พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1585 ระบายอารมณ์
พอพูดถึงตรงนี้ หยางชิ่งก็ต้องถอนหายใจอย่างสะท้อนใจ “ตระกูลโค่วช่างวางแผนเก่งจริงๆ!”
เมื่อพูดมาแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ยอมรับว่ากำลังพลเหลือรอดหนึ่งหมื่นที่ถูกจับแยกออกไป เมื่อตนเห็นแล้วก็คงจะเรียกชื่อได้ไม่กี่คน แต่พอเขานึกถึงคำพร่ำสอนที่อ่อนโยนมีเมตตาของโค่วหลิงซวีก่อนหน้านี้ ก็ยังทำใจยอมรับได้ยากว่าอีกฝ่ายจะวางกับดักกับตน “ตระกูลโค่วคิดได้แบบนี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะคิดบ้างไม่ได้ เป็นไปได้มั้ยว่าจะมีคนอื่นเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง?”
หยางชิ่งได้ยินแล้วอึ้งทันที ในแววตาสื่ออารมณ์ที่หลากหลายปนกัน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบเหมียวอี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหมียวอี้มีอีกด้านหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถยอมรับได้ นั่นก็คือมีคุณธรรมน้ำมิตร และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขามั่นใจว่าเหมียวอี้ไม่มีทางทรยศลูกสาวของเขาง่ายๆ
เขามองออกว่าเหมียวอี้เพิ่งจะได้รับน้ำใจไมตรีจากตระกูลโค่ว พอมาถูกวางแผนใส่อีกก็เลยทำใจยอมรับได้ค่อนข้างยาก แต่ยามเผชิญหน้ากับความจริง เขาก็ไม่อาจละเลยที่จะเตือนเหมียวอี้ “มีความเป็นไปไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีคนอื่นเล่นตุกติก แต่เกรงว่าคนที่สามารถควักกำลังทรัพย์มาจ่ายให้กำลังพลหนึ่งหมื่นได้ในรวดเดียวคงจะมีไม่เยอะขนาดนั้น อีกทั้งเวลาในการสนับสนุนทรัพยากรก็ไม่ใช่แค่ปีสองปี ดูจากแนวโน้มแล้วก็คือเตรียมตัวจะสนับสนุนทรัพยากรต่อไปในระยะยาว แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? แบบนี้เท่ากับเลี้ยงกำลังพลหนึ่งหมื่นเอาไว้ส่วนตัว เมื่อวันเวลาผ่านไปนานๆ เข้า คนที่ทนรับไว้ก็มีไม่เยอะ และคนที่เฝ้ารออย่างช้าๆ โดยไม่สนใจผลประโยชน์ตรงหน้า ทั้งยังกล้ายื่นมือเข้ามาในกองทัพองครักษ์ก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว ในใต้หล้าไม่มีใครแล้วนอกจากคนพวกนั้น และจุดประสงค์ที่คนพวกนี้สนับสนุนทรัพยากรก็ไม่ได้ใช่อะไร เพราะเห็นอิทธิพลที่นายท่านมีต่อคนพวกนี้ จะรักษาอิทธิพลที่นายท่านมีต่อคนพวกนี้ให้คงอยู่ต่อไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นายท่านออกหน้าขอแรงคนกลุ่มนั้น เงื่อนไขทุกอย่างก็จะมาบรรจบกันพอดี มีเพียงสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกเท่านั้น ถึงได้นำการสนับสนุนทรัพยากรมาขู่ให้คนพวกนั้นยอม ดังนั้นเมื่อนายท่านอยู่ในมือใคร ถึงจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าคนนั้นใช้ประโยชน์จากจุดนี้ คนอื่นๆ เกรงว่าคงจะไม่คิดไปทางด้านนี้ เพราะไม่มีใครกล้ารับประกันว่าลูกน้องเก่าของนายท่านจะถามนายท่านรวมทั้งเปิดเผยเรื่องนี้หรือเปล่า ถึงอย่างไรผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีเยอะมาก แต่ตระกูลโค่วไม่กลัว ต่อให้นายท่านรู้แล้วถามถึง ตระกูลโค่วก็สามารถยอมรับได้อย่างตรงไปตรงมา แล้วจะบอกว่าช่วยนายท่านรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้นายท่านซาบซึ้งใจอีกด้วย”
ในใจเหมียวอี้รู้สึกสับสน เสียความรู้สึกมาก กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “บังอาจมาวางแผนกับข้าแบบนี้!”
