พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1598 เจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง
พอเดินมาถึงประตู เหมียวอี้ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่อัดอั้นไปด้วยความเศร้าโศก เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป
เยว่เหยานอนหมอบตะแคงอยู่บนเตียง เอาหน้าซุกเข้าไปในผ้าห่มและร้องไห้อย่างเจ็บปวด เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันก็กำลังช่วยลูบหลังให้นางเบาๆ นางหันกลับมามองเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาข้างใน
เหมียวอี้ยืนมองอยู่ตรงประตูเงียบๆ ในขณะที่มองดูน้องสาวร้องไห้อย่างเจ็บปวด ในหัวเขาก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว…ท่ามกลางเสียงลมหนาวอันโหดร้าย เจ้าสามที่อยู่ในผ้าห่มผืนบางกำลังสูดจมูกที่มีน้ำมูกไหลอย่างน่าสงสาร นางร้องบอกว่า พี่ใหญ่ ข้าหิว!
เรื่องในอดีตไม่อาจย้อนคืนมาได้แล้ว ชั่วพริบตานั้นเหมียวอี้รู้สึกปวดใจ ตาแดงก่ำทันที เขาหลับตาลงด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเข้าไปปลอบใจหรือทำอะไรดี
พอนึกขึ้นได้ว่าหลายปีมานี้ตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ของพี่ใหญ่ให้เต็มที่ อีกทั้งการที่น้องสาวเจ็บปวดใจขนาดนี้ก็เป็นเพราะการตัดสินใจในตอนแรกของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาที่สั่งให้ปราสาทดำเนินนภาลงมือ เจ้าสามก็คงไม่ต้องถูกโจรราคะนั่นหยามเกียรติ
เขาหลับตาเงยหน้าอยู่นานมาก แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาหันตัวสาวเท้าเดินออกจากห้องนั้นไป รีบเดินไปทางคุกใต้ดิน
ระหว่างทางบังเอิญเจออวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบเข้ามาราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมียวอี้หัวใจสั่นสะท้าน สองสามีภรรยาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกัน
เมื่อเห็นเขาตาแดงก่ำ อวิ๋นจือชิวก็ถามหยั่งเชิงว่า “เป็นอะไรไป? แล้วเจ้าสาม…”
“เจ้า…ฆ่าเขาแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างปวดแปลบหัวใจ
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วตอบว่า “ถ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับหน่วยตรวจการขวายังไง? เจ้าไปมีเรื่องกับเกาก้วนไหวเหรอ?”
พอได้ยินว่ายังไม่ได้ฆ่า เหมียวอี้ก็เดินหลบนาง เดินไปทางคุกใต้ดินต่อ
อวิ๋นจือชิวพลิกมือมาข้างหลังแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้ ดึงเขาพร้อมถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวอี้หันหลังตอบว่า “ขอเพียงเขารับประกันว่าต่อไปนี้เขาจะดีกับเจ้าสาม เรื่องก่อนหน้านี้ข้าก็จะปล่อยผ่านไป…ข้าจะปล่อยเขาไปก็ได้”
อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางรู้นิสัยผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว นางถึงได้ไล่เขาไปก่อน นางเดินอ้อมมาขวางหน้าเขาไว้ นางจ้องตาเขาด้วยสายตาลึกล้ำ “รับประกันเหรอ? รับประกันยังไง? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมารึเปล่า? เคยคิดถึงชีวิตตัวเองกับคนในครอบครัวบ้างรึเปล่า เจ้ารับประกันได้มั้ยว่าทุกคนจะหนีทัน?”
“พวกเรารู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว ก็เท่ากับบีบจุดอ่อนของเขาได้ เขาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วหรอก” เหมียวอี้กล่าว
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ปล่อยเขาไปเหรอ แล้วเจ้าจะอธิบายกับหน่วยตรวจการขวายังไง? ศิษย์อสุราอัคนีแล้วยังไงล่ะ ตอนนี้เจ้ากำลังพึ่งพาตระกูลโค่ว ประมุขชิงไม่ถือสาที่จะหาข้ออ้างมาฆ่าเจ้าหรอก!”
เหมียวอี้ทำสีหน้าสับสนปนขมขื่น “แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ? ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าสามจะเจอผู้ชายสักคนที่ตัวเองชอบ ถ้าส่งเจียงอีอีให้ตำหนักสวรรค์ เกรงว่าตำหนักสวรรค์คงไม่ปล่อยให้เขารอดไปง่ายๆ ถ้าส่งเจียงอีอีไปรนหาที่ตายโดยไม่ทำอะไรเลย ถึงตอนนั้นเจ้าสามจะไม่แค้นข้าไปทั้งชีวิตเลยเหรอ?”
