พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1588 วัดพระกษิติครรภ์
ที่แท้ก็เป็นวัดพระกษิติครรภ์ ครั้งก่อนเหมียวอี้ก็เคยได้ยินชื่อนี้มาแล้ว ถึงแม้แดนพุทธจะสงบเสงี่ยมไม่เข้ามายุ่งกับปุถุชน แต่เหมือนว่าจะต้องการยื่นท้าวแทรกเข้าไปทุกที่ แล้วรวบรัดสร้างวัดขึ้นมาหนึ่งวัด แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ไม่มีใครสนใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีเจวี๋ยเห็นเขาเป็นอะไรไปแล้ว ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มแล้วไม่มีงานทำเสียหน่อย อยู่ดีๆ จะไปก่อเรื่องที่วัดพระกษิติครรภ์ทำไมล่ะ จำเป็นต้องเตือนเรื่องนี้ด้วยเหรอ? เขาจึงถามอย่างสนใจว่า “ที่ตลาดผีมีสถานที่ที่ตึกศาลาสัตยพรตปกป้องไม่ได้ด้วยเหรอ?”
ชีเจวี๋ยตอบว่า “ก็เหมือนที่จวนแม่ทัพภาค จวนแม่ทัพภาคตลาดผีขึ้นตรงต่อตำหนักสวรรค์ วัดพระกษิติครรภ์ก็ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดีเช่นกัน ตึกศาลาสัตยพรตไม่อาจเข้าไปรบกวนที่จวนแม่ทัพภาคได้ง่ายๆ ก็ย่อมไปรบกวนที่วัดพระกษิติครรภ์ไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน ถ้าแม่ทัพภาคหนิวก่อเรื่องที่วัดพระกษิติครรภ์ ก็ต้องให้ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีประสานงานกันโดยตรง โดยทั่วไปตึกศาลาสัตยพรตของพวกเราจะไม่แทรกแซง”
วัดพระกษิติครรภ์ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดีเหรอ? เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมียวอี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ครั้งก่อนไม่มีใครตั้งใจแนะนำวัดพระกษิติครรภ์ให้เขารู้จัก กอปรกับวัดพระกษิติครรภ์อยู่อย่างสงบเสงี่ยม จึงไม่มีใครสนใจ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดี เหมียวอี้แววตาวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ถามหยั่งเชิงว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า วัดพระกษิติครรภ์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีโดยตรงเหรอ?”
ชีเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตึกศาลาสัตยพรตสนใจ พอแม่ทัพภาคกลับไปแล้วถามคนเก่าคนแก่ในจวนแม่ทัพภาคสักคนก็จะรู้แล้ว ขออภัยที่ส่งได้ตรงนี้”
“อ้อ! วันหลังค่อยรบกวนอีกที” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วแล้วหันตัวก้าวลงบันไดไปขึ้นเรือ เหยียนซิวที่รออยู่บนหัวเรือแอบไล่คนขับเรือไปแล้ว
ชีเจวี๋ยมองคล้อยหลังครู่หนึ่งแล้วหันตัวกลับมา
ที่ริมหน้าต่างบนตึก เฉาหม่านมองดูเหมียวอี้นั่งเรือจากไปอย่างเงียบๆ แล้วจู่ๆ ยิ้มเบาๆ “คนคนนี้น่าสนใจ”
เฉาเฟิ่งฉือที่มองอยู่ด้านข้างงุนงง ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงด้านไหน
