พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1603 แรงกดดัน
ก่อนที่ชีเจวี๋ยจะมา เหมียวอี้ก็กำลังครุ่นคิดพอดีว่าจะอธิบายเรื่องของเจียงอีอีให้โค่วเจิงฟังอย่างไร
ตระกูลโค่วไม่รู้เรื่องที่เจียงอีอีฆ่าตัวตาย แต่รู้ว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือเหมียวอี้ และกำลังรอฟังข่าวจากเหมียวอี้เท่านั้น ใครจะคิดว่าผ่านไปครึ่งวันจะไม่เห็นฝั่งเหมียวอี้พูดอะไรกลับมา โค่วเจิงจึงทำได้เพียงติดต่อมาถามข่าว หลังจากได้รู้ว่าเจียงอีอีฆ่าตัวตายก็ตกใจเช่นกัน
โค่วเจิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากเพราะเรื่องนี้ เพียงเตือนอย่างคลุมเครือมาก ความหมายคร่าวๆ ก็คือ เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จำไว้ว่าในภายหลังไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้รายงานตระกูลโค่วให้ทันเวลา เจ้าทำตามอำเภอใจแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? ถ้าเหมิงเซวี่ยลงมือสังหารขึ้นมา ตระกูลโค่วก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร ทำแบบนี้ได้อย่างไร?
แน่นอน เหมิงเซวี่ยเป็นแค่ข้ออ้าง ความหมายที่ชี้แนะก็แทบจะชัดเจนแล้ว ว่าในภายหลังเจ้าต้องรายงานตระกูลโค่วทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นตระกูลโค่วก็จะไม่พอใจ
ปากเหมียวอี้ก็ตอบตกลงแล้ว เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เพราะตระกูลโค่วทำให้รู้สึกว่าควบคุมมากเกินไป
กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่คอยแนะนำอยู่ข้างๆ ว่าการที่อีกฝ่ายคิดอยากจะควบคุมก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ให้เขาลองคิดดูอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาจะต้องเกี่ยวพันไปถึงตระกูลโค่วแน่นอน นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของตระกูลโค่วได้
หลังจากชีเจวี๋ยมาแล้ว เขาก็พูดรับมือกับชีเจวี๋ยเหมือนที่พูดกับตระกูลโค่ว
หลังจากได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว เฉาหม่านก็เงียบไปนานมาก แล้วจู่ๆ ก็แสยะหัวเราะ “น้องสาวเหรอ? สงสัยน้องสาวของเจียงอีอีจะถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ที่สมาคมวีรชน มิน่าล่ะ” เขาหันตัวมาแล้วถามอย่างสงสัยอีก “เจียงอีอีคนนี้นับว่าใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว แต่ทำไมต้องฆ่าตัวตายในเวลานั้นด้วยล่ะ? ไปถึงตำหนักสวรรค์แล้วค่อยฆ่าตัวตายจะไม่เหมาะสมกว่าเหรอ?”