“เฮ้อ! เจ้านี่นะ ถ้าเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเจ้าก็เลอะเลือนทุกที” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าอย่างจนใจ ดึงแขนเขากลับมา “กลับกันเถอะ ข้าเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้า กับเจ้าสาม กับตำหนักสวรรค์”
“จะให้คำอธิบายยังไง?” เหมียวอี้ที่แทบจะถูกกลับไปเอ่ยถาม
“ทีแรกก็อยากจะบอกเจ้า แต่ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเจ้ายังไงดีล่ะ? ข้าจะตัดสินใจเรื่องนี้เอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าบอกว่าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้า ข้าก็จะทำอย่างนั้น ไม่ทำให้เจ้ากับเจ้าสามลำบากใจหรอก มองข้าทำไม คิดว่าข้าหลอกเจ้าเหรอ?”
“ไม่ใช่ เจ้าพูดไม่ชัดเจน ข้าไม่มีความมั่นใจ เจ้า…”
“นี่! สงสัยเจ้าจะไม่เชื่อข้าจริงๆ สินะ ให้มันได้อย่างนี้สิ น้องสาวเจ้าต่างหากที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกับเจ้า พอเทียบกับน้องสาวเจ้าแล้ว เมียอย่างข้าก็เป็นแค่คนนอก หนิวเอ้อร์ นับว่าวันนี้ข้ามองเจ้าทะลุปรุโปร่งแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ สงสัยจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่ซะแล้ว ไปอยู่กับน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าไป!” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าโมโห ปล่อยมือเขาแล้วสะบัดแขนเสื้อหันตัวหนี ก่อนจะรีบเดินบิดเอวจากไป
“ฮูหยิน เจ้ารอก่อน ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหมียวอี้รีบตามมาดึงนางแล้ว
“อย่ามาเล่นลูกไม้ เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ในคุก ใครกันที่บอกให้ข้าไสหัวไป? ลูกไม้ตื้นๆ ของเจ้าข้ามองออกแล้ว เล่นจนเบื่อแล้ว เห็นข้าแล้วขัดลูกตาจนอยากเปลี่ยนคนใหม่แล้วสินะ? ผู้ชายก็สันดานนี้กันหมด ได้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา เดี๋ยวกลับไปข้าจะส่งหนังสือหย่าไปให้เจ้า ข้ารับได้!” อวิ๋นจือชิวสะบัดมือเขาออก
เหมียวอี้ปวดประสาทแล้วจริงๆ ทางเจ้าสามก็เกิดเรื่อง ทางเฟยหงก็มีเรื่องโดนเปิดโปง ตอนนี้ยังมาขอหย่าอีก เขาพบว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เบาใจได้เลยสักคน เขาก้าวยาวรวดเดียวไปดึงมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วถอนหายใจบอกว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
อวิ๋นจือชิวหันตัวมาถามแสกหน้า “หนิวเอ้อร์ อย่ามาปลอม ข้าถามเจ้าคำเดียวว่าเจ้าเชื่อข้ารึเปล่า!”
เหมียวอี้หันกลับไปมองทางคุกใต้ดิน อวิ๋นจือชิวยื่นมือมาช้อนหน้าเขาไว้ จับศีรษะเขาหันมามองตน “เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนี่”
“งั้นก็ดี ทำอย่างกับข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นแหละ ไปเถอะ อย่ามาทำตัวเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างแถวนี้” อวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือเขาแล้วจูงเดินจากไป
นางจูงเหมียวอี้กลับมาถึงในห้องของเชียนเอ๋อร์ที่เปิดประตูอยู่ ขณะมองดูเยว่เหยานอนร้องไห้ไหล่สั่นอยู่บนเตียงไม่หยุด นางก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ร้องไห้ออกมาได้ก็ดีแล้ว ถ้าอัดอั้นไว้ในใจไม่ระบายออกมา แบบนั้นสิเก็บกดของจริง”
“ข้าไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงอย่างพวกเจ้าหรอก อย่ามัวแต่ดูเอาสนุกอยู่ตรงนี้ ไปช่วยกันโน้มน้าวหน่อย” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอก
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเนิบนาบไปข้างเตียง อุทานเรียกแล้วพูดจาคลุมเครือแปลกๆ ว่า “ข้าก็นึกว่าใครมาร้องไห้เศร้าโศกขนาดนั้น ปกติฝีปากกล้าวาจาคมนักไม่ใช่เหรอ ตอนแรกก็ไม่รู้นะว่าใครมันหัวเราะเยาะข้า พอมาดูตอนนี้สิ ก็แค่งั้นๆ เอง จุจุ เสียใจขนาดนี้เพราะโจรราคะคนเดียว น่าอายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้านับว่ายอมแพ้เจ้าแล้ว ต่อไปอย่ามาปากดีต่อหน้าข้าอีกนะ”
นี่เรียกว่าโน้มน้าวคนเหรอ? เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน รีบก้าวขึ้นไปดึงแขนเสื้ออวิ๋นจือชิวเบาๆ
“จะมาดึงมาฉุดทำไม?” อวิ๋นจือชิวตบปัดมือของเขาออกไป “หรือนางว่าคนอื่นได้ แต่คนอื่นว่านางไม่ได้ นับเป็นลูกศิษย์สำนักไหนกัน? เรื่องที่น่าไม่อายก็ทำมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้คนอื่นว่างั้นเหรอ? ถ้าเก่งนักก็เขาหัวโขกพื้นให้ตายไปสิ ไม่ต้องมาแสร้งเรียกร้องขอความเห็นใจหรอก?”