และหลังจากที่เหมียวอี้กลับมาที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว ก็ไปหาคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคทันที ถามถึงสถานการณ์เกี่ยวกับวัดพระกษิติครรภ์
ชายชราที่ถูกถามชื่อว่าเหออี้กวน อยู่ที่ตลาดผีมานับหมื่นปี การที่ถูกจับโยนมาไว้ที่นี่ได้ ก็แสดงว่าไม่มีเส้นสายหรือภูมิหลังอะไร แต่ก็มีฐานะอาวุโสเมื่ออยู่ที่นี่ อยู่กับเส้นสายทั้งใหญ่ทั้งเล็กที่ตลาดผีมาจนชินแล้ว ทรัพยากรก็พอจะหาได้บ้าง กอปรกับไม่ว่าแม่ทัพภาคคนไหนจะมารับตำแหน่ง เขาทนอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างชุ่มฉ่ำเช่นกัน ยังย้ายออกไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอออกจากตลาดผีไปแล้วก็อาจจะไม่ได้ดีไปกว่ากันก็ได้ ไม่สู้อยู่ที่นี่อย่างสงบใจแต่โดยดีไปดีกว่า
สำหรับชื่อเสียงของแม่ทัพภาคที่มาใหม่ท่านนี้ เหออี้กวนก็ได้ยินมาเยอะเหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องหู รู้ว่าท่านนี้ไม่ได้อาศัยภูมิหลังฐานะเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาค ก่อนที่จะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ก็ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่มีกำลังทหารเยอะกว่าที่นี่ได้แล้ว เป็นทหารกล้าที่สังหารฝ่าออกมา ตอนที่เหมียวอี้มาครั้งแรก เขาก็ไม่รู้ชัดว่าเหมียวอี้มีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ได้ยินว่าไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไร เป็นคนที่มือย้อมไปด้วยคาวเลือด เขาจึงไม่กล้าล่วงเกิน ถามอะไรก็ตอบอันนั้น ถ้ารู้ก็บอกหมด เฝ้าดูสีหน้าของเหมียวอี้อย่างระมัดระวัง
หลังจากได้ถามแล้ว เหมียวอี้ก็แน่ใจแล้วว่าวัดพระกษิติครรภ์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีโดยตรง ไม่เหมือนวัดทั่วไปที่มีเพียงพระอธิการควบคุมอยู่ข้างบน วัดพระกษิติครรภ์มีพระอาจารย์คุมคนเดียว มีแดนสุขาวดีดูแลโดยตรง
พระอาจารย์มีตำแหน่งพอๆ กับระดับแม่ทัพภาคอย่างเขา ถ้าตัดประมุขพุทธะออก แดนพุทธก็มีลำดับจากบนลงล่างคือ พุทธะ วัชระ พระโพธิสัตว์ อรหันต์ พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ ราชครู พระอธิการ เจ้าอาวาส ระดับที่ต่ำลงไปก็เป็นพวกพระสงฆ์ พุทธะเทียบเท่ากับสี่อ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ วัชระเท่ากับจอมพลของตำหนักสวรรค์ พระโพธิสัตว์เท่ากับเทพประจำดาว อรหันต์เท่ากับท่านโหว พระอาจารย์ใหญ่เท่ากับหัวหน้าภาค พระอาจารย์เท่ากับแม่ทัพภาค ราชครูเท่ากับผู้บัญชาการใหญ่ พระอธิการเท่ากับผู้บัญชาการ เจ้าอาวาสเท่ากับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ระดับที่ต่ำลงมาอีกก็จะเป็นพระสงฆ์
