พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1595 โมโหจนเกินทน
เริ่มตั้งแต่ตอนที่นางเดินเข้ามา ก็ไม่ได้ชายตาแลอวิ๋นจือชิวเลย อวิ๋นจือชิวคุ้นชินกับพฤติกรรมนี้ตั้งนานแล้ว รู้ว่าน้องสะใภ้คนนี้ไม่ถูกชะตากับตนมาตลอด ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองแย่งผู้ชายมาจากนาง แต่ก็นับว่าเตรียมใจมานานแล้ว
ทว่าน้องสะใภ้คนนี้ดันกระวนกระวายเพื่อโจรราคะคนหนึ่งขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วแอบตกใจ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ย่อมเขาใจความรู้สึกนึกนิดของผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว นี่ก็คือความได้เปรียบที่ผู้ชายไม่มี นางรู้สึกได้รางๆ ว่าเยว่เหยาเหมือนจะไม่ได้ทำเพระเรื่องงานอะไร แต่ทำเพื่อเจียงอีอีล้วนๆ นางเริ่มเป็นกังวลแล้ว หวังว่าสิ่งที่ตัวเองเดาจะไม่ใช่เรื่องจริง
“โตเป็นสาวแล้ว มาดึงมาฉุดแบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหน!” เหมียวอี้ตำหนิพร้อมคว้าข้อมือของเยว่เหยาโยนออกไป แต่เขาก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง พอเห็นเยว่เหยามองตนด้วยสายตาตะลึงงัน ใจก็อ่อนยวบทันที ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนมากตาเยอะ อย่าให้คนนอกมองอะไรออก ตามข้าไปข้างหลัง”
สำหรับน้องสาวคนนี้ เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายอย่างเต็มที่ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ดูแลเท่าไรเลย ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเยว่เหยารับเขาเอาไว้ ต่อให้เขาไม่หิวตายแต่ก็จะถูกจับส่งเข้าจวนเฉิงย่วนอยู่ดี คงตายจนเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว มีหรือที่จะมีวันนี้ได้ ในใจเขารู้สึกผิดมาตลอด ก็เพราะความรู้สึกผิดส่วนนี้เอง ทำให้เขายอมปล่อยให้อวิ๋นจือชิวได้รับความอยุติธรรมนิดหน่อย ต่อให้เยว่เหยาจะออกนอกกรอบกว่านี้หรือทำเกินกว่านี้ แต่พอถึงเวลาจริงเขาก็ทำใจตำหนิไม่ลง มักจะให้อวิ๋นจือชิวยอมถอยให้เสมอ ให้อดทนเอาหน่อย ไม่ยอมให้น้องสาวคนนี้ได้รับความไม่เป็นธรรม
เยว่เหยาพยักหน้าซ้ำๆ “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่รักข้าที่สุด!” ขณะที่พูดหางตาก็ชำเลืองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนอวดอ้างบารมี
อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองแวบหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกเซ็งเลยสักนิด นางก็ทำไม่ได้หรอก เพียงแต่นางรู้เช่นกัน ว่าเรื่องบางเรื่องนางไปแข่งด้วยไม่ได้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้ชายของตัวเองลำเอียง แย่งกันไปแข่งกันมาต่อให้ชนะแต่ก็แพ้ ทำได้เพียงข่มใจอดทนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะใช้หลักการ ‘เคารพพี่สะใภ้เหมือนมารดา’ นางคงลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว
ทว่าคำพูดออดอ้อนเล็กน้อยของเยว่เหยากลับทำให้เหมียวอี้ใจอ่อน ตุ้บ! เขาใช้นิ้วดีดหน้าผากเยว่เหยาเบาๆ แล้วบอกวา “แต่งตัวเป็นยายแก่ ขี้เหร่จะตาย!”
