พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1607 คำขอที่ไร้เหตุผล
กลับมาพักอยู่ที่ตลาดผีได้หนึ่งเดือนเศษๆ ทิ้งเชียนเอ๋อร์กับพวกหยางเจาชิงไว้ให้เฝ้าที่นี่ ส่วนตัวเองพาเหยียนซิว หยางชิ่งกับเยว่เหยากับพิภพเล็ก เดิมทีอวิ๋นจือชิวก็จะอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่การกลับพิภพเล็กครั้งนี้จะต้องจัดการเรื่องงานแต่งงานของเยว่เหยาให้เรียบร้อย เรื่องนี้ขาดอวิ๋นจือชิวไปไม่ได้ ถ้าฮูหยินเอกไม่ยอมรับ ฐานะของเยว่เหยาก็จะน่าอึดอัด
ทีแรกอวิ๋นจือชิวไม่ยอมกลับ เพราะยังเหม็นขี้หน้าเหมียวอี้อยู่ บอกว่าเป็นการแต่งงานรับอนุภรรยาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องจัดให้อึกทึกครึกโครม แค่ทำพอเป็นพิธีก็พอแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่อยากปล่อยให้เยว่เหยาได้รับความไม่เป็นธรรม อยู่ทางนี้จะเคลื่อนไหวอะไรมากก็ไม่ได้ ทำได้เพียงหน้าด้านไปเสี่ยงให้อวิ๋นจือชิวซ้อมอีกยกหนึ่งถึงเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
ออกจากพิภพเล็กมากี่ปีแล้ว เหมียวอี้ก็จำเวลาโดยละเอียดไม่ได้แล้ว ตอนอยู่ในทะเลดาวอันกว้างใหญ่แล้วได้เห็นดาวเคราะห์ที่สวยงามนั่นอีกครั้ง เหมียวอี้ก็รู้สึกถอนใจเป็นพิเศษ
ตอนที่คนขบวนนี้ฝ่าชั้นบรรยากาศมาถึงนภาอู๋เลี่ยง คนของพิภพเล็กก็ยังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถึงอย่างไรตอนนี้พิภพเล็กกับพิภพใหญ่ก็ยังมีการติดต่อกันอยู่ ตอนออกจากตลาดผีก็ออกมาเงียบๆ ไม่อยากให้มีข่าวหลุดไป ไม่อย่างนั้นระหว่างทางอาจจะเจอคนที่เจตนาไม่ดีก็ได้
หยางชิ่งถึงขั้นแนะนำให้ปิดบังฉินเวยเวยด้วย กลัวว่าฉินเวยเวยจะดีใจจนแสดงออกทางสีหน้าให้คนมองออก เป็นเพราะตอนนี้มีคนอยากจะให้เหมียวอี้ตายเยอะเกินไป
พวกฉินซีที่อยู่นภาอู๋เลี่ยงได้ยินข่าวแล้วรีบมาต้อนรับ ช่างไม่บังเอิญจริงๆ ฉินเวยเวยไม่อยู่นภาอู๋เลี่ยง ออกไปลาดตระเวนแล้ว
ไม่เห็นหน้าประมุขปราชญ์มาหลายปี ทั้งข้างล่างข้างบนของนภาอู๋เลี่ยงทั้งตกใจทั้งดีใจ
ตอนบ่ายของวันนั้น ฉินเวยเวยหยุดลาดตระเวนกลางคัน รีบร้อนกลับมานภาอู๋เลี่ยง
ยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ นอกจากทรงผมที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนจากทรงผมสตรีโสดเป็นทรงผมของสตรีที่แต่งงานแล้ว อย่างอื่นก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป สีหน้าท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม เรือนร่างที่เคยลิ้มรสผู้ชายก็ยิ่งอวบอัดขึ้นเช่นกัน ทั้งยังมีลักษณะน่าเกรงขามของผู้ที่อยู่เหนือคนอื่น อย่างไรเสียในหลายปีมานี้นางก็คือผู้มีอำนาจสูงสุดของพิภพเล็ก
