พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1597 เวรกรรมตามสนอง
การพูดอะไรแบบนี้ได้ออกมาในเวลาแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน รู้ว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากความตาย ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ เขาไม่มีความสนิมสนมใดๆ กับคนอื่น คนเดียวที่เขาจะขอร้องได้ก็คือเยว่เหยา
ในขณะที่เยว่เหยาซาบซึ้งใจ นางก็รู้สึกเจ็บช้ำยิ่งกว่า อีกฝ่ายยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นสายสืบของสมาคมวีรชนจริงๆ “เจ้าเข้าใกล้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรเพราะสมาคมวีรชนส่งมาจริงเหรอ?”
“ใช่…” เจียงอีอีลากเสียงยาว “เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในใต้หล้ามีสถานที่ฝึกตนลับที่กระจายอยู่สิบแห่งถูกโจมตี มีคฤหาสน์ มีบ้านชาวนา มีอารามเต๋า มีท่าเรือ มีหมู่บ้าน…ตอนแรกเบื้องบนก็ยังไม่สนใจ ถึงยังไงใต้หล้าก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ การรบราฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ จะให้ตรวจสอบทุกอย่างก็คงตรวจสอบไม่ไหว ตอนหลังได้รวบรวมข่าวจากแต่ละแห่ง พบว่ามีสถานที่สิบแห่งโดนโจมตีพร้อมกัน สิ่งนี้ทำให้สมาคมวีรชนสงสัยทันที พอสืบดูเบื้องลึก สิ่งที่แปลกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะหาตัวผู้ร้ายไม่พบเลยสักแห่ง สถานที่ที่กระจายอยู่ในใต้หล้า แต่โดนจู่โจมพร้อมกัน ทั้งยังหาตัวคนร้ายไม่พบ สิ่งนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของสมาคมวีรชน สืบอยู่หลายปีแต่ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไร ถึงได้เริ่มล้มเลิกทีละนิด”
เมื่อเล่ามาแบบนี้ เหมียวอี้ที่ถูกความโกระโจมตีหัวใจก็สบตากับอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างก็รู้สึกคุ้นๆ กับสถานการณ์ที่เจียงอีอีเล่า
เยว่เหยาค่อนข้างสะเทือนใจ หายใจถี่พร้อมถามว่า “ในเมื่อล้มเลิกแล้ว ท่านมาข้าทำไม?”
เจียงอีอีถอนหายใจ “เยว่เหยา บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้างดงามเกินไป สะดุดตาเกินไป ทำให้คนติดตาตรึงใจ มีคนของสมาคมวีรชนเห็นเจ้าตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว ไม่กี่ร้อยปีหลังจากนั้นก็มีคนบังเอิญพบว่าเจ้าที่เคยอยู่บ้านพักภูเขาสันติภาพที่ถูกทำลายไปมาโผล่อยู่บริเวณบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร สายข่าวของสมาคมวีรชนเพ่งความสนใจไปที่บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรอีกครั้ง เดิมทีก็ไม่มีอะไร แค่อยากจะอาศัยเบาะแสนี้สืบหาความจริงของเรื่องในครั้งนั้น แต่กลับพบว่าบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรภายนอกผ่อนปรนแต่ภายในเข้มงวด ป้องกันแน่นหนามาก ไม่ว่าวิธีการอะไรก็ใช้มาหมดแล้ว แม้แต่กลยุทธ์สาวงามก็ใช้ไปแล้ว แต่กลับไม่มีทางเข้าไปสัมผัสได้เลย บ้านพักบนภูเขาเล็กๆ หลังหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเตรียมป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ เลยทำให้สมาคมวีรชนเกิดความสนใจอย่างเข้มข้นทันที เมื่อเห็นว่าลงมือกับผู้ชายในบ้านพักไม่ได้ผล ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ผู้หญิงอย่างเจ้าแทน เดิมทีภารกิจแบบนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของข้า ข้าเองก็ไม่อยากรับภารกิจนี้เหมือนกัน เพราะตัวข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวสำคัญเยอะเกินไป ไม่สะดวกจะเปิดเผนตัวตนมากนัก แต่สมาคมวีรชนกลับมาหาข้า ให้เหตุผลว่าข้ามีประสบการณ์รับมือกับผู้หญิง สาเหตุรองเป็นเพราะต่อให้ตัวตนของข้าถูกเปิดโผง แต่ก็ไม่ถึงแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะข้าคือโจรราคะเจียงอีอี ผู้ร้ายเลืองชื่อตามประกาศจับของตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนอธิบายต้นสายปลายเหตุชัดเจนแล้ว หลังจากเตือนจุดที่ข้าต้องระวังให้มากๆ แล้ว ข้าถึงได้รู้ต้นเหตุของเรื่องราว และจำเป็นต้องตอบรับภารกิจครั้งนี้”
เยว่เหยาที่ดิ้นรนอยู่ในมือเชียนเอ๋อร์ร่างกายโอนเอน “ท่านหลอกลวงข้ามาตลอด!”