“เจ้า…” เหมียวอี้พูดดักอย่างโมโห
เยว่เหยาที่นอนหมอบปาดน้ำตาแล้ว นางลุกขึ้นนั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องอวิ๋นจือชิว เรื่องเศร้าเสียใจเหมือนจะหายไปแล้ว เหมือนไฟโกรธจะโหมขึ้นมาอีกแล้ว
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวอุทานดูถูกเบาๆ เชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ มองข้ามความโกรธของเยว่เหยา หันตัวเดินออกไปเบาๆ อย่างนั้นแล้ว
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะช่วยคนไหนดี ไม่รู้จะพูดกับใคร ได้แต่มองเชียนเอ๋อร์ แต่เชียนเอ๋อร์ก็ทำสีหน้าจนใจเช่นกัน
“เชียนเอ๋อร์!” ด้านนอกมีเสียงเรียกของอวิ๋นจือชิว
“ค่ะ!” เชียนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไปโดยก้มหน้าหลบสายตาเหมียวอี้ พอออกไปถึงข้างนอก อวิ๋นจือชิวก็สั่งด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ดูแลน้องสามีคนนี้ให้ดีล่ะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามให้นางออกไป คนเยอะตาเยอะ”
เชียนเอ๋อร์กล่าวเสียงอ่อนว่า “ฮูหยิน ขังนางไว้แบบนี้คงไม่ดีมั้งคะ เกรงว่านายท่านคงจะไม่ยอม”
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “พอเผชิญกับเรื่องนี้ เขาก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง อย่าไปสนใจเขา ถ้าเขาไม่ยอมก็ไปหาข้า ถ้าอยากจะเถียงกันข้าก็จัดให้! ขังไปก่อน รอให้น้องสามีคนนี้อารมณ์สงบลงก่อน รอให้สมองโล่งก่อน พอสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากัน ถ้าตอนนี้ให้นางเพ่นพ่านไปทั่วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เชียนเอ๋อร์พยักหน้า
ในห้องนอน เยว่เหยาที่นั่งอยู่บนเตียงก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ หลังจากเชียนเอ๋อร์เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ส่งสายตาให้นาง พอใบ้ว่าให้ดูแลให้ดี ก่อนหน้านี้สองพี่น้องพูดจาดุร้ายใส่กันไปหมดแล้ว คนหนึ่งบอกว่าไม่มีน้องสาวแบบนี้ อีกคนบอกว่าไม่ยอมรับพี่ใหญ่แบบนี้ ตอนนี้เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงหันตัวเดินออกไปแล้ว
ตอนนี้เฟยหงกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเงียบๆ ในมือกำลังถือหวีสางปอยผมสองข้าง ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับกระวนกระวาย
เหยียนซิวก็อยู่ในห้องเช่นกัน ถึงแม้จะยื่นเงียบอยู่ข้างประตู และประตูก็เปิดอยู่ดูแล้วไม่น่าจะมีเจตนาร้ายอะไร แต่ตั้งแต่ที่นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อมา ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายบุกเข้ามาถึงในห้องนอนของนางเลย
เคยถามแล้วว่าเพราะอะไร เคยด่าว่ากำเริบเสิบสานแล้วเช่นกัน แต่เหยียนซิวก็ยังยืนยันคำเดิม บอกว่าได้รับคำสั่งให้มาปกป้องนาง!