เยว่เหยาเอามือนวดหน้าผากเบาๆ รู้ว่าท่าทีที่พี่ใหญ่มีต่อนางไม่ได้เปลี่ยนไป เรื่องนี้จึงจัดการง่ายแล้ว อารมณ์ก็สงบลงแล้วเช่นกัน นางผลักหลังเหมียวอี้อีก “พี่ใหญ่ เร็วๆ หน่อย อย่าชักช้า”
อวิ๋นจือชิวที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหึงหวงอยู่บ้าง เพราะเหมียวอี้ไม่เคยอ่อนโยนกับนางแบบนี้มาก่อนเลย แต่นางก็เข้าใจ ว่าระหว่างนางกับเหมียวอี้เป็นความรู้สึกระหว่างสามีภรรยา แต่กับอีกฝ่ายเป็นความรู้สึกแบบพี่น้อง ไม่เหมือนกัน จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ในใจก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี เวลาสองพี่น้องคู่นี้อยู่ด้วยกัน นางมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนนอก
ในคุกใต้ดิน เจียงอีอีที่สภาพจนตรอกถูกหนังยางรัดไว้กลางอากาศ ถ้าใช้โซ่เหล็กรับมือกับคนแบบนี้ก็เกรงว่าจะเกิดเรื่อง เท่านี้ยังไม่พอ ทั้งในและนอกคุกใต้ดินล้วนมีคนเฝ้าอยู่ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด
เดิมทีบนตัวเจียงอีอีไม่มีเสื้อผ้าเลย แต่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อสายตา ตอนนี้บนตัวจึงมีชุดคลุมมาปกปิดไว้ตัวหนึ่ง เพียงแต่สองเท้าที่อยู่ด้านล่างของชุดคลุมมีกระดูกขาวเผยให้เห็น แม้แต่เนื้อก็ไม่มีแล้ว จะเห็นได้ว่าโดนตึกศาลาสัตยพรตทรมานมามากขนาดไหน
โชคดีที่เบื้องบนกดดันมาว่าให้ไว้ชีวิต ไม่อย่างนั้นโจรราคะคงจะตายก่อนถูกส่งตัวไปแล้ว ทางนี้ช่วยให้สมุนไพรเซียนซิงหัวบรรเทาให้เขา ไม่อย่างนั้นก็รับประกันไม่ได้จริงๆ ว่าเจียงอีอีจะไม่ขาดใจตาย
หลังจากเอามือไขว้หลังเดินเข้ามาแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวสั่งด้วยเสียงราบเรียบ “ถอยออกไปให้หมด ถ้าข้าไม่ได้สั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา”
“ขอรับ!” ทหารยามข้างนอกเอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกับเยว่เหยาที่อยู่ข้างนอกถึงได้เข้ามา
พอได้เห็นสภาพอนาถของเจียงอีอี เยว่เหยาก็ราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง ดวงตางามเบิกกว้าง ขยับเท้าเดินไม่ได้อยู่นานมาก สุดท้ายก็เอามือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ด้วยปากที่สั่นเทิ้ม แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อ ปัดผยาวมที่ยุ่งปิดคลุมใบหน้าเจียงอีอีออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
“พี่ใหญ่เจียง!” เยว่เหยาอุทานเรียกแล้วเอามือปิดปาก นางโซเซเดินถอยหลัง น้ำตาไหลพรากในชั่วพริบตาเดียว นางส่ายหน้าไม่หยุด ในสายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าพี่ใหญ่เจียงที่สุภาพอ่อนโยนและสง่างามรักอิสระจะโดนทรมานจนมีสภาพเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าได้รับการทรมานมามากขนาดไหน
เสียงเรียก ‘พี่ใหญ่เจียง’ บวกกับปฏิกิริยาของเยว่เหยา ได้ทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวตะลึงค้างแล้วจริงๆ ทั้งคู่มองไปที่นางอย่างระแวงสงสัย นึกไม่ถึงว่าเยว่เหยาจะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้
นอกคุกใต้ดิน เฟยหงมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าคุกใต้ดินไม่มีใครแล้ว ในขณะที่นางกลั้นหายใจและเข้าใกล้อย่างช้าๆ ทันใดนั้นนางก็ตกใจเพราะได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่เจียง’ หลังจากเข้าใกล้ประตูคุกใต้ดินแล้ว นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ตอนที่เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างใน นางก็เฝ้าสังเกตมองโดยรอบไม่หยุดเช่นกัน เตรียมตัวไว้ทุกเมื่อว่าจะแสร้งทำเป็นเดินผ่านมา
ว่ากันตามจริง การกระทำแบบนี้ค่อนข้างอันตราย แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เพราะได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากเบื้องบน ว่าต้องจับตาดูทางนี้เอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติก็ให้รายงานขึ้นไปทันที ถ้าพบเค้าลางว่าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับเจียงอีอี ก็ถึงขั้นเผยตัวตนที่แท้จริงแล้วกดดันได้
เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่เสียดายที่จะให้สาวใช้สองคนรวบรวมคนที่อยู่แถวนี้แล้วให้แยกออกไป
“อือ…” พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เจียงอีอีที่ศีรษะห้อยตกก็เหมือนจะฟื้นขึ้นมาจากสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเงยหน้าช้าๆ สายตาที่พร่าเลือนมองผ่านซอกผม ตรงหน้ามีคนสามคน แต่กลับไม่รู้จักเลยสักคน เขายังนึกว่าตัวเองหูฝาดไว้