ชีเจวี๋ยตอบว่า “อาจจะกลัวว่าไปที่ตำหนักสวรรค์แล้วจะไม่มีโอกาสได้สารภาพอีก ถึงได้อาศัยช่องโหว่ตรงนี้”
“ข้าก็หวังให้เป็นอย่างนี้เหมือนกัน กลัวก็แต่ทางหนิวโหย่วเต๋อจะเล่นตุกติกอะไร เจ้าว่าหนิวโหย่วเต๋อจะง้างปากเอาข้อมูลอะไรจากเจียงอีอีได้รึเปล่า?” เฉาหม่านถาม
“ตามหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนที่พวกเราส่งเขาไปที่จวนแม่ทัพภาค ข่าวก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว ตำหนักสวรรค์น่าจะกดดันหนิวโหย่วเต๋อทันที ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ฆ่าเจียงอีอี มีหรือที่จะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับเจียงอีอีที่อ่อนแอเกินทนแล้ว? เจียงอีอีปากแข็งมาก ถ้าทำให้ตายไป เขาเองก็รายงานกับเบื้องบนไม่ได้อยู่ดี” ชีเจวี๋ยตอบ
“ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรู้หรือไม่รู้ ปัญหายุ่งยากในตอนนี้ก็คือเจียงอีอีตายแล้ว ทางตำหนักสวรรค์จะต้องระแวงสงสัยพวกเราแน่นอน…อุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดี คาดไม่ถึงว่าจะมีช่องโหว่นี้ วุ่นวายใจไปเปล่าๆ เฮงซวย!” เฉาหม่านบ่น
คลื่นลมในครั้งนี้ผ่านไปแล้ว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกไม่คายความลับ คนนอกไม่รู้เช่นกันว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรกันแน่ คิดเพียงว่าตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีไปให้หนิวโหย่วเต๋อเพื่อให้โอกาสสร้างผลงาน ไม่รู้ในว่าในนั้นมีลับลมคมใน ถึงขั้นมีคนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตึกศาลาสัตยพรตส่งเจียงอีอีไปให้เหมียวอี้ ที่จริงเรื่องราวมากมายในโลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องผู้ที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่มีวันรู้ความลับเลยตลอดไป
และเหมียวอี้ก็ได้สร้างผลงานเพราะเรื่องนี้แล้วจริงๆ เจียงอีอีถูกจับแล้วตาย ทำให้ขุนนางไม่น้อยในตำหนักสวรรค์รู้สึกสะใจ ในที่สุดภัยร้ายที่ทำให้คนหวาดระแวงกลัวก็หายไปแล้วหนึ่ง ถ้าโจรคนนี้ยังไม่ตายไป ก็ยีงไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมาก่อคดีกับตน แต่ทำให้พวกที่เคยรับเคราะห์ได้ระบายความโกรธด้วย
อย่าไปมองว่าเจียงอีอีเป็นแค่โจรราคะคนหนึ่ง เพราะว่ามีผลกระทบเยอะมาก คนในใต้หล้าล้วนสุมหัวนินทาเรื่องที่เจียงอีอีได้รับโทษ โดยเฉพาะเรื่องที่ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ ทำให้ชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อโด่งดังอีกครั้ง แต่ก็มีคนปล่อยข่าวซุบซิบเพื่อฉวยโอกาสซ้ำเติม บอกประมาณว่าฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อโดนเจียงอีอีล่วงเกินแล้ว ในเมื่อมีคนตั้งใตจะเล่นแบบนี้ เสียงนกเสียงกาก็ทำให้คนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็อุดปากคนในใต้หล้าไม่ไหว
ในการกระชุมราชสำนักมีคนกระโดดออกมาช่วยขอผลงานให้เหมียวอี้ เนื่องจากมีอิทธิพล จึงไม่มีใครคัดค้าน ทำให้เหมียวอี้เลื่อนยศรวดเดียวสามขั้นได้อย่างราบรื่น จากเกราะดำหนึ่งแถบไปเป็นเกราะดำสามแถบ
หลังจากส่งคนที่ถ่ายทอดคำสั่งกลับไปแล้ว เหมียวอี้ที่กลับมาในโถงหลักก็มองดูเกราะรบของตัวเอง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ได้ยินว่าครั้งนี้ได้เลื่อนขั้นอย่างราบรื่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นก้างขวางคอเลย”
หยางชิ่งย่อมรู้ว่าก้างขวางคอที่เขาบอกหมายถึงใคร ใครที่ตั้งใจจะให้ลดขั้น เหมียวอี้ก็ย่อมว่าคนนั้นเป็นก้างขวางคอ จึงกล่าวอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านนั้นไม่อยากให้เรื่องของเจียงอีอีขยายใหญ่ต่อไปแล้ว ทำได้เพียงเข็นเรือไปตามน้ำ ไม่อย่างนั้นคงจะเลื่อนยศตั้งสามขั้นในรวดเดียวไม่ได้ แน่นอนว่าตระกูลโค่วมีอิทธิพลต่อการประชุมในราชสำนัก ไม่อยากนั้นคงไม่เอ่ยปากขอการเลื่อนขั้นให้นายท่านในที่ประชุมหรอก แต่ก็ผิดใจกับคนเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะมีตระกูลโค่วกดดันไว้ เกรงว่าท่านนั้นคงจะแกล้งโง่ต่อไปได้ มีคนอยู่ในราชสำนักก็จัดการเรื่องราวได้ง่ายแบบนี้”
“วัวสันหลังหวะ!” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ถือเกราะรบโบกไปโบกมา เหมือนจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก “เกราะดำหนึ่งแถบกับเกราะดำสีแถบ สำหรับข้าไม่ได้มีความหมายต่างกันเท่าไรนัก?”
หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “ในด้านความหมายนั้นต่างกันนิดหน่อย อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาให้นายท่านไต่เต้ากลับไปตำแหน่งเดิม ตระกูลโค่วไม่ได้ทำให้นายท่านออกจากตลาดผีได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อไรที่นายท่านมียศเพียงพอแล้ว ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีก็รั้งนายท่านไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นตระกูลโค่วก็จะทำให้นายท่านกลับไปบัญชาการกำลังพลมหาศาลได้อย่างชอบธรรมแล้ว ตระกูลโค่วน่าจะเฝ้ารอสิ่งนี้มาก”
ในตอนนี้หยางชิ่งก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่าทีที่เหมียวอี้มีต่อตนนั้นเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เวลามีเรื่องอะไรก็จะมาปรึกษาตนทุกอย่าง อย่างน้อยก็ปล่อยอำนาจทางตลาดผีให้เขาอย่างเพียงพอ ที่จวนแม่ทัพภาคในเวลานี้ นอกจากเหมียวอี้แล้วก็นับว่าเขามีอำนาจควบคุมมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาดีใจมาก อย่างน้อยก็แสดงความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง พอหันกลับมามองแบบนี้ ก็พบว่าคดีที่น่านฟ้าระกาติงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “กลัวก็แต่ข้างในจะเกิดเหตุพลิกผัน คนที่ไม่อยากเห็นฉากนี้เกิดขึ้นมีตั้งเยอะ”
หยางชิ่งบอกว่า “อย่างน้อยมีตระกูลโค่วค่อยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เบื้องหลัง นายท่านก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยที่ตลาดผีมากนัก เรื่องของเจียงอีอีก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว รอให้นายท่านไปบัญชาการทัพใหญ่ที่ทัพเหนือของตระกูลโค่ว มีกำลังพลกลุ่มใหญ่อยู่ข้างกาย ต่อให้คนนอกอยากจะทำอะไรนายท่านอีกก็ยากแล้วแล้ว”
“อืม พวกเราคงทำได้แค่คอยดูไปทีละก้าว เออใช่ เรื่องกลับพิภพเล็ก เจ้ารีบไปเตรียมตัวแข่งกับเวลา”
“ทางข้าน้อยเตรียมตัวเหมาะสมแล้ว สามารถกลับได้ทุกเมื่อ”
เหมียวอี้พยักหน้า นับว่าถูไถผ่านด่านตรงหน้าไปได้แล้ว แต่ก็ยังมีอีกปัญหายุ่งยากที่ทำให้เขาปวดหัว จะทำอย่างไรกับเยว่เหยาดีล่ะ?