นางหยิบระฆังดาราออกมาเพื่อจะติดต่อเหมียวอี้ แต่ผลปรากฎว่าเหยียนซิวยื่นมือมาแย่งระฆังดาราของนาง ไม่ให้โอกาสนางติดต่อกับภายนอก
ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเหยียนซิวกำลังจับตาดูนางอยู่ สิ่งนี้ทำให้นางกังวลใจถึงขีดสุด แต่ก็ยังพยายามแสร้งทำใจเย็น
แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไร อวิ๋นจือชิวก็นำเสวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสนิทสนม เหยียนซิวย่อตัวคำนับเล็กน้อย
“ฮูหยิน!” เฟยหงวางหวีลงและลุกขึ้นยืนทันที ราวกับค้นพบดาวช่วยชีวิต รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ แล้วชี้เหยียนซิวพร้อมฟ้องด้วยสีหน้าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฮูหยิน เหยียนซิวคนนี้แหกกฎเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะบุกเข้ามาในห้องนอนของข้าคนเดียว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้…” นางฟ้องทุกการกระทำของเหยียนซิว
“ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก เกิดเรื่องขึ้นในจวนแม่ทัพภาคนิดหน่อย ข้าสั่งให้เขามาปกป้องเจ้าเอง” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเอง แล้วหันกลับมาเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวอีก
เหยียนซิวเข้าใจ จึงทำความเคารพแล้วถอยออกไป พร้อมทั้งถือโอกาสปิดประตูและยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก
ส่วนเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวก็โบกมือ โยนผู้หญิงสองคนที่อยู่ในสภาพสลบลงบนพื้น พวกนางคือสาวใช้ทั้งสองของเฟยหงนั่นเอง
เฟยหงตกใจทันที บนใบหน้าฉายแววหวาดกลัว ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังสงบนิ่งได้ นั่นก็เป็นเพราะแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังของนาง ตอนนี้ลงมือแม้กระทั่งกับสาวใช้ของนางแล้ว เรื่องบางเรื่องนั้นชัดเจนแล้วจริงๆ แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว เบื้องหลังของนางไม่น่าจะถูกเปิดโปงได้สิ อย่างมากก็แค่โทษที่นางแอบฟังเรื่องที่ไม่ควรฟัง ตัวเองสามารถอ้างได้อยู่แล้วว่าเดินผ่านมาเลยถือโอกาสฟังเฉยๆ ดังนั้นนางจึงพยายามทำตัวใจเย็น บนใบหน้าฉายแววอับอายปนโมโหเล็กน้อย “ฮูหยิน ข้าไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร? ข้าจะไปขอความยุติธรรมจากนายท่านค่ะ!” พูดจบก็ต้องการจะฝืนบุกออกไป
“น้องสาว!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือออกมาขวาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “หลายปีมานี้ เจ้าก็น่าจะรู้นะ ว่าข้ายังเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน นายท่านก็มีงานของนายท่าน เรื่องระหว่างผู้หญิงในบ้านกับงานเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ไม่จำเป็นต้องเอาไปรบกวนให้นายท่านรำคาญใจหรอก หรือน้องสาวคิดว่าฮูหยินเอกอย่างข้ามีไว้ประดับฐานะเฉยๆ มายุ่งกับเจ้าไม่ได้?”
“หลายปีมานี้ข้ายอมรับว่าข้าก็เคารพเชื่อฟัง ไม่เคยต่อต้านฮูหยินเลย และไม่เคยทำเรื่องที่แย่งชิงความรักหรือล่วงเกินฮูหยินด้วย ฮูหยินให้ข้าทำอะไร ข้าก็ไม่เคยต่อรอง เคารพฮูหยินมาตลอด” เฟยหงชี้ไปยังสาวใช้สองคนที่นอนอยู่บนพื้น “แต่เฟยหงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปทำอะไรให้ฮูหยินไม่พอใจกันแน่ ทำไมต้องหยามกันขนาดนี้คะ ข้าจะไปมวงความยุติธรรมจากหัวหน้าครอบครัวไม่ได้เชียวหรือ?”
อวิ๋นจือชิววางมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้อง แล้วเดินเนิบนาบผ่านข้างกายนางไป ขณะมองประเมินสิ่งของประดับตกแต่งในห้อง ก็หันหลังพูดกับนางว่า “จะบอกว่าแย่งความรักอะไรนั้นน่ะ เจ้าพูดเกินไปหน่อยรึเปล่า ข้าอยู่ในฐานะฮูหยินเอก จำเป็นต้องไปแย่งชิงด้วยเหรอ? ถ้าแม้แต่ความมั่นใจในตัวเองเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่มี ข้าก็คงไม่แต่งงานกับเขาหรอก น้องสาว ข้าคิดแบบนี้มาตลอด ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่เดินเข้าประตูบ้านเดียวกันหรอก ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้านนี้ การดูแลเรื่องภายในบ้านเพื่อให้นายท่านทำงานข้างนอกอย่างสงบใจนั้นเป็นหน้าที่ของข้า ถ้ามีคนนอกเสนอหน้ามาก่อความวุ่นวายจนไก่กับสุนัขในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข นั่นก็เป็นความผิดของข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากทำเรื่องบางเรื่องให้ชัดเจน ข้าอยากรู้ว่าหัวใจของน้องสาวเอนเอียงไปหานายท่าน หรือว่าเอนเอียงไปหา…หน่วยตรวจการซ้าย?” นางหันกลับมาเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม
…………………………
[1] เจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง 捅破窗户纸 อุปมาว่าพูดเปิดอกตรงๆ ไม่อ้อมค้อม