เยว่เหยาถอดหมวกออก ดึงหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองทิ้งไป แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “พี่ใหญ่เจียง ข้าเอง”
เจียงอีอีเพ่งสายตาให้หยุดนิด ในดวงตาสองจ้างพลันฉายแววตกตะลึง ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่บิดไปบิดมา จิตใต้สำนึกแทบจะสั่งตะโกนออกมาอย่างอ่อนแรงว่า “เยว่เหยา…เยว่เหยา…รีบหนีไป…รีบหนี…” แต่ไม่นานก็เหมือนว่าจะตระหนักอะไรได้ “เยว่เหยา เจ้า…”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก
“พี่ใหญ่เจียง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพาท่านออกไป!” เยว่เหยาพูดจบแล้วก็จะโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ตัดเชือก แต่ใครจะคิดว่าจะขยับข้อมือไม่ได้ ถูกใครบางคนจับเอาไว้แล้ว นางหันกลับมาเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้ามืดครึ้ม
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” เหมียวอี้สีหน้าแย่มาก ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเยว่เหยากับเจียงอีอีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน เหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่ต่อให้นอนฝันเขาก็คิดไม่ถึง
เหมียวอี้ไม่ได้อยากขัดขวางถ้าเยว่เหยาจะคบหากับผู้ชาย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขาหวังให้เยว่เหยาพบผู้ชายสักคนที่ดีต่อนาง เขาไม่มีทางตอบตกลงให้เยว่เหยาคบกับโจรราคะแบบนี้ต่างหาก โดยเฉพาะโจรราคะที่คิดจะลงมือกับผู้หญิงของเขา!
“ปล่อยข้า!” เยว่เหยาดิ้นรนสุดชีวิต
เหมียวอี้ไฟพิโรธเดือดดาลสามจั้ง รีบจี้สกัดจุดบนตัวนางติดต่อกันหลายครั้ง ผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนางไว้แล้ว จากนั้นโบกมือเหวี่ยงออกไป แล้วชี้นางที่กำลังโซเซถอยหลังพร้อมตะโกนถามว่า “บอกมา! นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ท่านถามข้าว่าเรื่องอะไรเหรอ?” เยว่เหยาชี้เจียงอีอี “เขากับท่านไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมท่านถึงทำร้ายเขาขนาดนี้? ถ้าจะฆ่าคนก็แค่ทำให้ศีรษะตกพื้น ท่านจะฆ่าก็ฆ่าสิ ทำไมต้องทรมานเขาขนาดนี้ พี่ใหญ่ในสายตาของข้าเปลี่ยนเป็นโหดร้ายทารุณแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ท่านทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว! พี่ใหญ่ ตอนนี้ข้ายังเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ ท่านปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้ ให้ข้าพาเขาไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าตัดขาดกับท่าน ตั้งแต่นี้ไปไม่นับท่านเป็นพี่ใหญ่อีก!”
“เอื้อ…” เหมียวอี้เอามือกุมที่หัวใจ ใบหน้าขาวซีด แทบจะหายใจไม่ออก ร่างกายโอนเอนถอยหลังไปหนึ่งก้าว โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสามจะต้องการตัดขาดพี่น้องกับเขาเพื่อโจรราคะคนเดียว คนที่เขาห่วงใยใส่ใจที่สุดกลับเห็นโจรราคะดีกว่าเขา จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!
จะพูดอย่างนี้ก็ได้ ว่าทั้งชีวิตเขาไม่เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจขนาดนี้มาก่อนเลย บางครั้งเขาไม่กลัวแม้กระทั่งความตายด้วยซ้ำ แต่กลับทำใจยอมรับกับสิ่งนี้ได้ยาก
เมื่อเห็นพี่ใหญ่โมโหจนกลายเป็นแบบนี้ เยว่เหยาก็กัดริมฝีปาก นางเริ่มร้อนอกร้อนใจแล้วเช่นกัน ตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะพูดแรงเกินไป
เจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ข้างบนมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
เฟยหงที่อยู่นอกคุกเอามือกุมอก นางกังวลแทบบ้าแล้ว
อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาประคองเหมียวอี้ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบแผ่นหลังเหมียวอี้ ช่วยเขาผ่อนคลายพลังชี้แท้ที่เกือบจะปะทุออกจากเส้นชีพจร จากนั้นใบหน้างามที่เย็นเยียบราวกับน้ำค้างเกาะจ้องเยว่เหยาพร้อมตะคอกว่า “เยว่เหยา เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”
“เรื่องในครอบครัวพวกเรา ถึงคราวที่เจ้าจะมาพูดสอดตั้งแต่เมื่อไรกัน?” พอได้ยินนางถามแบบนั้น เยว่เหยาก็โมโหทันที ชี้อวิ๋นจือชิวแล้วบอกว่า “เจ้า! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พี่ใหญ่ขอข้าจะกลายเป็นแบบนี้เหรอ? เพื่อเจ้า พี่ใหญ่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดตั้งกี่ครั้งแล้ว มีฮูหยินที่ไหนบ้างที่ทำตัวแบบเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า?”