คิดไปคิดมา สุดท้ายก็ไม่มีทางปิดบังเยว่เหยาได้ตลอด ท้ายที่สุดก็ยังมาที่ห้องของเชียนเอ๋อร์ ไปหาเยว่เหยาแล้ว
เยว่เหยาที่นั่งเงียบอยู่ในห้องเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าอีก กำลังเล่นชายกระโปรงเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เมื่อได้ยินนางพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง จึงไม่ได้คลายผนึกบนตัวนางเลย
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เชียนเอ๋อร์ให้ออกไปปิดประตูแล้ว ส่วนตัวเองก็เดินลงมานั่งบนเกาอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง หลังจากทั้งสองเงียบไปสักพัก สุดท้ายเหมียวอี้ก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “เจียงอีอีตายแล้ว”
มือของเยว่เหยาที่กำลังเล่นกระโปรงสั่นเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วแกะชายกระโปรงพร้อมถามเสียงเบา “ท่านฆ่าเขาเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบอย่างฝืนใจว่า “เปล่า! เขาระเบิดชีพจรตัวเองตายแล้ว…” จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ต่อให้เขาจะปกป้องน้องสาวมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางบอกว่าอวิ๋นจือชิวเป็นคนที่กดดันให้เจียงอีอีตาย แบบนั้นจะทำให้เยว่เหยาแค้นอวิ๋นจือชิวไปทั้งชีวิต พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ปรองดอง เขาไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มความยุ่งยากให้
ในดวงตาเยว่เหยาเริ่มมีน้ำตาคลอทีละนิด ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายที่นางเคยรักจริงๆ เป็นรักครั้งแรกแต่กลับจบลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จุดจบที่น่าเศร้ารันทดอย่างนี้ จะเป็นสิ่งที่นางหวังอยากเห็นเชียวหรือ? น้ำตาสองสายหยดลงมาในขณะที่นางก้มหน้า จากนั้นก็รีบเอามือปาดน้ำตาอีก แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ทำตัวเองแท้ๆ ตายไปก็ดีแล้ว”
เหมียวอี้รู้สึกว่านางพูดอย่างฝืนใจ ในเมื่อเคยเกิดความสัมพันธ์แบบนั้นระหว่างชายหญิงไปแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ชายคนแรกที่นางหวั่นไหนด้วยอีก เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน อย่างไรเสียวาสนาที่เลวร้ายนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขา เป็นเขาเองที่ทำร้ายเจ้าสาม ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
กลับเป็นเยว่เหยาที่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา ใช้สองมือยกกระโปรงแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ไม่ควรพูดแบบนั้นกับท่าน พี่ใหญ่ ท่านด่าข้าตีข้าเถอะ” พอนึกถึงภาพที่ตัวเองทำให้พี่ใหญ่โมโหจนกระอักเลือด นางก็นึกเสียใจทีหลังมาตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะให้อภัยตนหรือเปล่า ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร ตอนนี้มีใหญ่ไม่มีท่าทีว่าถือสาแล้ว นางก็ยิ่งนึกเสียใจในพฤติกรรมที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญของตัวเองในตอนนั้น
เมื่อนางมีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจมาก ส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ ในตอนนั้นเจ้าก็กระวนกระวายเลยปากไม่ตรงกับใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าเจอสถานการณ์อย่างนั้นบ้าง พี่สะใภ้เจ้าก็อาจจะร้อนใจยิ่งกว่าเจ้าก็ได้ เรื่องราวผ่านไปแล้ว คนบ้านเดียวกันจะมาพะวงเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง ลุกขึ้นเถอะ”
