พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1605 สาวงามนัดพบ
เจ็บก็ส่วนเจ็บ แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับไม่กล้าบ่นอะไร ได้แต่พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าสามจะตอบตกลงมั้ยก็เป็นอีกเรื่อง เจ้าจะอารมณ์ร้ายขนาดนี้ทำไม? โกรธมากจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายนะ…”
“ปั้ง!” อวิ๋นจือชิวพลันตบโต๊ะ พลางตะคอกอย่างโมโห “หุบปาก!”
เหมียวอี้เงียบพริบอย่างกินปูนร้อนท้อง
อวิ๋นจือชิวหลับตาแล้วออกแรงส่ายหน้า พอความโกรธบรรเทาลงแล้ว ก็ชี้หน้าเหมียวอี้พลางแสยะยิ้ม “หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ! เจ้าสามของเจ้ามีนิสัยเป็นยังไง เจ้าก็รู้ดีที่สุด นางกับข้าเข้ากันไม่ได้มาตลอด เจ้าก็รู้ดี จะให้นางแต่งเข้าบ้านก็ได้ แต่ข้าจะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ตอนที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านมาข้ายังอดทนได้ แต่ถ้าเข้าบ้านมาแล้ว อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา ถ้ากล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้านาง ข้าปฏิบัติต่ออนุภรรยาคนอื่นยังไง ข้าก็จะปฏิบัติกับนางแบบนั้น ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาบ่นโทษข้าแล้วกัน!”
“ใช่แล้ว บ้านเมืองมีขื่อมีแป บ้านก็มีกฎระเบียบ ธรรมเนียมของบ้านก็ยังเป็นธรรมเนียมของบ้าน ไม่อย่างนั้นในบ้านก็วุ่นวายไร้ระเบียบน่ะสิ เรื่องในด้านนี้ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าไม่มีทางจงใจกลั่นแกล้งนางแน่นอน…” เหมียวอี้พยักหน้าพูดประจบซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสเหมาะซุ่มโจมตี แล้วสุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก “เจ้าตอบตกลงแล้วเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดอวดฉลาดหลังจากเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไฟพิโรธของอวิ๋นจือชิวก็พุ่งพล่านสามจั้งทันที “ไอ้เวรนี่!” นางถลันตัวพุ่งเข้ามา ดึงเหมียวอี้ให้ล้มลงพื้น แล้วซ้อมอีกยกหนึ่ง
พอตีเขาจนเหนื่อยแล้วลุกขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เตะเสริมอีกสองสามที นับว่าระบายอารมณ์โกรธเต็มที่แล้ว นางสะบัดชายเสื้อแล้วกระแทกประตูเดินออกไป
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มขื่นขม โดนซ้อมหนึ่งยกเพื่อแลกกับการอนุญาต การโดนซ้อมครั้งนี้ก็ไม่นับว่าอยุติธรรม
หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์เติมพลัง สภาพใบหน้าฟกช้ำฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็จัดการกับเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ย เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่อีกครั้ง เสร็จแล้วถึงได้มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์
ไม่นานเชียนเอ๋อร์ก็ผลักประตูเข้ามา นางทำตัวเหมือนคุ้นเคยชำนาญกับเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ถามไถ่อะไรสักคำ รู้ว่าควรทำอย่างไร หยิบหวีขึ้นมาช่วยหวีผมที่ยุ่งกระเซิงให้เขาทันที
พอเหลือบไปให้เชียนเอ๋อร์ในกระจกที่กำลังทำสีหน้าจริงจังไม่ยิ้มแย้ม เหมียวอี้ก็ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ที่จริงแล้ว ถ้าจะลงมือต่อสู้กันจริงๆ นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ข้าอ่อนข้อให้นางเฉยๆ หรอก” อยากจะกู้หน้าคืนเพื่อปิดบังความอับอาย
เชียนเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้นายท่านวรยุทธ์สูงกว่าฮูหยินแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน…” นางแอบแลบลิ้น รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้อับอายจนพาลโมโห “เจ้าพูดอะไร? เมื่อก่อนข้าเป็นยังไง? เมื่อก่อนข้าไม่กลัวแม้แต่หกปราชญ์ด้วยซ้ำ แล้วข้าจะกลัวนางเหรอ? ผู้ชายดีๆ เขาไม่สู้กับผู้หญิง เจ้าเข้าใจมั้ย?”