ถ้าจะให้เรียงลำดับออกมาสภาพการณ์คร่าวๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่แดนพุทธกับตำหนักสวรรค์ยังมีความแตกต่างกัน ถึงแม้แดนพุทธจะสงบเสงี่ยมไม่เข้ามายุ่งกับปุถุชน แต่ก็เข้ามาอยู่ลึกมาก ให้ความสำคัญกับการพลังปรารถนา ถลำลึกเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ธรรมดา แบบนี้ถึงได้มีคำเรียกราชครูปรากฏขึ้น ดังนั้นระดับโดยละเอียดจะไม่เข้มงวดเหมือนตำหนักสวรรค์ ที่เน้นว่าอยู่ระดับไหนมีกำลังพลใต้สังกัดเท่าไร ขอบเขตคำเรียกก็คลุมเครือเช่นกัน หลักๆ กำหนดจากสถานการณ์ในโลกมนุษย์ตรงที่นั้นและตำแหน่งที่อยู่เองอยู่ในที่นั้น
และสถานการณ์ที่เขาภูตพเนจรก็ค่อนข้างพิเศษ บนดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่ คนธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เมื่อไม่มีสาวกก็ย่อมไม่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้อะไรมาก สามารถเข้าใจได้เช่นกันว่าทำไมต้องให้พระอาจารย์มาควบคุมโดยตรง
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นสถานการณ์พิเศษที่ตลาดผี วัดพระกษิติครรภ์ของที่นี่มีไว้เพื่อสังเกตสถานการณ์ที่นี่ บทบาทที่มากกว่านั้นก็เพื่อเป็นที่พักให้คนแดนพุทธที่มาติดต่อที่นี่ โดยทั่วไปจะไม่รับคนนอกเข้าพัก รับเพียงศิษย์แดนพุทธเท่านั้น ดังนั้นจึงสงบเสงี่ยมมาก
เหมียวอี้ได้ฟังแล้วพยักหน้าช้าๆ หลังจากครุ่นคิดตามเล็กน้อย ก็ถามอีกว่า “พระอาจารย์ท่านนี้เข้าออกแดนสุขาวดีบ่อยเหรอ?”
ตามที่เขารู้มา คนทั่วไปเข้าแดนสุขาวดีไม่ได้ง่ายๆ พระอาจารย์โดยทั่วไปก็เกรงว่าจะมีโอกาสไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีน้อยเช่นกัน ก็เหมือนแม่ทัพภาคทั่วไปที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าๆ ออกๆ ตำหนักสวรรค์
เหออี้กวนตอบอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อยรู้ชัดสักเท่าไร ถึงแม้ข้าน้อยจะอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ก็มได้คลุกคลีกับวัดพระกษิติครรภ์สักเท่าไร ทางนั้นไม่ค่อยอยากให้คนนอกเข้าไปคลุกคลีด้วย แต่ตามที่ข้าน้อยรู้มา พระอาจารย์จี้คงเป็นคนที่แดนสุขาวดีส่งมาโดยตรง คาดว่าคงไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง?”
“แล้วถ้าข้าจะเข้าไปกราบไหว้ วัดพระกษิติครรภ์จะอนุญาตให้ข้าเข้าไปรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
เหออี้กวนยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ถึงยังไงนายท่านก็เป็นแม่ทัพภาคที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา มาครั้งแรกแล้วไปนมัสการ มีหรือที่จะไม่ต้อนรับ”
เหมียวอี้พยักหน้า เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ก็โบกมือบอกว่า “ไป! นำทางไป มาครั้งแรกก็ต้องนมัสการเพื่อนบ้านสักหน่อย”
“ขอรับ!” เหออี้กวนเอ่ยรับคำสั่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมท่านนี้อยากไปวัดพระกษิติครรภ์ก็ตาม
“ไปวัดพระกษิติครรภ์แล้วเหรอ?”