เมื่อรู้ว่าฉินเวยเวยกำลังรีบกลับมา เหมียวอี้ก็เดินมาอยู่ข้างกายหยางชิ่งล่วงหน้า ขณะกำลังพูดคุยหารือเรื่องพิภพเล็กกับหยางชิ่ง ฉินเวยเวยก็ยกกระโปรงเดินเข้ามาในโถงโดยไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว พอเห็นเหมียวอี้แล้วก็หยุดฝีเท้าทันที ผู้ชายที่นางคนึงหาทั้งวันทั้งคืนก่อนหน้านี้ ในเวลานี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว หลังจากได้เห็นแล้วกลับมีทั้งอารมณ์เฝ้าคอยและหวาดกลัวปนกัน
ฟันขาวกัดริมฝีปากน่ารักเบาๆ นางเขินอายเล็กน้อย ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ แต่ในดวงตาก็ยังฉายแววคับแค้นใจนิดหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แยกกันแค่ปีสองปี แต่ไม่ได้เจอกันมาหลายพันปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะมีท่าทีต่อตนอย่างไร กลัวว่าถ้าตัวเองกระตือรือร้นเกินไปก็อาจจะโดนเมินได้
เหมียวอี้ หยางชิ่งและฉินซีที่นั่งอยู่ในโถงเอียงหน้ามองไป เมื่อเห็นลูกสาวยังสบายดี หยางชิ่งก็ยิ้มแย้มอย่างปลาบปลื้ม ส่วนฉินซีก็เม้มปากยิ้มพร้อมดูปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉย ในใจนางก็ตกใจทันที
แต่ไม่นานก็วางใจแล้ว เพราะเห็นเหมียวอี้ลุกขึ้นยืน บนใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยเรียก “เวยเวย!”
ฉินเวยเวยโยนความกระมิดกระเมี้ยนทิ้งทันที วิ่งเข้ามาโผใส่อ้อมกอดเหมียวอี้ราวกับลูกนกนางแอ่นบินเข้ามา นางกอดเหมียวอี้เอาไว้แน่น ไม่สนใจแล้วว่าบิดามารดาจะอยู่ตรงนั้นด้วยหรือไม่ นางกับเหมียวอี้คลอเคลียจอนผมกัน
หยางชิ่งและฮูหยินยืนขึ้นพร้อมกัน สบตากันแล้วยิ้ม ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่ได้รบกวนพวกเขา
ผ่านไปพักใหญ่แต่เห็นฉินเวยเวยหลับตาโดยไม่มีท่าทีว่าจะคลายกอด “แค่กๆ!”ในที่สุดหยางชิ่งก็ไอแห้งๆ
ตอนนี้ฉินเวยเวยเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างกายยังมีคนอื่นอยู่ด้วย นางหน้าแดงทันที รีบผละออกจากอ้อมกอดเหมียวอี้ แล้วหันตัวมาทำความเคารพด้วยสีหน้าเขินอายสุดทน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่พิภพใหญ่สบายดีมั้ยคะ?”
“ฮึ!” หยางชิ่งแสร้งทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่พอใจ “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้วจริงๆ ด้วย พอเข้ามาก็ไม่ชายตามองข้าเลย!”