หยางชิ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้านายท่านคิดแบบนี้ก็ถือว่ารุนแรงไปหน่อย ระดับตระกูลโค่วแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่มีทางรอให้เรื่องจวนตัวแล้วค่อยกอดเท้าพระพุทธรูปหรอก จะต้องมีการเตรียมการในระยะยาวอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กระตือรือร้นดึงตัวตอนที่นายท่านยังมีตำแหน่งระดับนี้ จะบอกว่าวางแผนทำร้ายก็ได้ จะบอกว่าใช้ประโยชน์ก็ได้เช่นกัน นายท่านลองเลี่ยนมุมมองคิดดูก็ได้ ในเมื่อในท่านมองเรื่องนี้ออกแล้ว ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็ได้ อย่าให้ตระกูลโค่วรู้ มีคนจงใจจ่ายเงินเพื่อสร้างสัมพันธ์ให้นายท่านอยู่เบื้องหลัง นี่เป็นเรื่องดี ตอนสุดท้ายก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะใช้ประโยชน์ใครกันแน่ กำลังพลหนึ่งหมื่นคนนี้กระจายกันอยู่ในแต่ละหน่วยของกองทัพองครักษ์ ต้องมีคนประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนดึงตัวไปอยู่กับกำลังพลท้องถิ่นเพื่อพัฒนาให้เติบโตต่อไปก็ได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตนายท่านอาจจะได้ใช้ประโยชน์”
เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที ถามว่า “แต่พวกเขาโดนตระกูลโค่วบีบจุดอ่อยไว้หมดเลยนะ”
หยางชิ่งตอบว่า “จุดอ่อนนี้เหมือนดาบสองคม ตราบใดที่นายท่านยังไม่ล้ม ตระกูลโค่วก็จะไม่กล้าเปิดเผยจุดอ่อนนี้ง่ายๆ ตำหนักสวรรค์ไม่ได้โง่เสียหน่อย ด้วยศักยภาพของนายท่าน สามารถเลี้ยงคนได้มากขนาดนั้นเชียวเหรอ? ใครกำลังยื่นมือเข้าไปแทรกแซงกองทัพองครักษ์ ตำหนักสวรรค์มองราดเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว ดังนั้นกุญแจสำคัญของปัญหาก็ขึ้นอยู่กับวว่านายท่านจะก้าวไปข้างหน้าต่อได้หรือไม่ ถ้าลำพังนายท่านเองยังเอาตัวรอดได้ลำบาก แลวจะขอแรงคนพวกนั้นได้ยังไง? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เมื่อนายท่านมีศักยภาพแล้ว คนพวกนั้นถึงจะมีประโยชน์ ถ้านายท่านไม่มีศักยภาพ ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่โน้มน้าวคนสองคนเพื่อทำงานให้นายท่าน ก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เท่าไรเลย และจุดอ่อนนี้ก็ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ถ้าวันไหนตระกูลโค่วส่งผลร้ายต่อนายท่าน ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะบีบใครกันแน่! ดังนั้นกลยุทธ์ชั้นยอดก็คือ นายท่านต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ต่อไป อย่าบุ่มบ่ามไปแปรพักตร์ใส่ตระกูลโค่วเพราะเรื่องนี้ ห้ามเผยพิรุธใดๆ ทั้งนั้น!” เขากลัวจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะบุ่มบ่ามทำอะไรซี้ซั้ว เขาถูกเหมียวอี้ทำให้กลัวแล้วจริงๆ โมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว
“เจ้าพูดดีมาก ข้าจะจำไว้” เหมียวอี้พยักหน้า
เมื่อเห็นว่าเขาน่าจะฟังเข้าใจแล้วจริงๆ หยางชิ่งก็โล่งอก และมีอารมณ์ที่จะคุยต่อไปแล้วเช่นกัน “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าน้อยอยู่ที่อุทยานหลวงมาหลายปีแล้ว ตั้งใจสังเกตเรื่องบางเรื่องทั้งข้างล่างข้างบน ครั้งก่อนที่นายท่านโดนลดตำแหน่ง แล้วครั้งนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีอีก ในนี้เกรงว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลโค่วกับฝ่าบาท อยากจะโยนนายท่านไปไว้ตลาดผีเพื่อให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วปะทะกัน กอปรกับตระกูลอื่นที่จ้องพร้อมตะคลุบดั่งพญาเสือ เกรงว่าการไปตลาดผีครั้งนี้จะอันตรายที่สุด ที่ตลาดผีไม่มีใครสู้ชนะตระกูลเซี่ยโห้ว อาศัยเพียงตระกูลโค่วเกรงว่าจะปกป้องนายท่านได้ยาก ไม่ทราบว่าตระกูลโค่วปล่อยนายท่านไปตลาดผีแล้วได้ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วมาหรือเปล่า?”
เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ รับไม่ไหวกับเจ้าหัวหมอหยางชิ่งนี่จริงๆ สงสัยหลายปีที่เจ้าหมอนี่อยู่ที่อุทยานหลวงจะครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ทั้งข้างล่างข้างบน มิน่าล่ะตอนเสนอแผนการเรื่องน่านฟ้าระกาติงถึงได้มั่นใจว่าประมุขชิงจะไม่ตัดหัวตน ตอนนี้แม้แต่เรื่องที่แปลกระหลาดไร้เหตุผลของตัวเองก่อนหน้านี้ เจ้าหมอนี่ก็ยังมองออกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยถึงเรื่องที่ตระกูลโค่วไปหาตระกูลเซี่ยโห้ว
“ครั้งนี้ไปตลาดผีน่าจะไม่มีปัญหามาก ตระกูลโค่วไปหาตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วรับประกันความปลอดภัยพื้นฐานของข้าที่ตลาดผีแล้ว” เหมียวอี้ถาม
“หยางชิ่งได้ยินแล้วโล่งอก พยักหน้าบอกว่า “”เช่นนั้นก็ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าตระกูลโค่วมอบผลประโยชน์อะไรให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหลีกทางให้””
“เหมียวอี้โบกมือบอกว่า “”เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจแล้ว แล้วกับเฟยหงนั่นจะทำยังไง? ตอนนี้ฮูหยินก็อยู่กับข้าเหมือนกัน สายลับที่อยู่ข้างกายคนนี้มักเป็นปัญหา จะฉวยโอกาสตอนไปตลาดผีแก้ไขการควบคุมของตำหนักสวรรค์เลยดีมั้ย?”