พอได้รับรายงานจากหยางเจาชิง อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างงุนงง จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิด พอจะเดาได้แล้วว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร นางถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าบอกใบ้ว่ารู้แล้ว
วัดพระกษิติครรภ์ก็เหมือนกับตึกศาลาสัตยพรต มีน้ำล้อมรอบสี่ด้าน ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตั้งตระหง่านต่อเนื่องกันอยู่ในน้ำทั้งข้างบนและข้างล่าง แร่ธาตุผลึกผสมสลักออกมาเป็นเค้าโครงวัดแห่งหนึ่ง หน้าประตูมีโคไฟแขวนเรียงอยู่หนึ่งแถว แต่กลับทำให้คนรู้สึกอึดอัดในความเย็นเยียบพิศวง ฝั่งซ้ายและขวาของประตูใหญ่มีรูปสลักสัตว์ประหลาดน่าเกลียดฝั่งละหนึ่งตัว ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกกลัว
ประตูใหญ่กำลังเปิดอยู่ พระสงฆ์สองรูปยืนประนมมือเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ
เหออี้กวนรีบเดินไปตรงประตู แต่กลับถูกพระสงฆ์สองรูปนั้นขวางไว้ หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำ ก็รีบเดินกลับมาหาเหมียวอี้ที่เดินมาพร้อมเหยียนซิว แล้วบอกว่า “นายท่าน พวกเขาต้องการตรวจสอบตัวตนของนายท่าน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ไปรายงานให้”
เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกขุนนางมายื่นให้ เหออี้กวนใช้สองมือรับไว้แล้วรีบนำไปยื่นให้พระที่เฝ้าประตู หนึ่งในนั้นเฝ้าระตู แล้วให้พระอีกรูปเข้าไปรายงานข้างใน ส่วนพวกเหมียวอี้ก็รออยู่ข้างนอก กำลังมองสำรวจสภาพโดยรอบ
ผ่านไปไม่นาน พระที่เข้าไปรายงานก็นำพระสงฆ์อ้วนท้วนสมบูรณ์รูปหนึ่งที่สวมจีวรสีเทาแกมน้ำเงินออกมา พระที่รายงานรีบเดินเข้ามาคืนแผ่นหยกขุนนางให้ ขณะเดียวกันก็แนะนำว่า “ท่านคือพระอาจารย์จี้คง เป็นผู้ดูแลวัดนี้”
“อ้อ!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที “จะบังอาจรบกวนให้พระอาจารย์จี้คงออกประตูมารับได้ยังไง”
พระอาจารย์จี้คงมีสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร รีบมองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า แล้วประนมมือกล่าวว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของแม่ทัพภาคมานานแล้ว พอได้ยินว่าแม่ทัพภาคหนิวมารับตำแหน่งวันนี้ อาตมากำลังรอให้ท่านแม่ทัพภาคจัดแจงเรื่องที่พักให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปเยี่ยม ช้าไปก้าวหนึ่งจนต้องรบกวนให้แม่ทัพภาคมาด้วยตัวเองแล้ว ล่วงเกินแล้ว”
นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาทเสียทั้งหมด เขาได้ยินชื่อเสียงของเหมียวอี้มานานมากแล้วจริงๆ ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตเสียขนาดนั้น จะไม่ให้ได้ยินชื่อก็คงยาก เขาอยากจะไปเยี่ยมเยียนเหมียวอี้จริงๆ ต่อให้ควบคุมจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นไว้ แต่ก็อยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ในใจก็รู้สึกฉงนเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะมาพึง คาดว่ายังไม่รู้สถานการณ์ในจวนแม่ทัพภาคชัดเจนด้วยซ้ำ ทำไมถ่อมาถึงที่นี่แล้วล่ะ
เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีเดิมทีก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว มาเป็นครั้งแรกก็ย่อมต้องมาทำความรู้สึกเพื่อนบ้านเสียหน่อย”
จี้คงหัวเราะเบาๆ แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิวเชิญเข้าไปดื่มน้ำชา”
“เชิญ!” เหมียวอี้ก็ยื่นมือเชิญเช่นกัน ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้าไป เหยียนซิวกับเหออี้กวนก็ได้เข้าไปอย่างราบรื่นเช่นกัน
พูดคุยยิ้มแย้มกันมาตลอดทางจนถึงห้องรับแขก พอเข้ามาในห้องแล้วนั่งลง ก็มีเณรน้อยนำน้ำชามาวางให้ เหยียนซิวกับเหออี้กวนรออยู่ด้านนอกห้อง
หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว จี้คงที่ค่อนข้างเป็นมิตรก็เป็นฝ่ายเชิญให้เหมียวอี้เยี่ยมชมวัดพระกษิติครรภ์ แล้วคอยพูดแนะนำด้วยตัวเอง คนทั่วไปไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้แน่นอน ต่อให้เป็นระดับสูงกว่านี้ก็ไม่แน่ ปรระเด็นสำคัญคือตำแหน่งของเหมียวอี้อยู่ในที่เหมาะเจาะกำลังดี กอปรกับได้ยินว่าเหมียวอี้ก่อเรื่องได้ง่ายถ้าไม่พอใจอะไร จี้คงถึงได้พยายามคอยอยู่เป็นเพื่อน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงดูปรองดองกันมาก จะเห็นได้ว่าวัดพระกษิติครรภ์ไม่อยากให้ความสัมพันธ์กับแม่ทัพภาคแข็งทื่อ
พอเดินอยู่ในวัดพระกษิติครรภ์ได้รอบหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามว่า “วัดพระกษิติครรภ์ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดี ไม่ทราบว่าพระอาจารย์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีบ่อยหรือไม่?”