คำพูดนี้ทำให้ฉินเวยเวยไม่สงบใจ นางรีบกล่าวขอโทษ ก่อนหน้านี้นางลืมตัวเกินไปแล้วจริงๆ
“พอแล้ว จงใจขู่ลูกสาวสนุกมากมั้ย?” ฉินซีดึงแขนเสื้อหยางชิ่งพร้อมบ่น
“ฮ่าๆ!” หยางชิ่งหัวเราะลั่นทันที โบกมือบอกใบ้ว่ากำลังล้อเล่น จากนั้นก็รีบเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปคำนับฮูหยินก่อนเถอะ”
ฉินเวยเวยตกใจทันที รีบเอ่ยรับแล้วออกไป แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่านรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา” ให้ความรู้สึกเหมือนเตือนเหมียวอี้ว่าอย่าเพิ่งไปไหน เมื่อเห็นเหมียวอี้พยักหน้า นางถึงได้วางใจและเดินออกไป
หลังจากเหมียวอี้นั่งลงอีกครั้ง ก็เริ่มทำสีหน้าจริงจังแล้ว “หยางชิ่ง ข้ามีเรื่องใหญ่ต้องปรึกษากับเจ้า”
เรื่องใหญ่เหรอ? หยางชิ่งทำสีหน้าตกใจทันที จากนั้นหันกลับมาส่งสายตาให้ฉินซีเล็กน้อย ฉินซีจึงย่อตัวคำนับเหมียวอี้ ถอยหลบออกไปชั่วคราว ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้กล่าวอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง”
เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าเตรียมจะให้เจ้าไปคุมลัทธิอู๋เลี่ยงที่แดนอเวจี พร้อมทั้งปรับปรุงจัดระเบียบอำนาจของหกลัทธิด้วย!”
“แดนอเวจี?” หยางชิ่งตกใจทันที “จะเริ่มพูดยังไงดี? หรือว่านายท่านจะให้ข้าน้อยไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจี?”
เหมียวอี้บอกว่า “แดนอเวจีข้าย่อมมีหนทางไปอยู่แล้ว ที่จริงพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็เข้าไปอยู่ในแดนอเวจีตั้งนานแล้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ของแดนอเวจีให้เขาฟังอย่างละเอียด
หยางชิ่งได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว บางครั้งก็ทำสีหน้าตกตะลึง บางครั้งก็ขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ฟังก็เดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด
ส่วนทางอวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าฉินเวยเวยกับเหมียวอี้ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว นางรู้ว่าการที่คู่รักไม่ได้เจอกันมานานก็เหมือนกับคู่แต่งงานใหม่ และรู้เช่นกันว่าถ้าครั้งนี้ไม่ให้ฉินเวยเวยครอบครองเหมียวอี้ไว้ก็อาจจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย หลังจากยิ้มให้แล้วก็ตั้งใจจะช่วยให้สมปรารถนา ปล่อยฉินเวยเวยที่ใจร้อนจนทนรอไม่ไหวออกไปแล้ว
ใครจะคิดว่าพอกลับมาถึงลานบ้านทางฝั่งนั้นแล้ว ฉินเวยเวยก็ถูกฉินซีกันไว้อีก “พ่อเจ้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับนายท่านอยู่ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปรบกวน”
ฉินเวยเวยกระทืบเท้าเบาๆ แล้วบ่นว่า “ท่านพ่อนี่ก็จริงๆ เลย นายท่านเพิ่งจะกลับมานะ เท้ายังไม่ทันเหยียบพื้นก็คุยงานอะไรกันแล้ว”
ฉินซีรู้สึกอยากขำ รู้ว่าจริงๆ แล้วลูกสาวบ่นหยางชิ่งว่ามาทำลายเรื่องดีของนาง ทำได้เพียงปลอบใจ
ในห้องโถง หลังจากถามตอบกันพักหนึ่ง หยางชิ่งก็เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่เหมียวอี้บอกความลับใหญ่สุดยอดขนาดนี้กับเขา ทั้งยังให้เขากุมอำนาจใหญ่ขนาดนี้ด้วย ตกใจที่ความกังวลของตัวเองเป็นความเข้าใจผิด หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา หยางชิ่งก็กุมหมัดคารวะ “ความปรานีที่สูงส่งจากนายท่าน ข้าน้อยไม่กล้าปฏิเสธ ควรจะพยายามสุดความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยกลัวว่าจะทำให้นายท่านผิดหวัง!”