“ไม่เหมาะสม!” หยางชิ่งโบกมือ “เกรงว่านายท่านจะยังต้องแสร้งมีไมตรีต่อไป ถ้ามีสายลับคนนี้อยู่ข้างกาย ตำหนักสวรรค์ก็จะได้เชื่อมั่นในตัวนายท่านได้ในระดับหนึ่ง ถ้ามีนางไว้คอยบอกตำหนักสวรรค์ว่านายท่านเป็นขุนนางที่จงรักภักดี นางพูดประโยคเดียวก็มีน้ำหนักเท่าคนอื่นพูดร้อยประโยค ในอนาคตตอนที่ตำหนักสวรรค์พิจารณาว่าจะตัดทางหนีทีไล่นายท่านโดยสิ้นเชิงหรือไม่ การพิจารณาในจุดนี้ก็อาจจะตัดสินชะตาชีวิตของนายท่านได้ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ว่าตราบใดที่ยังมีสายลับคนนี้อยู่ ตำหนักสวรรค์ก็จะไม่คิดยัดใครไว้ข้างกายนายท่านอีก จะได้ลดปัญหายุ่งยากให้ตัวเองด้วย ดังนั้นหวังว่านายท่านจะไม่เย็นชากับนาง เรื่องที่ควรจะเล่นละครตบตาก็ยังต้องเล่นละครตบตา เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน”
เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้ว่าการมีสายลับข้างกายมันลำบากขนาดไหน ขนาดกลับบ้านแล้วยังผ่อนคลายไม่ได้เลย รสชาตินี้ทรมานเกินไปแล้ว”
หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลย ถ้านายท่านสามารถสยบนางได้ราบคาบ ทำให้นางมายืนฝ่ายนายท่านและทำงานให้นายท่านได้ ก็จะเป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หน่วยตรวจการซ้ายก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ในเมื่อกล้าปล่อยนางมา ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธีการถ่วงนางไว้แน่นอน ทำให้นางไม่กล้าทรยศ ดังนั้นเกรงว่าจะสยบไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะทำเป็นอวดเก่งสุดท้ายก็ผูกมัดตัวเองด้วยซ้ำ”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” เหมียวอี้ทำแก้มป่องราวกับปวดฟัน หลังจากกลั่นกรองคำพูดแล้วก็กล่าวช้าๆ ว่า “ไปที่ตลาดผีก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย ค่อนข้างอิสระ หลังจากจัดที่ทางที่ตลาดผีได้แล้ว พวกเรากลับไปหาเวยเวยที่พิภพเล็กด้วยกัน ข้าคิดถึงเวยเวยแล้ว” คำพูดนี้อวิ๋นจือชิวสอนเขาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดจาอะไรอ่อนโยนแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายอย่างหยางชิ่งหรอก
ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้หยางชิ่งรู้สึกฮึกเหิมใจ ทำให้หยางชิ่งรู้สึกว่าในใจเหมียวอี้ยังมีลูกสาวตัวเองอยู่ ไม่เสียแรงที่ตัวเองทนรับความอยุติธรรมมาหลายปี ที่จริงแล้วเขาก็คิดถึงลูกสาวมากเช่นกัน ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ฉินเวยเวยเป็นดั่งดวงใจของเขา แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะต้องทำเพื่ออนาคตของลูกสาว ถึงได้จากบ้านมาไกลขนาดนี้ แต่ใครจะคิดว่าการกระทำบางอย่างของเหมียวอี้จะทำให้เขาท้อใจ ทำให้เขาแทบจะสิ้นหวัง แต่พอวันนี้ได้มาฟังอะไรแบบนี้ ก็ได้ทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจมากจริงๆ ไม่ว่าคำพูดของเหมียวอี้จะจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็อธิบายได้แล้วว่าเหมียวอี้ยังแสดงท่าทีชัดเจนว่ายินดีจะรักษาความสัมพันธ์และไม่ปฏิบัติต่อลูกสาวตนอย่างยุติธรรม นับว่าสิ่งที่ตัวเองจ่ายไปก็คุ้มค่าเช่นกัน จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”
หลังจากมองส่งหยางชิ่งจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังคงมีอารมณ์ซับซ้อนสับสนอยู่ ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดอย่างไร แต่ในใจเหมียวอี้กลับรู้ชัด ว่าหยางชิ่งแค่เสียเปรียบเพราะมีพลังไม่มากพอ กอปรกับใช้ฉินเวยเวยควบคุมไว้ ไม่อย่างนั้นก็ควบคุมเจ้าหัวหมอที่สติปัญญาคล้ายปีศาจคนนี้ให้อยู่หมัดยากจริงๆ จะปล่อยอำนาจให้เขาจริงๆ เหรอ?