เยว่เหยาส่ายหน้า “น้องสามสำนึกผิดแล้ว ถ้าพี่ใหญ่ไม่ให้อภัยข้า ข้าก็จะคุกเข่าอย่างนี้ต่อไป”
เหมียวอี้ยักไหล่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ให้อภัยเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? รีบลุกขึ้นเถอะ”
เยว่เหยาเงยหน้า แล้วยิ้มทั้งน้ำตา ในโลกนี้ยังจะมีใครใจกว้างกับนางได้มากขนาดนี้อีกมั้ย? พอนึกถึงตรงนี้ น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อล้นจากดวงตาอีก นางคลานเข่าไปข้างหน้าสองเก้า หมอบบนตักเหมียวอี้แล้วร้องไห้โฮ ได้แต่พูดตำหนิตัวเอง “พี่ใหญ่ น้องสามสำนึกผิดแล้วจริงๆ น้องสามเสียใจจะตายอยู่แล้ว”
เหมียวอี้เองก็น้ำตาคลอเช่นกัน ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่เขาทนดูไม่ได้มากที่สุดก็คือเวลาน้องชายกับน้องสาวร้องไห้ พอได้เห็นก็จะรู้สึกว่าตัวเองดูแลได้ไม่ดี รู้สึกผิดต่อบุญคุณที่พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงดูมา ในปีนั้นพ่อแม่ของเขารวมทั้งพ่อแม่บุญธรรมสองครอบครัวตายไปแล้ว มีแต่คนด่าทอว่าเขาคือมีดวงกำพร้า เป็นอัปมงคลต่อคนในครอบครัว ถึงแม้ในภายนอกเข้าจะไม่ยอมรับ แต่ในใจก็หวาดหวั่นอยู่ดี กังวลว่าตัวเองจะทำร้ายเจ้ารองกับเจ้าสามอีก และความจริงในครั้งนี้ตัวเองก็ได้ทำร้ายเจ้าสามไปแล้ว เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลูบศีรษะเยว่เหยาเบาๆ พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว! อย่าเก็บเรื่องเจียงอีอีมาใส่ใจเลย เจ้าสามบ้านข้างดงามขนาดนี้ ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้ พี่ใหญ่จะหาทางช่วยเจ้าหาผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกมาให้ หาผู้ชายที่ดีกับเจ้าสามมากที่สุด ไม่ทำให้เจ้าสามได้รับความอยุติธรรมแน่ เจ้าไม่ต้องห่วงนะ พี่ใหญ่พูดจริงทำจริง”
เยว่เหยาที่หมอบอยู่บนตักเขาพยายามส่ายหน้า เงยหน้าปาดน้ำตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน ทั้งชีวิตนี้น้องสามจะไม่แต่งงานแล้ว!”
เหมียวอี้ตกตะลึง แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก เป็นแรงกดดันที่ตัวเองทำลายชีวิตเจ้าสาม เขากล่าวด้วยสีหน้าเครียดว่า “อายุยังน้อยมาพูดเหลวไหลอะไรแบบนี้! ผู้ชายไม่มีใครดีสักคนอะไร เจ้าผ่านผู้ชายมากี่คนแล้วล่ะ ทำไมถึงรู้ว่าผู้ชายไม่มีใครดีสักคน คงไม่ถึงขั้นโจมตีผู้ชายทั่วไปเพราะเจียงอีอีคนเดียวหรอกมั้ง? ในใต้หล้ามีผู้ชายเยอะแยะ แค่เจ้าไม่ได้เจอก็เท่านั้นเอง!”
เยว่เหยาส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับเจียงอีอี อยู่ห่างจากผู้ชายข้าก็มีชีวิตต่อไปได้ ไม่อยากแต่งงานแล้ว ไม่อยากหาแล้วจริงๆ”
เหมียวอี้พลันลุกขึ้นยืน จับแขนนางข้างหนึ่งแล้วดึงขึ้นมา “กังวลว่าคนอื่นจะนินทาว่าเจ้าเป็นรองเท้ามือสองใช่มั้ย? ต่อให้เจ้ามีอะไรกับเจียงอีอีแล้วยังไงล่ะ? ข้ารับรองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นปัญหา มีพี่ใหญ่หนุนหลังให้ จะไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน พี่ใหญ่รับประกันกับเจ้าเลย อย่าบอกนะว่าแม้แต่คำพูดของพี่ใหญ่เจ้าก็ไม่เชื่อ?”
…………………………