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีผู้ชายสักคนงัดหัวใจนางได้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่คนหลอกลวงคนหนึ่ง ล่อให้นางเข้าไปติดกับดักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นางเองก็ไม่ได้โง่ แต่กลับวิ่งชนกับดักความรักจนถอนตัวลำบาก กลายเป็นเหมือนคนโง่คนหนึ่ง ตอนนี้ได้สติขึ้นกะทันหันและเข้าใจความจริงแล้ว เกรงว่าคนนอกคงไม่เข้าใจรสชาตินี้
ความรู้สึกของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกลับทั้งซับซ้อนทั้งตกตะลึง ในที่สุดก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว
พูดไว้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะคิดไม่ออกว่าใครเป็นคนวางแผนให้คนของปราสาทดำเนินนภาไปล้างเลือดข่มขู่ห้าลัทธิ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้เอง ต่อให้นอนฝันเหมียวอี้ก็นึกไม่ถึงว่าการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้นได้ทำร้ายเจ้าสามแล้ว คนที่ทำให้เจ้าสามตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็คือเหมียวอี้เอง บอกได้เลยว่าเวรกรรมตามสนอง
ในตอนนี้เหมียวอี้ตกอยู่ในความแค้นเคืองและเสียใจทีหลังถึงขีดสุด ในขณะที่แค้นเคืองก็ตกตะลึงด้วย ตกตะลึงในทักษะการสืบเสาะอันเก่งกาจของสมาคมวีรชน วันนี้นับว่าได้รับบทเรียนแล้ว
อวิ๋นจือชิวเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ นางเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง จับข้อมือของเหมียวอี้ที่กำลังค่อยๆ ถือกระค้ำพื้นเอาไว้ นางปลอบโยนเขา
ถึงแม้วันนี้เหมียวอี้จะใส่อารมณ์กับนางหลายครั้ง แต่นางก็สามารถเข้าใจได้
เจียงอีอีบอกว่า “ถ้าจะบอกว่าตอนแรกข้ามีจุดประสงค์ไปหลอกลวงเจ้า ข้ายอมรับ แต่หลังจากนั้นข้าไม่ได้หลอกเจ้า ข้าปกป้องเจ้ามาตลอด บางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาผ่านไปนานแล้วเกิดความผูกพัน ถึงยังไงก็อยู่ด้วยกันหลายรอยปี ถ้าข้าจะบอกว่าข้าชอบเจ้าจริงๆ เจ้าก็อาจจะไม่เชื่อ”
“ข้าไม่เชื่อ!” เยว่เหยาที่ร้องไห้จนตาพร่ากล่าวเสียงดัง
เจียงอีอีบอกอีกว่า “ที่จริงตอนที่ข้ากับเจ้าประมือกันแล้วข้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ข้าก็สืบพื้นเพของเจ้าได้บ้างแล้ว ข้าเริ่มสงสัยในตัวตนของเจ้านิดหน่อย ถึงแม้เจ้าจะจงใจปิดบัง แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็คือผู้เหลือรอดของหกลัทธิ เจ้าคงจะฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของลัทธิเซียน หนึ่งในหกลัทธิ!”
