไม่อยากไป ได้ยินว่าที่ตลาดผีมองไม่เห็นแสงอาทิตย์เลยทั้งปี อยู่ในความมืดมิดตลอดไป คิดดูแล้วน่าเบื่อ นายท่านช่วยหาตำแหน่งที่ทัพเหนือให้ข้าอีกว่า”
เหมียวอี้มือชี้นาง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ต่อให้ไม่อยากไปก็ต้องไป!”
…………………………