พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1609 หงเฉินเป็นผู้รับฟัง
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ดูละครฉากเด็ดอยู่ข้างๆ หลุบตาลง ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ไป ให้หยางชิ่งมาพบข้าสักรอบ”
เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ผ่านไปครู่เดียวก่อนนำหยางชิ่งเดินเข้ามาแล้ว
ก่อนเข้าประตู หยางชิ่งเหล่ตามองถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่ด้านนอก โดยมีพวกบ่าวรับใช้กำลังเก็บกวาด “ฮูหยิน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร”
อวิ๋นจือชิวนั่งยกน้ำชาจิบอย่างเนิบเนิบอยู่บนตำแหน่งหลัก แล้วพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนว่า “นายท่านไปหาความสำราญที่ตำหนักดาวกลางมาแล้วรอบหนึ่ง เจ้าคิดว่ายังไง?”
หยางชิ่งพอจะเดาได้แล้วว่าถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่ข้างนอกเป็นฝีมือใคร เขาปวดประสาทเล็กน้อย เรื่องนี้จะให้เขาพูดอย่างไรดีล่ะ? จึงตอบอย่างขอไปทีว่า “นายท่านเป็นเห็นแก่ไมตรีเก่าๆ”
อวิ๋นจือชิวเหลือบตาขึ้น “พอนายท่านกลับมา ก็มาขอร้องให้นางตัวดีนั่นแล้ว เจ้าว่าข้าจะทำยังไงดี?”
“คาดว่าฮูหยินคงมีการผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่แล้ว” หยางชิ่งตอบ
อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะน้ำชา “ความเหงาเล็กน้อยแค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? ยังกล้ามาเล่นอุบายกระจอกกับข้าอีก ถ้ากำจัดเจตนาแอบแฝงได้เมื่อไร ก็ค่อยเอ่ยเรื่องนี้อีก! หยางชิ่ง วันนี้ข้าจะแสดงท่าทีให้ชัดเจน ต่อไปถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ถ้านายท่านกล้าไปพบผู้หญิงคนอื่น เจ้าก็ให้เวยเวยกำจัดนางทิ้งได้เลย ข้าไม่อยากเห็นนาง เข้าใจมั้ย?”
“เอ่อ…” หยางชิ่งทำสีหน้าลังเล
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืน แล้วแสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? หรือว่าเจ้าอยากให้นางออกมา? จะให้ข้าเก็บนางไว้อยู่เป็นเพื่อนเวยเวยที่นภาอู๋เลี่ยงมั้ยล่ะ? หรือไม่อย่างนั้น รอให้วันไหนนางใจกล้าขึ้นมา แล้วให้เวยเวยไปดูแลนางล่ะ?”
เมื่อนางกล่าวแบบนี้ ก็ทำให้หยางชิ่งเซ็งจนเกินทน แค่ได้ยินเขาก็เข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร ถ้าอวิ๋นจือชิวหลีกทางให้จูเก๋อชิงออกมา มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้นางเก็บจูเก๋อชิงไว้ที่นภาอู๋เลี่ยง ถ้าเวยเวยมีคนแบบนี้อยู่เป็นเพื่อน เวยเวยก็เล่นไม่ชนะเจ้าสำนักท่านนั้นแน่นอน ความสวยที่มีก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ด้วย และเพื่อที่จะหลุดรอดออกจากที่นั่น ถ้าเหมียวอี้ไปหานางอีกรอบ ก็ไม่แน่ว่าจูเก๋อชิงนั่นจะจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้วให้กำเนิด ‘ทายาท’ หรือเปล่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าลงมือกำจัดทายาทของเหมียวอี้ไปพร้อมกันหรอก ตามหลักการ ‘มารดาได้ดีเพราะบุตรชาย’ เมื่อถึงเวลานั้นครอบครัวก็จะวุ่นวายแล้ว
หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ข้าเข้าใจเจตนาของฮูหยินแล้ว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เกรงว่าจะทำให้นายท่านเดือดดาลมาก”
“เดือดดาลเหรอ? ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ถึงตอนนั้นให้เวยเวยบอกว่าเป็นประสงค์ของข้าก็พอ ให้นายท่านมาหาข้าก็สิ้นเรื่องแล้ว” อวิ๋นจือชิวกล่าว
หยางชิ่งพูดไม่ออก ถ้าเวยเวยถือวิสาสะฆ่าอีกฝ่าย จะไม่ซวยไปด้วยหรอกหรือ? แต่สุดท้ายเขาก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางเวยเวยข้าจะบอกให้ได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องเตือนฮูหยินเอาไว้ อีกไม่นานพิภพเล็กก็จะไม่มียอดฝีมืออะไรแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยขาดทรัพยากรฝึกตน เกรงว่าพวกทหารยามที่ตำหนักดาวกลางอาจจะควบคุมนางไม่ไหว”
“เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์ของนายท่านเป็นยังไง สถานการณ์ภายนอกมีอันตรายเกิดขึ้นไม่หยุด ถ้าสถานการณ์ภายในไม่สงบอีก แล้วจะไปสู้กับข้างนอกได้ยังไง? ถ้าจิตใจไม่สงบ ปกป้องได้แล้วยังไงล่ะ? ให้โอกาสนางแล้วแต่นางไม่เอา งั้นก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว ถ้านางกล้าหนี ก็ให้เวยเวยกำจัดทิ้งได้เลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง!” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วเหล่ตามองหยางชิ่ง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “เวยเวยเป็นคนคุมพิภพเล็ก ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ สิ่งที่ควรจะแบกรับก็ยังไม่กล้าแบกรับ งั้นข้าก็คงต้องพิจารณาฐานะในบ้านให้นางใหม่แล้วมั้ง!”
หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ กุมหมัดคารวะทันที “หยางชิ่งเข้าใจแล้ว”
เหมียวอี้เอาไฟโกรธที่เกิดจากอวิ๋นจือชิวไประบายกับหงเฉินแล้ว กระทำชำเราหงเฉินที่หลบอยู่สงบๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังจากทำเรื่องพวกนั้นเสร็จ ร่างเปลือยของหงเฉินก็คลานลุกออกจากอ่างอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วหายตัวไปแล้ว รอจนกระทั่งเหมียวอี้ลุกจากเตียงแล้วไปหาหงเฉินอีกครั้ง ก็พบว่าหงเฉินกำลังหลบฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ บนใบหน้ามองไม่เห็นร่องรอยหงเฉินที่สำราญหรรษาอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคงไร้ความปรารถนาเหมือนเดิม
“นี่เจ้ากำลังหลบข้าเหรอ?” เหมียวอี้เดินมาหน้าเตียงแล้วถอนหายใจ “หรือว่าเจ้ารำคาญข้า?”
หงเฉินลืมตา ดวงตางามช่างสงบเยือกเย็น นางส่ายหน้าเบาๆ “เปล่า! นายท่านอยากได้อีกเหรอ?” ขณะที่พูดก็ยื่นมือปลดผ้าคาดเดียว เสื้อไหลลงจากหัวไหล่อย่างช้าๆ เผยให้เห็นไหล่ขาวเกลี้ยงเกลาและเสื้อชั้นในที่ห่อหุ้มหน้าอกอิ่มเอิบไว้
“ไม่ใช่ๆ!” เหมียวอี้รีบโบกมือ ช่วยนางใส่เสื้อผ้ากลับไปใหม่อีกรอบ เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่มีอารมณ์เลยสักนิด ทำเรื่องนี้อย่างกับเป็นสิ่งของอะไรไปได้ ราวกับว่าถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไป “ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะได้เจอกัน ไม่ต้องรีบฝึกตนขนาดนั้นหรอก อยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน”
“ได้ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้า แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ให้อยู่เป็นเพื่อนด้วยยังไงคะ?”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วเอนตัวลงอาศัยต้นขาของนางเป็นหมอน ขณะดมกลิ่นกายหอมของสาวงาม เขาก็ถอนหายใจอย่างสงบนิ่ง “อยู่เป็นเพื่อนอย่างนี้แล้วกัน”
เมื่อเขาทำแบบนี้ หงเฉินก็ไม่มีทางฝึกตนได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเอาสองมือวางตรงไหนดี สุดท้ายก็ทำได้เพียงวางมือข้างหนึ่งตรงหน้าอกของเขาอย่างลังเล เขาคว้ามือนางมาเล่น นางไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยตามใจเขาเงียบๆ
เมื่อผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอกัน เจ้าไม่ได้เตรียมอะไรไว้คุยกับข้าเลยเหรอ?”
หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ท่านพูดเถอะ”
“หลายปีมานี้ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ ข้าประสบเรื่องราวมาไม่น้อย เจ้าคงเคยได้ยินมาแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม
หงเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเลยค่ะ”
“…” เหมียวอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย ให้มันได้อย่างนี้สิ ข้าต่อสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ข้างนอกเพื่อเลี้ยงพวกเจ้า แต่เจ้ากลับไม่มีท่าทีสนใจเลยสักนิด เขาถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าคงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้ากลับมาเมื่อไรหรอกใช่มั้ย?”