พอเขากล่าวแบบนี้ สายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่บนตัวเขาแล้ว ตกตะลึงพรึงเพริด!
เยว่เหยาตะลึงค้างแล้ว!
เจียงอีอีพูดต่อ “การที่สมาคมวีรชนจะฝึกเลี้ยงคนอย่างข้าออกมาได้สักคน ก็ใช้กำลังความคิดไปแล้วไม่น้อย รวบรวมประสบการณ์ความรู้ของคนรุ่นก่อนกรอกเข้ามาในหัวข้ามากหมาย เป้าหมายก็เพื่อให้ข้าปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากเดาภูมิหลังของเจ้าได้คร่าวๆ แล้ว ที่จริงภารกิจของข้าก็จบลงนานแล้ว ข้าสามารถรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปได้เลย ตำหนักสวรรค์จะส่งกำลังพลมากวาดล้างพวกเจ้าทันที หรือไม่ก็นำตัวพวกเจ้าไปสอบสวน ตอนหลังก็ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ทักษะเหนือชั้นที่ตำหนักสวรรค์แสดงออกมาก็ได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงอีกครั้ง ทำให้คนตระหนักได้ถึงฉากอันน่าหวาดกลัวไม่รู้จักจบจักสิ้นที่อยู่เบื้องหลังตำหนักสวรรค์ เหมือนสัตว์ประหลาดดุร้ายตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด
“แล้วทำไมท่านไม่รายงานขึ้นไป ทำไมต้องเสี่ยงอันตรายต่อไป?” เยว่เหยาถามอย่างผิดหวัง
เจียงอีอีตอบว่า “เพราะว่าเห็นแก่เรื่องส่วนตัว ข้ารู้ว่าอาศัยกำลังของข้าไม่สามารถหลุดพ้นจากตัวละครใหญ่อย่างสมาคมวีรชนได้ และยิ่งไม่มีทางช่วยน้องสาวข้าให้หลุดจากเงื้อมมือสมาคมวีรชนได้ด้วย แต่หกลัทธิของเจ้ามีศักยภาพนั้น! เหมือนกิ้งกื้อที่ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่ง ถึงยังไงหกลัทธิก็เป็นอำนาจเพียงไม่กี่ฝ่ายในใต้หล้าที่สามารถคานอำนาจกับตำหนักสวรรค์ได้! หลังจากสังเกตได้ว่าเจ้าเป็นคนของหกลัทธิ ข้าก็ถึงขั้นตื่นเต้นดีใจ แล้วก็กังวลใจนิดหน่อยด้วย คิดว่าตัวเองหาทางออกได้แล้ว เจอความหวังที่จะแก้ปัญหาให้ตัวเองได้แล้ว ข้าก็เลยไม่ได้รายงานขึ้นไปเบื้องบนว่าข้าค้นพบอะไร แต่กลับช่วยปัดความรับผิดชอบกับเบื้องบนมาตลอด ข้ากำลังคุ้มครองพวกเจ้า คลุกคลีอยู่กับพวกเจ้าอย่างระวังตัวเสมอมา หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดก็คือเริ่มลงมือกับเจ้า ตอนแรกข้าก็ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนหลังข้าสับสน ตอนที่ข้าเข้าใกล้เจ้าข้าก็กลัว กลัวว่าข้าจะหลอกใช้เจ้าอีก ถึงขั้นอยากจะล้มเลิก อยากจะหนีไป”
ในตอนนี้เอง เยว่เหยาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ยืนเหม่อลอยมึนงงอยู่อย่างนั้น นึกขึ้นได้ถึงวันที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ที่จริงนางก็รู้สึกได้ว่าเขาหวั่นไหวกับนางแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่เขาบอกว่ารักษาระยะห่างและหลบเลี่ยง นางรู้เช่นกันว่าตัวเองหวั่นไหวกับเขาแล้ว ถ้าเขาต้องการจะครอบครองนาง นางก็รู้ว่านางไม่มีทางปฏิเสธได้ นางจะมอบร่างกายให้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