เชียนเอ๋อร์รีบส่ายหน้า แล้วเม้มริมฝีปากแน่น ในใจพึมพำว่า ท่านจะมาดุข้าทำไม ถ้าเก่งนักก็ลองไปดุต่อหน้าฮูหยินสิ
เมื่อหวีผมจัดแต่งทรงเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็มาที่ห้องเชียนเอ๋อร์ มาหาเยว่เหยาอีกครั้ง
เยว่เหยาที่ได้คลายปมในใจกับพี่ใหญ่เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย พอเห็นเหมียวอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเข้ามาอีกครั้ง นางก็แปลกใจอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหลายที แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ยังมีธุระอะไรอีกเหรอ?”
กลับเป็นเหมียวอี้ที่โดนมองจนรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย กลัวว่านางจะมองออก กลัวว่าเจ้าสามจะรู้ว่าตัวเองกลัวเมีย เขาโยนความคิดนี้ทิ้งไปชั่วคราว แล้วถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าสาม พี่ใหญ่จะแต่งงานกับเจ้า เจ้าจะแต่งหรือไม่แต่ง?”
“…” เยว่เหยาเหม่องงเล็กน้อย สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า จึงถามอีก “พี่ใหญ่ ท่านว่าอะไรนะ พูดอีกรอบได้มั้ย”
เหมียวอี้กล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะแต่งงานกับข้า ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า เจ้ายินดีจะแต่งงานกับข้ามั้ย?”
เยว่เหยาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จากนั้นก็ตาแดงก่ำทันที เพราะว่าซาบซึ้งใจแล้ว นางมองออกว่าพี่ใหญ่ไม่ได้คิดกับนางแบบความรักชายหญิง และมองออกด้วยว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงคิดได้แล้ว ไม่ต้องให้เหมียวอี้พูดออกมา นางก็รู้ใจเขาเช่นกัน ในใจเข้าใจกระจ่างแจ่มแจ้ง ว่าพี่ใหญ่กลัวว่านางจะข้ามผ่านปมเรื่องรองเท้ามือสองไม่ได้ ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ยอมแต่งงานกับนาง แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายเสนอมาเก็บ ‘รองเท้าชำรุดมือสอง’ คู่นี้ไปเอง
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ในตอนเด็กก็แวบเข้ามาในหัวนาง นางจูงมือพี่ใหญ่พลางกระโดดโลดเต้นบอกว่า : พี่ใหญ่ รอให้ข้าโตแล้ว ข้าจะแต่งงานกับท่าน!
ว่ากันว่าคำพูดของเด็กมักไม่อ้อมค้อม นั่นคือคำสัญญาในตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กมาก และเป็นคำปลอบใจที่พี่ใหญ่ไปสู่ขอผู้หญิงไม่สำเร็จ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ชั่วพริบตานั้น เยว่เหยาก็หัวเราะแล้ว นางมองเหมียวอี้พลางยิ้มเหมือนคนโง่ ยิ้มอย่างสดใส แล้วก็มีน้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอีก พยักหน้าตอบว่า “ขอเพียงพี่ใหญ่กล้าแต่งงานกับน้องสาม น้องสามก็กล้าแต่ง!”
เหมียวอี้รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย เดิมทีนึกว่าพอเกิดเรื่องเจียงอีอีแล้ว บวกกับที่เจ้าสามพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่อยากแต่งงานแล้ว ยังนึกว่ามารอบนี้ต้องโน้มน้ามอีกสักหน่อย ใครจะคิดว่าเจ้าสามจะรับปากอย่างตงไปตรงมาขนาดนี้ ราบรื่นจนเขารู้สึกเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นนางร้องไห้อีกแล้ว เหมียวอี้ก็ยกมือเช็ดน้ำตาให้นางเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร พี่ใหญ่มีทั้งภรรยาและอนุภรรยาแล้ว ให้เจ้าเป็นอนุภรรยาถือว่าไม่เป็นธรรมกับเจ้า แต่ก็ช่วยไม่ได้ พี่ใหญ่ได้แต่โทษตัวเองว่าตอบตกลงเจ้าช้าไปหน่อย แค้นตัวเองที่ตอนแรกไม่ยอมตอบตกลงเจ้าสาม นิสัยของพี่สะใภ้เจ้าถึงแม้จะปากร้ายไปหน่อย แต่ก็เป็นคนปากร้ายใจดี เมื่อครู่นี้ข้าขอความเห็นจากนางแล้ง นางตอบตกลงแล้วด้วย นางไม่กลั่นแกล้งเจ้าหรอก แน่นอน เรื่องนี้พี่ใหญ่ก็ไม่บังคับนะ เจ้าลองไตร่ตรองสักหน่อยก็ได้ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้า”
เยว่เหยาหัวเราะทั้งน้ำตา นางรู้ว่าพี่ใหญ่เข้าใจนางผิด นางไม่ได้ร้องให้เพราะตัวเองได้เป็นอนุภรรยา นางกดมือเขาไว้ จับฝ่ามืออันอบอุ่นของเขาแนบบนแก้มตัวเอง แล้วส่ายหน้าพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าอบอุ่นใจว่า “ไม่ต้องไตร่ตรองแล้ว ขอเพียงพี่ใหญ่ไม่รังเกียจน้องสาม น้องสามก็จะแต่งงานกับพี่ใหญ่ ไม่น้อยใจเลยสักนิด กลับดีใจมากด้วยว้ำ จริงๆ นะ น้องสามไม่ได้หลอกท่านนะ”
เหมียวอี้โล่งใจแล้ว ยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ดี! งั้นก็ตามนี้แล้วกัน ข้าจะบอกอาจารย์เจ้าก่อน”
พอพูดถึงตรงนี้ เยว่เหยาก็กัววลนิดหน่อย “อาจารย์ข้าจะตอบตกลงเหรอ?”