อีกจุดหนึ่งก็คือ ไม่ว่าในตอนนั้นเขาจะแต่งงานกับฉินเวยเวยเพราะอะไร แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เอาฉินเวยเวยมาเล่นละครก็ยังทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ
“เมื่อกลับมาถึงเรือนเดี่ยวในจวนอ๋องสวรรค์ที่ตระกูลโค่วแบ่งให้เขา พอเห็นอวิ๋นจือชิวเดินเข้ามายิ้มรับอย่างสนิทสนมแล้วถามว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น เขาดึงมืออวิ๋นจือชิวเข้าไปในห้องนอนโดยตรง พอปิดประตูแล้ว ก็ดึงร่างอันอวบอิ่มของอวิ๋นจือชิวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง”
“เจ้าจะทำอะไร? ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลยนะ คนของตระกูลโค่วมาบ่อยมาก ถ้าอีกประเดี๋ยว…อ๊า!” อวิ๋นจือชิวร้องอย่างตกใจ เสื้อผ้าบนตัวถูกฉีกขาด ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนเหมียวอี้ฉีกเสื้อผ้าแล้ว เนื้อหนังสีขาวถูกเผยออกมา
“เจ้าเป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นบ้าอะไรไปแล้ว ไม่ใช่เวลานางถอดเสื้อผ้าด้วยซ้ำ
เหมียวอี้ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ถอดเสื้อผ้านางออกจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วใช้สองมือบีบคลำย่ำยีบนเอวบางและบั้นท้ายอวบของนาง
“เจ้าทำให้ข้าเจ็บนะ!” อวิ๋นจือชิวเอามือตีมือสองข้างของเขาที่กำลังบีบคลำบนหน้าอกใหญ่ของตัวเอง นางเจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลแล้ว
ขณะมองดูเรือนร่างยั่วยวนราคะที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งกำลังดิ้นรน ก็ยิ่งกระตุ้นสันดานสัตว์ป่าของเหมียวอี้ เขาผลักนางลงบนเตียงอย่างอดใจรอไม่ไหว
ไม่มีจังหวะโหมโรงใดๆ ทั้งนั้น บุกตะลุยเข้ามาโดยตรง ไถลานบ้านกวาดถ้ำ ชนโจมตีอย่างบ้าระห่ำ!
หลังจากผ่านไปนานมาก ทั้งสองก็นอนกอดกันอย่างสงบแล้ว อวิ๋นจือชิวมองดูร่องรอยที่โดนข่วนเกาบนหน้าอกขาวอิ่มของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังเจ็บไม่หายเลย ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเขย่าศีรษะของเหมียวอี้พร้อมถามว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”
“คนที่แอบสนับสนุนทรัพยากรอาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่ว…” เหมียวอี้แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกมา เล่าสิ่งที่หยางชิ่งตัดสินวินิจฉัยให้ฟัง
หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็มองผู้ชายคนนี้อย่างอึ้งๆ ปนสงสาร เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้เขาถึงบ้าระห่ำขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ยังบอกอยู่เลยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องขอบคุณน้ำใจไมตรีอันล้นพ้นนี้ของตระกูลโค่วให้ได้ แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็พบว่าตัวเองโดนตระกูลโค่ววางกับดักแล้ว
ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ นางรู้จักนิสัยเขาดีเกินไป ในมกลสันดานของผู้ชายคนนี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงน้ำใจกับกำลังพลหนึ่งหมื่นทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังขัดสนเงินทองหรอก ผลปรากฏว่าโดนหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าผู้ชายคนนี้คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเดินไปจนถึงตอนสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นแบบไหน ความดิ้นรนต่อต้านในใจยากที่จะบรรยายออกมาได้ เมื่อครู่นี้เขาแค่ระบายอารมณ์ส่วนลึกในจิตใจของเขากับร่างกายนางเท่านั้นเอง
คิดแล้วก็ปวดใจ อวิ๋นจือชิวประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกที่อ่อนนุ่มด้วยความสงสาร กอดเขาเอาไว้ราวกับเด็กน้อย
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากหน้าอกของนาง ได้กลิ่นกายที่หอมอ่อนๆ ของนาง เหมียวอี้ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว นอนหลักลึกไปแล้ว…
…………………………