“ตอนหลังข้าก็ได้รับภารกิจในครั้งนี้อีก นับว่าข้าโล่งใจ รู้สึกว่าสามารถตัดขาดได้แล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะจากเจ้าไป ขณะเดียวกันข้าก็ให้คำตอบยืนยันกับเบื้องบนไปแล้วด้วย ว่าสืบแล้วไม่พบปัญหาอะไรที่บ้านพักภูเขาธาราวิจิตร แต่พวกเจ้าก็จะอยู่ที่นั่นนานไม่ได้นะ แต่ถ้าจะย้าย ก็จะรีบร้อยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้สมาคมวีรชนสงสัย ค่อยๆ ย้ายและหายตัวไปเถอะ” เจียงอีอีกล่าว
เยว่เหยาที่ยังมีคราบน้ำตาติดใบหน้าแสยะยิ้ม “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อท่านเหรอ? จุดประสงค์ที่ท่านพูดแบบนี้ ก็คงอยากจะให้ข้าซาบซึ้งใจล่ะสิ ข้าจะได้รับปากช่วยน้องสาวท่าน ท่านคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าข้าจะตกหลุมพรางซ้ำสองเหรอ?”
เจียงอีอีก้มศีรษะลงช้าๆ ไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก เขารู้ว่าเรื่องบางเรื่องแค่พูดรอบเดียวก็เพียงพอแล้ว หากอีกฝ่ายจะช่วยก็ย่อมช่วยเอง แต่ถ้าไม่ช่วย ต่อให้เจ้าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองกอดความหวังไว้เล็กน้อยเท่านั้นเอง
เยว่เหยาไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน หันตัวเลี้ยวออกไปเลย เดินออกไปนอกประตูคุกอย่างเงียบๆ ท่าทีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโยนเจียงอีอีให้เหมียวอี้ ให้เหมียวอี้จัดการเองตามเห็นสมควร
อวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้เชียนเอ๋อร์ เชียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ รีบตามออกไปแล้ว
หลังจากในคุกเงียบสงบลง จู่ๆ เจียงอีอีก็ถามว่า “ข้าแปลกใจมาก พวกเจ้ามีสถานะตัวตนยังไงกันแน่?”
แกร๊ง! เหมียวอี้ถือกระบี่นแนวนอน ใช้นิ้วดีดบนตัวกระบี่หนึ่งที แล้วถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้ายังจำเป็นต้องรู้อีกเหรอ?”
“ก็ใช่!” เจียงอีอีคอตกอีกครั้ง “ปล่อยให้ข้าไปสบายเถอะ!”
จิตสังหารวับวาบในดวงตาเหมียวอี้ ทันใดนั้นกระบี่ก็แทงกลับไปทางหัวใจของเจียงอีอี แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือไว้ เขาจึงหันกลับมา แล้วจ้องอวิ๋นจือชิวพร้อมถามอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าอยากจะให้ข้าปล่อยเขาไปเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไง อย่างน้อยก็ตายด้วยน้ำมือเจ้าไม่ได้ ส่งให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้า เจ้าไปหาน้องสาวตัวเองเถอะ”
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบประชด “จะไปหานางทำไม นางหาเรื่องใส่ตัวเอง!”
คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้ารึไง? อวิ๋นจือชิวหลอกตามองบน แย่งกระบี่มาจากมือกระบี่ แล้วบอกว่า “เจ้าอย่าเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจ เวลาที่ผู้หญิงมีความรักครั้งแรก ผู้หญิงไม่มีสติสัมปชัญญะกับเรื่องแบบนั้นหรอก ไม่ใช่สติปัญญาไตร่ตรองปัญหาเลย เมื่อตกอยู่ในกับดักความรักก็ทำเรื่องโง่ๆ พูดอะไรโง่ได้ง่าย ข้ากับเฟิงเสวียนในปีนั้นก็เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางเลย แล้วอีกอย่าง ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง ก่อนหน้านี้เฟยหงมาแอบฟังพวกเราคุยกันที่หน้าคุก ข้าให้เหยียนซิวควบคุมนางไว้แล้ว กระดาษหน้าต่างที่กั้นระหว่างพวกเจ้า ต่อให้ไม่อยากเจาะก็ต้องเจาะแล้ว”
เหมียวอี้ตกใจทันที เบิกตากว้างมองนาง เบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จจริงๆ ด้วย
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ไม่ต้องทำตาโตขนาดนั้น! นี่ก็นับเป็นเรื่องในบ้านเหมือนกัน ตามธรรมเนียมเดิม ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน เรื่องเฟยหงเจ้าไม่ต้องยุ่ง ส่งให้ข้าจัดการเอง ข้าจะหาทางจัดการให้ดี ถ้าตอนไหนต้องให้เจ้ามาแทรกแซง ข้าค่อยไปหาเจ้าอีกที เอาล่ะ ไปดูเจ้าสามของเจ้าเถอะ ตอนนี้นางคงเป็นทุกข์มาก” อวิ๋นจือชิวผลักเขา
นางผลักเหมียวอี้จนออกไปจากคุกใต้ดิน เสร็จแล้วถึงได้เดินเนิบนาบกลับมา ถือกระบี่ปัดผมที่บังใบหน้าเจียงอีอี แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ทิ้งจดหมายไว้สักฉบับสิ จดหมายที่สามารถยืนยันตัวตนน้องสาวเจ้าได้ เมื่อถึงตอนนั้น น้องสาวเจ้าจะได้เชื่อว่าพวกเราคือคนที่เจ้าฝากฝังให้มาช่วยชีวิตนาง”
“เจ้ายินดีช่วยชีวิตนางจริงเหรอ” เจียงอีอีพลันเงยหน้า
“จะช่วยได้หรือเปล่า ข้าก็ไม่กล้ารับประกันหรอก บอกได้เพียงว่าถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย ข้าก็จะรักษาสัญญานี้” อวิ๋นจือชิวถือกระบี่นอนอยู่ในมือ นิ้วอันเรียวขาวลูบไล้บนคมกระบี่เบาๆ ตัวกระบี่สว่างจนส่องสะท้อนตัวคน สามารถมองเห็นเงาตัวเองได้ “เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว ข้าปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้หรอก ต่อให้คนของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ข้าก็รับรองได้ว่าเจ้าจะไม่ได้รอดออกจากตลาดผีไป เจ้าคงจะเข้าใจนะ ว่าตระกูลโค่วจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อไม่ให้เจ้าออกไปพร้อมความลับนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากฆ่าเจ้า”
“หมายความว่ายังไง?” เจียงอีอีถาม
อวิ๋นจือชิวพลันจ้องเงาสะท้อนของตัวเองบนตัวกระบี่ แล้วกล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “ข้าแค่มีเรื่องบางเรื่องอยากจะเตือนเจ้าไว้สักหน่อย ว่าหลังจากเจ้าตายไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางยืนยันได้ว่าเจ้าเผยความลับอะไรไปบ้าง ภายใต้ความเดือดดาล ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรกับน้องสาวเจ้าบ้าง กอปรกับตัดขาดการติดต่อทางจดหมายแล้ว ทางสมาคมวีรชนก็จะไม่มีวิธีการอะไรมาควบคุมน้องสาวเจ้าอีก ดังนั้นข้าจึงอยากจะปรึกษาเจ้าเกี่ยวกับวิธีการตายที่มีประโยชน์ พยายามหาเงื่อนไขที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อน้องสาวเจ้าที่สุด…
…………………………