เหมียวอี้บอกว่า “ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้มานานมาก รู้สึกว่าให้เจ้าไปเหมาะสมที่สุด ถึงแม้จะให้เจ้ารีบจัดระเบียบอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ไม่เร่งเวลาเจ้า ด้วยศักยภาพของพวกเราในตอนนี้ก็สามารถรอได้”
“ข้าน้อยเองมีศักยภาพอ่อนแอเกินไปแล้ว ปีศาจเฒ่าพวกนั้นมีชื่อเสียงมานาน…” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้รู้ว่าเขากังวลอะไร จึงยกมือพูดตัดบท “เจ้าไม่ต้องห่วง ยังไม่ถึงขั้นไปแล้วก็เกิดเรื่องเลยหรอก ทางลัทธิอู๋เลี่ยงน่ะ ข้าจะให้พวกประมุขขุนพลจินมานพยายามให้ความร่วมมือกับเจ้า ส่วนเรื่องศักยภาพของตัวเอง เดี๋ยวข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้า ข้าจะปูพื้นฐานที่ดีให้เจ้าก่อน ส่วนเรื่องต่อๆ ไปก็ต้องดูเจ้าแสดงความสามารถแล้ว”
หยางชิ่งเงียบไป ไม่ได้รีบรับปาก หลังจากก้มหน้าเดินไปเดินมาช้าๆ ได้สักพัก จู่ๆ ก็หันตัวมาบอกว่า “นายท่าน ข้าน้อยยินดีจะไปลองสักครั้ง เพียงแต่ข้าน้อยมีคำขอที่ไร้เหตุผล หวังว่านายท่านจะตอบตกลง”
“อ้อ!” เหมียวอี้เชิดคาง “ไหนลองว่ามา”
หยางชิ่งกุมหมัดแน่น สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วก็กุมหมัดคารวะ “ขอบังอาจถามนายท่าน สะสมกำลังพลไว้ที่พิภพเล็กมากมายขนาดนี้ ทำไมนายท่านถึงไม่ใช้งาน?”
เหมียวอี้รู้ว่าเขาต้องมีความคิดอะไรแน่นอน จึงถามกลับ “จะใช้งานยังไงล่ะ?”
หยางชิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าน้อยคิดว่า ควรจะย้ายจำนวนมากของพิภพเล็กไปที่พิภพใหญ่ย้ายไปที่แดนอเวจี เหลือคนส่วนน้อยเอาไว้ดูแลเรื่องเก็บพลังปรารถนาเท่านั้น ส่งคนไปกวาดล้างแต่ละสำนักให้หมด กวาดล้างมารผีปีศาจให้หมด กำลังพลเดิมของหกปราชญ์ก็แบ่งให้ไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของหกลัทธิเลย”
เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะอยากเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ “หยางชิ่ง ย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ไปที่แดนอเวจี เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก แล้วเจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่าการเลี้ยงคนมากขนาดนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากขนาดไหน เกรงว่าแดนอเวจีจะรับไม่ไหว ดีไม่ดีอาจจะวุ่นวายก็ได้”
หยางชิ่งอธิบายว่า “เพราะผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่แดนอเวจีกำลังกัดฟันทนสู้กับความยากลำบากแล้ว ถ้านำกำลังพลหลักร้อยล้านไปเติมให้พวกเขา ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาดีใจ จะเพิ่มขวัญกำลังใจทหารให้พวกเขาได้ถึงขีดสุด และในนั้นก็มีนักพรตไม่น้อยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เกรงว่าจะเหงาจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว ถ้ามีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมามากขึ้น ก็เรียกได้ว่าเป็นดินหน้าแล้งที่ได้เจอฝน ถ้าผู้นำของผู้เหลือรอดหกลัทธิกล้าปฏิเสธ ก็เกรงว่าจะต้องเกิดความวุ่นวาย ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง ผู้เหลือรอดของหกลัทธิส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนอเวจีล้วนต้องมีครอบครัว ถึงจะสงบใจลงได้ จะได้ปลอบโยนได้สะดวก และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หกลัทธิควบคุมดูแลกำลังพลที่เหลือมาหลายปี คงจะควบคุมอย่างเข้มงวดสุดๆ พวกเรามีกำลังอ่อนแอแต่กลับอยากจะควบคุมพวกเขา ถือว่าเพ้อฝันเกินไปจริงๆ ต่อให้ภายนอกพวกเขาจะยอมเชื่อฟัง แต่ในใจก็ไม่เชื่อฟังอยู่ดี จะทิ้งอันตรายแฝงเร้นเอาไว้ได้ง่ายมาก
ถ้ายัดกำลังพลหลักร้อยล้านไปให้พวกเขาในรวดเดียว ต่อให้พวกเขาอยากจะแยกตัวอีกแต่ก็ไม่ง่ายแล้ว ส่วนกำลังพลนับร้อยล้านนี้ พอไปในสถานที่แปลกใหม่แล้ว ช่วงแรกก็ยากที่จะสวามิภักดิ์ต่อหกลัทธิได้ อย่างน้อยภายในเวลาสั้นๆ นี้ก็ยังคิดว่าพวกเราพึ่งพาได้มากกว่า เมื่อนำปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มารวมกันก็ล้วนเป็นผลดีต่อพวกเราในการควบคุมหกลัทธิ ส่วนทรัพยากรฝึกตนของคนพวกนี้ นายท่านก็เป็นคนควบคุมช่องทางขนส่งทรัพยากรที่เข้าออกแดนอเวจีไว้แล้วไม่ใช่เหรอ? ผู้เหลือรอดของหกลัทธิควบคุมข้างนอกมานานขนาดนี้ จะต้องสะสมทรัพย์สินเอาไว้เยอะมากแน่นอน ควรจะถ่ายเทเข้าไปในแดนอเวจีแล้วเช่นกัน อาจจะเติมเต็มความต้องการให้คนนับร้อยล้านไม่ได้ แต่ก็เยอะกว่าทรัพยากรฝึกตนที่พวกเขาได้ตอนอยู่พิภพเล็กแน่นอน เพียงพอที่จะปลอบใจคนพวกนั้นได้ ถ้าสามารถช่วยเพิ่มวรยุทธ์ให้พวกเขาได้เร็ว ก็นำมาใช้งานได้ทุกเมื่อดีกว่าให้ทั้งหมดเบียดกันอยู่ที่พิภพเล็กแล้วสิ้นเปลืองทรัพยากรที่พิภพเล็กตั้งเยอะ แบบนี้จะช่วยให้นายท่านประหยัดทรัพยากรที่พิภพเล็กได้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ก็ควรจะสร้างการปะทะของหกลัทธิทั้งในและนอกแดนอเวจีสักหน่อย
ผู้เหลือรอดข้างนอกยึดครองและใช้งานทรัพยากรมหาศาลที่หกลัทธิเหลือไว้ในปีนั้นมานานแล้ว จู่ๆ ข้างในก็ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก จะต้องทำให้คนข้างนอกขัดสนแน่นอน ในช่วงแรกคนข้างนอกจะต้องไม่พอใจแน่นอน เนื่องจากพวกเขาถูกเบียดผลประโยชน์ไป ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปจะต้องเกิดความขัดแย้งแน่ แบบนี้สามารถสร้างโอกาสให้พวกเราควบคุมกำลังพลหกลัทธิข้างนอกได้ ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่า ต่อให้ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบ แต่ก็ต้องย้ายคนจำนวนมากของพิภพเล็กไปที่แดนอเวจีให้ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยไปแล้ว ช่วงแรกก็จะหาลูกน้องที่ออกแรงทำงานเต็มที่ได้ลำบาก เป็นเพราะพวกเราอ่อนแอเกินไปจริงๆ ยามเผชิญหน้ากับกำลังที่แข็งแกร่ง อุบายเล็กน้อยบางอย่างก็ไม่มีกำลังจะงัดข้ออะไรได้เลย จะให้พวกเขาฆ่ากันเองจนสิ้นเปลืองกำลังไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการเช่นกัน นายท่านจะไม่อยากเลี้ยงกำลังพลของตัวเองเอาไว้รอเวลาใช้งานเลยเชียวเหรอ?”
…………………………