จี้คงไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ยิ้มตอบว่า “หลายปีจะกลับไปฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรม”
เหมียวอี้พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของแดนสุขาวดีมานานแล้ว แต่จนใจที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ ไม่เคยมีวาสนาได้พบเลย ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสติดตามพระอาจารย์ไปเจอของจริงหรือไม่?”
จี้คงตอบว่า “อาศัยภูมิหลังของแม่ทัพภาค ถ้าต้องการจะไปแดนสุขาวดี ยังจำเป็นต้องให้อาตมาแนะนำอีกเหรอ แค่จวนท่านอ๋องบอกให้ก็เพียงพอแล้ว”
“ดูท่าแล้วพระอาจารย์เหมทือนจะไม่ค่อยเต็มใจนะ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ
ข่าวลือไม่ใช่เรื่องโกหก คำพูดที่กล่าวออกมาไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด จี้คงพึมพำในใจ กลัวนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะทำอะไรซี้ซั้ว คนที่ถูกโยนมาไว้ในตลาดผีย่อมไม่มีภูมิหลังสักเท่าไร จึงไม่กล้าเล่นอะไรแผลงๆ กับเหมียวอี้ เขารับไม่ไหวหากตำหนักสวรรค์มาถามหาความรับผิดชอบ จึงว่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แม่ทัพภาคกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าแม่ทัพภาคมีความตั้งใจจริงๆ อาตมาก็จะนำทางให้เอง”
ถ้าเปลี่ยนเป็นแม่ทัพภาคทั่วไป เขาอาจจะไม่โอนอ่อนขนาดนี้ คนของแดนสุขาวดีไม่จำเป็นต้องกลัวคนของตำหนักสวรรค์ และชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อก็ฉาวโฉ่ไปทั้งตลาดแล้ว ว่ากันว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้หมด กอปรกับภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ จึงทำให้เขากลัวเกรงอยู่บ้าง
“ดี!” สิ่งที่เหมียวอี้ต้องการก็คือะประโยคนี้ “หนิวจะจำคำพูดของพระอาจารย์เอาไว้ วันหลังต้องได้มารบกวนแน่นอน”
จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องตลาดผี เหมียวอี้ไม่ได้รีบออกไปจากที่นี่ ด้วยการต้อนรับอันอบอุ่นของจี้คง เหมียวอี้จึงอยู่รับประทานอาหารที่นี่
ตอนที่กล่าวอำลาอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้ก็กล่าวเชิญชวนเช่นกัน “วันหลังจะต้องเชิญพระอาจารย์ไปนั่งที่จวนแม่ทัพภาคสักหน่อย ถึงตอนนั้นพระอาจารย์ปฏิเสธนะ”
“เคารพมิสู้ทำตาม!” จี้คงที่เดินมาส่งถึงหน้าประตูประนมมือกล่าว
…………………………