“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวโมโหแทบบ้าแล้ว ขณะกำลังจะก้าวออกไปสั่งสอน นางกลับถูกเหมียวอี้ที่อาการบรรเทาแล้วคว้าแขนเอาไว้แล้วกดลงช้าๆ
อวิ๋นจือชิวโมโหแล้ว “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังปกป้องนางอีกเหรอ?”
“หุบปาก! ข้ารู้ว่าจะจัดการยังไง!” เหมียวอี้โบกแขนผลักนางไปไว้ข้างหลัง
อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า ม้วนแขนเสื้อสองข้าง เผยให้เห็นแขนเล็กเรียวขาวละเอียด จากนั้นก็เท้าเอว เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ดวงตากวาดมองไปทั่ว บุ่มบ่ามอยากจะหาที่ระบายอารมณ์ ท่าทางเหมือนโมโหจนไม่รู้จะไประบายที่ไหน
เหมียวอี้ที่สีหน้าย่ำแย่ชี้ไปทางเจียงอีอี พร้อมถามเยว่เหยาว่า “เจ้าสาม ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ารู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใคร?”
“ข้ารู้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนอื่นที่สาดโคลนใส่เขา!” เยว่เหยากล่าว
“เหอะๆ!” เหมียวอี้โมโหสุดขีดจนหัวเราะประชด “เจ้าตัดสินได้ยังไงว่าคนอื่นสาดโคลนใส่เขา?”
เยว่เหยาก้าวขึ้นมา “พี่ใหญ่ อย่างน้อยก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านที่น่านฟ้าระกาติง ข้ารับรองได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพราะตอนนั้นข้ากับเขาอยู่ด้วยกัน เดินทางไกลด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปก่อคดีที่น่านฟ้าระกาติง นั่นเป็นเพราะมีคนอื่นใส่ร้ายเขาแน่นอน!”
เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง ยังจำเป็นต้องให้นางมาพิสูจน์อีกเหรอ? เหมียวอี้รู้ชัดอยู่แก่ใจยิ่งกว่าใคร หอบหายถามว่า “งั้นข้าถามเจ้าอีก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนคดีน่านฟ้าระกาติง เจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้รึเปล่า?”
“พิสูจน์ได้เรื่องเดียวก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่ามีคนใส่ร้ายเขาจริงๆ!” เยว่เหยาตอบเสียงดัง
“เจ้าอาศัยอะไรมาพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่โจรราคะ?” เหมียวอี้ถามอย่างโมโห
“แล้วพี่ใหญ่หาหลักฐานมาพิสูจน์ได้มั้ยว่าคดีพวกนั้นคือฝีมือเขา?” เยว่เหยาถาม
“เจ้า…” เหมียวอี้ถูกนางยั่วโมโหจนเกินทน เขาจะไปเอาหลักฐานจากไหนมาพิสูจน์ล่ะ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วถามว่า “แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าเขามาทำอะไรที่นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผี? เขาเล็งเป้าหมายมาที่ข้า ต้องรอให้เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ใหญ่ก่อนใช่มั้ย ถึงจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นได้? ต้องให้เกิดเรื่องเศร้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนใช่มั้ย เจ้าถึงจะพอใจ?” ขณะที่พูดเขาเอามือตบหน้าอกอย่างแรง
“…” เยว่เหยาถูกถามจนพูดไม่ออก หันหน้าช้าไปมองเจียงอีอี “พี่ใหญ่เจียง ท่านตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ท่านมาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เจียงอีอีที่ถูกจับแขวนอยู่ข้างบนเงียบงัน ว่ากันตามจริง เขาตกตะลึงมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ในนี้ราวกับซ่อนความลับเอาไว้มากเกินไป
ที่ด้านนอกคุก เชียนเอ๋อร์ที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาพลันถอยหลัง นางซ่อนตัวแล้วโผล่หน้าไปมองทางคุกใต้ดินแวบหนึ่ง จากนั้นถอยหลังช้าๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในคุกหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟัง สีหน้าโมโหเดือดดาลหายไปในชั่วพริบตาเดียว นางรีบเหลือบมองไปทางประตูคุก แล้วก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง
…………………………