“ต่อให้นางไม่ตกลงก็ต้องตกลง นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” เหมียวอี้เผด็จการมาก เหมือนจะหลุดออกจากอารมณ์รักระหว่างคนในครอบครัว ตอนนี้กลายมาเป็นเหมียวอี้ที่เด็ดขาดอีกแล้ว เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่ฝานจวินทันที
มู่ฝานจวินย่อมไม่ปฏิเสธ นางอยากปฏิเสธ แต่กลับไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะความเป็นความตายของทั้งหกลัทธิล้วนบีบอยู่ในมือใครบางคน นางพอจะรู้แล้วว่าทั้งหกลัทธิล้วนเป็นหมากของใครบางคน และเหมียวอี้ก็เป็นตัวแทนของคนคนนั้น หกลัทธิรวมทั้งนางล้วนไม่มีความสามารถจะต่อต้านขัดขืน เพราะถูกบีบเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว มู่ฝานจวินก็นั่งกลุ้มใจอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ทำไมเหมียวอี้ถึงคิดจะรับเยว่เหยาเป็นอนุภรรยาล่ะ? นางเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดี
ถึงแม้เหมียวอี้จะจัดการเรื่องเยว่เหยาเรียบร้อยแล้ว แต่ทางอวิ๋นจือชิวกลับไม่ได้ทำสีหน้าดีๆ ให้เขาดูสักเท่าไร
ที่โชคดีก็คือ อวิ๋นจือชิวไม่เอาเรื่องราวมาปนกัน เรื่องที่ควรจะเตรียมตัวก็ไม่เลอะเลือน ของที่ควรเตรียมไว้กลับพิภพเล็กก็เตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว
ก่อนที่เหมียวอี้จะเตรียมตัวกลับพิภพเล็ก จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากระฆังดาราอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้เขาขนลุกนิดหน่อย สาวงามนัดพบ!
แต่สุดท้าย เหมียวอี้ก็ยังแข็งใจพาเหยียนซิวออกจากตลาดผีไปอย่างเงียบๆ
ออกจากดาวเคราะห์ทั่วไปดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาภูตพเนจรมากที่สุด ทะเลมรกตกว้างไกลไร้ขอบเขต หน้าผาโดดเดี่ยวสูงชัน ทะเลกั้นขอบฟ้า
มองออกไปในขณะที่อยู่ท้องฟ้า ในบ้านพักภูเขาโดดเดี่ยวเหมือนจะไม่มีใครอยู่ ได้ยินเพียงเสียงฉินดังแว่วมา สองคนที่อยู่กลางอากาศตามเสียงฉินและถลันตัวไปเหยียบลงในตึกศาลาหลังหนึ่งที่หันหน้าเข้าหาทะเล
ผมที่ไร้เครื่องประดับยาวคลุมบ่าอย่างเป็นธรรมชาติ หวงฝู่จวินโหร่วสวมชุดกระโปรงสีม่วงนั่งบนพื้นหันหน้ารับลมทะเล มือกำลังดีดสายฉิน เสียงฉินดังสะอื้น
กาลเวลาไม่ได้ทำให้ความงามลดลง ตอนไม่ใช้เครื่องประทินโฉมก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ไปอีกแบบ
เหมียวอี้นิ่งเงียบ ส่วนเหยียนซิวก็แปลกใจ นี่นายท่านมาพบนางงั้นเหรอ? ตอนแรกที่อยู่บ้านพักกลางป่า ทั้งสองโดนจับแยกกันแล้วไม่ใช่เหรอ?
เหยียนซิวไม่เคยถามเรื่องที่ไม่สมควรถาม ได้แต่ทำเรื่องที่ตัวเองสมควรทำ ถลันตัวออกไปสำรวจโดยรอบว่ามีภัยอันตรายแฝงเร้นหรือไม่
เหมียวอี้เดินช้าๆ ไปตรงหน้า หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังดีดฉินกำลังมีสมาธิ จนกระทั่งดีดฉินเสร็จแล้ว เสียงฉินยังคงดังวนเวียน หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า มองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ นางไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้อีกแล้วจริงๆ
ตอนแรกที่โดนมารดาจับแยก นางยังคิดจะหนีไปหาเหมียวอี้อยู่เลย แต่พอได้ข่าวงานแต่งงานของเหมียวอี้ นางก็เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางกบาลจริงๆ เจ็บปวดคับแค้นใจจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ไม่อยากเจอคนที่ทำร้ายจิตใจคนนี้อีก ทั้งยังพร่ำบอกตัวเองไม่หยุด ว่าเรื่องของนางกับเหมียวอี้ผ่านไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมาเจอกันเท่านั้น แต่ใครจะคิดล่ะ ว่ามารดาที่จับนางแยกออกมาอย่างโหดร้ายจะกดดันให้นางมาพบคนที่ทำร้ายจิตใจคนนี้อีก จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร?
แววตาที่คับแค้นใจอย่างล้ำลึกของนางทำให้เหมียวอี้รู้สึกผิดจนตั่วสั่น ไม่รู้จะโต้ตอบด้วยคำพูดใด
ลากกระโปรงยาวลุกขึ้นมาช้าๆ หวงฝู่จวินโหรวเดินมาตรงหน้าระเบียง หันหน้าเข้าหาทะเลกว้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ยินเรื่องงานแต่งงานของเจ้าแล้ว แสดงความยินดีกับเจ้าตอนนี้คงยังไม่สายไปใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เดินเนิบนาบมาด้านข้าง ยืนเคียงกันแล้วถอนหายใจลึกเอกหนึ่ง “ข้านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ก็เลย…”
หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้มแล้วพูดตัดบท “นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าแต่งงานเหรอ? เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าเป็นเพราะเรื่องระหว่างเจ้ากับข้าเป็นไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ไปคบกับอวิ๋นจือชิว เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าระหว่างเจ้ากับอวิ๋นจือชิวไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไรกัน?”
เหมียวอี้เงียบงัน แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าขอโทษ!”
“ขอโทษเหรอ? นายท่านหนิวให้เกียรติผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้เกินไปแล้ว ผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้รับไม่ไหวหรอก!”
“จวินโหรว ข้ามีเหตุผลของข้า ข้าไม่อยากอธิบายอะไรด้วย ข้าขอโทษเจ้าก็คือข้าขอโทษเจ้า ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ คนเรามีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าใครก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เจ้าปฏิเสธไม่ได้เลยสักนิด ต่อให้ข้าไม่ได้อยู่กับอวิ๋นจือชิว ข้าก็อยู่กับเจ้าอย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่ดี…” เหมียวอี้เอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อจะพูดเรื่องนี้เหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวพลันหันมาจ้องเขาตรงๆ “ข้าแค่อยากจะให้เจ้าพูดความจริงออกมา เจ้าเคยชอบข้าบ้างรึเปล่า? หรือเห็นข้าเป็นของเล่น? อย่ามาโกหกข้า คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ ข้าต้องการฟังความจริง!”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวช้าๆ อีกว่า “กับเจ้าน่ะ ตอนแรกเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น จะเรียกว่ากะทันหันก็ได้ หรือจะเรียกว่าควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็ได้ จากนั้นก็คิดว่าเล่นสนุกกันเพราะสองฝ่ายสมัครใจ เพราะรู้ว่าเรื่องของเจ้ากับข้าเป็นไปไม่ได้ สุดท้าย…” สุดท้ายเป็นอย่างไรต่อ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายอย่างไรดี
“สุดท้ายเป็นยังไง?” หวงฝู่จวินโหรวกลับกดดันถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “สุดท้ายก็ชอบเจ้าแล้วจริงๆ” ขณะที่พูดคำนี้ก็รู้สึกฝืนใจนิดหน่อย เขาคาดว่าตัวเองชอบร่างกายของนางมากกว่า แต่ในตอนนี้พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจคนไม่ได้ ในใจรู้สึกผิด จู่ๆ เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวพูดไว้ไม่มีผิด ว่าเรื่องในด้านนี้เขาเลอะเลือนจริงๆ
…………………………