“ขอโทษค่ะ ถ้าท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องรู้ เดี๋ยวต่อไปข้าก็จะถาม” หงเฉินตอบอย่างลำบากใจนิดหน่อย
แม่งเอ๊ย! เหมียวอี้ยอมแพ้นางแล้วจริงๆ ถามนางว่า “แล้วตอนที่ข้ามาหาเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าเหมือนไม่รู้สึกผิดคาดสักนิดเลยนะ หรือว่าเจ้ารู้ล่วงหน้าแล้ว?”
“นี่เป็นบ้านของท่าน ท่านอยากจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ คงไม่ต้องรู้สึกผิดคาดหรอกมั้งคะ?” หงเฉินยิ้มบางๆ
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับนางแล้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมีนิสัยอย่างนี้ได้ เขาจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ข้ากลับมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว แต่ไปหาฉินเวยเวยก่อน นอนกับฉินเวยเวยตั้งหลายวัน ตอนหลังก็พาฉินเวยเวยออกไปชมธรรมชาติ นอนกับนางเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังนอนกับหญิงรับใช้ทั้งสองของนางด้วย จากนั้นก็ไปตำหนักดาวกลาง นอนกับจูเก๋อชิงที่โดนฮูหยินกักบริเวณไว้ เสร็จแล้วถึงได้มาหาเจ้า มานอนกับเจ้าแล้ว…” ขณะที่พูดก็ดูปฏิกิริยาของนางไปด้วย
หงเฉินที่ก้มหน้าเล็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด ดันถามหยั่งเชิงกลับว่า “ท่านคิดว่าข้าไม่น่าสนใจ เทียบกับพวกนางไม่ได้ ทำให้ท่านหมดอารมณ์เหรอ? ข้าให้สาวใช้สองคนมาปรนนิบัติท่านแทนได้มั้ย?” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมา
“…” เหมียวอี้คว้ามือของนางไว้ แล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเจื่อน บอกใบ้ว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น เขาแค่อยากยั่วโมโหนางเท่านั้นเอง อยากจะเห็นนางมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไป ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้อยู่บนเชือกเส้นเดียวกับเขาเลย “ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้สักหน่อย ข้ากำลังจะรับเยว่เหยาเป็นอนุภรรยาแล้ว อีกไม่กี่วัน เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
หงเฉินมีปฏิกิริยากับสิ่งนี้เล็กน้อย ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านปฏิเสธมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าเจ้าอยากรู้สาเหตุจริงๆ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ แต่ห้ามให้อาจารย์ของเจ้ารู้เด็ดขาด”
“ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้า
“ที่พิภพใหญ่มีบุคคลโด่งดังอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าโจรราคะเจียงอีอี…” เหมียวอี้เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ แบบข้ามไปบ้าง
หลังจากได้ฟังแล้ว หงเฉินก็ขมวดคิ้ว ” เยว่เหยามีความสัมพันธ์กับเจียงอีอีแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “นางยอมรับเองแล้ว ทำไมเจ้าทำท่าเหมือนไม่เชื่อล่ะ?”
หงเฉินครุ่นคิดพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เยว่เหยาที่ข้ารู้จักน่ะ ถ้านางมีความสัมพันธ์กับเจียงอีอีแล้วจริงๆ เกรงว่าคงจะภักดีไม่เปลี่ยนใจต่อเจียงอีอี ไม่ว่าเจียงอีอีจะทำอะไรไว้ นางก็จะพยายามทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเจียงอีอี ถ้าไม่ถึงขั้นสุดท้ายก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ และไม่มีทางตอบตกลงแต่งงานกับนายท่านด้วย…บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่ห่างกันนานแล้ว คนเราคงนิสัยเปลี่ยนไปแล้วมั้ง ข้าไม่ได้คลุกคลีอยู่กับเยว่เหยานานแล้ว เลยไม่ค่อยเข้าใจ”
“ขนาดรู้แล้วว่าตัวเองโดนโจรราคะนั่นหลอก ยังจะภักดีไม่เปลี่ยนใจได้อีกเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
หงเฉินส่ายหน้าเบาๆ ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เหมือนไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรอีก
ขณะมองใบหน้างามที่สงบเยือกเย็นของนาง เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจ ยกมือขึ้นลูบแก้มนาง พร้อมบอกว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเจอเจ้าครั้งแรกที่เมืองโบราณฉางเฟิง ข้าตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สวยขนาดนี้อยู่ แต่ว่าเห็นจากที่ไกลๆ ไม่อาจสบประมาทได้ ตอนเป็นตอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะได้แต่งงานกับเจ้า สุดท้ายก็ได้สมปรารถนา เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเรื่องหนึ่งในชีวิตจริงๆ!”
“หงเฉินยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
“เจ้ารู้รึเปล่า ที่จริงหยางชิ่งก็เคยชอบเจ้ามาก่อน แต่สุดท้ายก็ยังโดนข้าแย่งมา ข้าบังคับให้หยางชิ่งแต่งงานกับเมียของเฟิงเป่ยเฉิน แต่กลับรับเจ้าเป็นอนุภรรยา เจ้าว่าข้าเลวรึเปล่า?”
หงเฉินยังคงยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
“สุดท้ายข้าก็ปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปจริงๆ จะบอกว่าชดเชยให้พวกเจ้าก็เหมือนจะไม่ใช่ อาจจะเก็บกดอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปีกระมัง ได้รับความกดดันมาตลอดแล้วไม่รู้จะไประบายที่ไหน ตึงเครียดอยู่ที่พิภพใหญ่ตลอด ขนาดเวลานอนยังกังวลว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องเลย กังวลที่ข้างกายมีสายลับ ข้างกายไม่เคยมีใครทำให้สงบใจได้เลย พอกลับมาที่พิภพเล็กก็ได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง เลยระบายอารมณ์อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าทนผ่านลมผ่านฝนมาหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไร…”
“ก่อนหน้านี้ข้าถูกฮูหยินยั่วโมโหแล้วจริงๆ นางไม่ยอมปล่อยจูเก๋อชิงออกมาเลย ถ้าจะบอกว่ามีความผิด ก็ไม่ได้ผิดที่จูเก๋อชิงคนเดียว ขังจูเก๋อชิงไว้หลายปีขนาดนั้นแล้ว ยังคิดจะทำยังไงอีก…”
“พอพูดถึงจูเก๋อชิง ข้าต้องว่าเจ้าสักหน่อย พวกเจ้าสองคนแข่งกันได้ จูเก๋อชิงคิดจะหนีออกจากตำหนักดาวกลางตลอด แต่ฮูหยินกลับกักบริเวณนางไว้ไม่ยอมปล่อยไป ส่วนเจ้าน่ะ ฮูหยินขอให้เจ้าออกไปเดินเล่นบ้าง ไม่รู้ว่าบ่นอยู่ข้างหูเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว นางบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาดีมาก กลุ่มผู้หญิงในบ้านไม่มีใครเทียบเจ้าติดเลย ถ้าเจ้ายอมออกแรงช่วยเหลือ ก็จะสามารถแบ่งเบาภาระในบ้านได้ไม่น้อย ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่านางมองออกจากตรงไหน แต่ก็ดูเจ้าทำสิ ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน ในบ้านมีคนเยอะขนาดนั้น แต่ละคนโดนฮูหยินจัดการจนหมอบราบคาบแก้ว มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น ที่ฮูหยินไม่มีทางทำอะไรได้เลย ขนาดข้ายังเรียกเจ้าว่าท่านย่าแล้ว เหมือนว่าแม้แต่อาจารย์เจ้าก็ขี้คร้านจะโวยวายเจ้าแล้วเช่นกัน ถ้ากักบริเวณเจ้าไว้ที่ตำหนักดาวกลาง ข้าว่าเจ้าคงอยากให้เป็นแบบนั้นแน่ๆ เฮ้อ ถ้าสลับตัวเจ้ากับจูเก๋อชิงได้ก็คงดีนะ…”
“หลายปีมานี้ข้าผ่านเรื่องราวมาไม่น้อยเลย พอก้าวเข้าพิภพใหญ่ ก็ปลุกปั้นสร้างร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์…”
เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในห้องสมาธิพร่ำบ่นไปเรื่อย วันนี้ค่อนข้างพูดมาก บ่นเป็นชุดเหมือนผู้หญิง
ส่วนหงเฉินก็เป็นผู้ฟังที่ดีมากจริงๆ ไม่ว่าพูดอะไรก็ตั้งใจฟัง ไม่พูดสอดแทรก และไม่ถามอะไรมาก ทั้งสวยทั้งไม่ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจ ตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์อย่างเลือกไม่ได้แท้ๆ แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นคนนอก ทำให้เจ้ารู้สึกได้ว่านางจะไม่เปิดเผยความลับใดๆ ทำให้เจ้าวางใจเล่าให้ฟังได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยุ่งยากใจใดๆ…
…………………………