พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1615 แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธได้
แค่การแย่งชิงแบ่งสรรผู้หญิงรอบๆ ก็ชัดเจนแล้ว เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก
เหมียวอี้พูดไม่ออกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงสวยสูงส่งสง่างามภูมิฐานอย่างจินม่านจะคอแข็งมาแย่งผู้หญิงเพื่อลูกน้องผู้ชายด้วย ทำอย่างกับเป็นแม่เล้า เสียภาพลักษณ์หมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายมากจริงๆ
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหยางชิ่งที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างกาย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่ในการคาดการณ์ของหยางชิ่งตั้งแต่แรกแล้ว ขณะที่กำลังทอดถอนใจ เขาก็เชื่อมั่นในตัวหยางชิ่งมากขึ้นด้วย
อวิ๋นอ้าวเทียนและพวกห้าปราชญ์แอบส่งสายตาให้กัน พวกเขาทั้งห้าดูสงบนิ่งใจเย็น
“พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้ว จะแบ่งยังไงเดี๋ยวหยางชิ่งจะจัดการเอง” เหมียวอี้เอ่ยประโยคเดียวเพื่อทำให้พวกเขาหยุดเถียงกัน
คนของหกลัทธิที่เถียงกันจนหน้าแดงมองไปที่หยางชิ่งด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย ถึงขั้นมีคนเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะด้วย “เช่นนั้นก็รบกวนหัวหน้าผู้ช่วยแล้ว”
จินม่านมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย รู้สึกว่าเหมียวอี้คงไม่ทำให้ลัทธิอู๋เลี่ยงเสียเปรียบแน่
เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติหกวงออกมา โยนแบ่งให้ประมุขปราชญ์ทั้งหก “นี่คือทรัพยากรฝึกตนที่คนของพวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกให้มา แต่ข้าก็กลุ้มใจนิดหน่อยนะ ว่ากันว่าคนมีอำนาจ ต่อให้ตายแล้วอิทธิพลก็ยังอยู่ ในปีนั้นหกลัทธิเป็นวีรบุรุษของใต้หล้า ต่อให้พังพินาศเป็นเสี่ยงๆแล้ว ช่องทางที่ทิ้งไว้ก็คงไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน กักตุนเอาไว้หลายปี แต่ได้ทรัพยากรแค่เท่านี้ พวกเจ้าเชื่อรึเปล่าล่ะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดจินม่านก็ยังรู้สึกอับอาย ไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่กักตุนไว้ข้างนอกมีอยู่เล็กน้อยเท่านี้หรอก แต่เป็นเพราะไม่อาจยืนยันได้ว่าเหมียวอี้พูดจริงหรือไม่ ในขณะที่ยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำทรัพย์สินทุกอย่างส่งให้เหมียวอี้หมด ต่อให้พวกเขาตอบตกลง แต่คนข้างนอกก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี พวกเขาจึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว ไม่ได้กดดันคนข้างนอกมากเกินไป ได้แต่นำทรัพยากรส่วนน้อยส่งให้เหมียวอี้เพื่อทดสอบดู ต่อให้มีเสียหายบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนมาก
ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อย แต่กลับเป็นทรัพย์สินที่ทำให้คนทึ่งได้ ถ้าลบคนหลายสิบล้านที่เพิ่งมาออกไป ก็เพียงพอจะให้คนในแดนอเวจีใช้ไปหนึ่งร้อยปีเลย
ส่วนเหมียวอี้จะเก็บไว้ส่วนนตัวหรือไม่ ก็ไม่ต้องกังวลเลย ข้างนอกกับข้างในมีการติดต่อกันอยู่แล้ว ทุกคนมีข้อมูลอยู่ในใจแล้วว่าให้มาเท่าไร เดี๋ยวกลับไปนับก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้แอบฮุบไว้หรือเปล่า
จินม่านกล่าวอย่างเก้อเขินว่า “คนข้างนอกคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ได้มาหนึ่งส่วนเท่านั้น”
เหมียวอี้เดาออกแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ จึงบอกตรงๆ ว่า “ข้าทำงานอยู่ข้างนอกก็ใช้ไปไม่น้อยเหมือนกัน ต้องอาศัยกำลังทรัพย์ของหกลัทธิสนับสนุน ขอเรียกร้องไม่เยอะ เดี๋ยวต่อไปจะให้หยางชิ่งร่างกฎระเบียบแบ่งสรรทรัพยากรกับพวกเจ้า คาดว่าพวกเจ้าคงจะไม่ตระหนี่หรอกใช่มั้ย?”
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำงานให้หกลัทธิอย่างเดียวก็ไม่ยึดอะไรเลย แบกรับเพียงชื่อเสียงอันจอมปลอมของ ‘ราชาปราชญ์’ ตอนนี้ในมือเขาก็ขัดสนเหมือนกัน มีครอบครัวใหญ่ต้องเลี้ยง ตอนนี้เขาก็ต้องแบ่งทรัพยากรของหกลัทธิจากลูกน้องมาใช้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ลัทธิอู๋เลี่ยงจะทำให้เขากังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีความมั่นใจที่จะควบคุมแล้ว ถ้าไม่คิดจะครอบครองทรัพยากรมากมายขนาดนั้นก็โง่แล้วล่ะ
“รับทราบ!” ไม่รู้เหมือนกันว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เอาเป็นว่าทุกคนตอบตกลงแล้ว
คนฝั่งนี้กำลังเจรจจากันอย่างเชื่องช้าอยู่บนหน้าผา ด้านล่างก็มีคนทนไม่ไหวแล้ว มีคนคนหนึ่งตะโกนเสียงดังฟังชัด “ท่านปู่!”
เงาคนคนหนึ่งข้ามออกจากเขตควบคุมแล้วเหาะเข้ามาทางนี้โดยตรง พอมาเหยียบลงบนหน้าผา ทุกคนก็หันกลับมามอง เป็นอวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง
ท่ามกลางคนแปลกหน้า อวิ๋นรั่วซวงมีท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู นางไปทำความเคารพตรงหน้าอวิ๋นอ้าวเทียนโดยตรง “หลานสาวคำนับท่านปู่ค่ะ”
“นี่คือหลานสาวของประมุขปราชญ์เหรอ?” เย่สิงคงแปลกใจ
อวิ๋นอ้าวเทียนเผยสีหน้ารักทะนุถนอมอย่างที่พบเห็นได้ยากขณะพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ตาเฒ่าเฉียวกับอวิ๋นเสียและพี่น้องตระกูลอวิ๋นก็ทยอยกันเหาะเข้ามาคารวะ
เมื่อเห็นคนตระกูลอวิ๋นเริ่มทำก่อน คนของฝั่งมู่ฝานจวินก็ไม่น้อยหน้า เข้ามาคารวะเช่นกัน โอวหยางกวงกับอันหรูอวี้ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทั้งคู่ทำสายตาอาลัยอาวรณ์
เมื่อเห็นแต่ละบ้านกำลังเสียระเบียยบ หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ทุกคนกลับไปอยู่ที่เดิมของตัวเอง ยังไม่ถึงเวลาแบ่งสมาชิก”
ห้าปราชญ์ให้ความร่วมมือกับสิ่งนี้ ต่างก็ให้ลูกหลานกลับไปประจำที่ก่อน
เรื่องต่อจากนั้นเหมียวอี้ก็ไม่ได้แทรกแซงแล้ว ปล่อยให้หยางชิ่งไปจัดการเอง หยางชิ่งพูดไว้ชัดเจนต่อหน้าทุกคนแล้ว ว่ายังมีคนอีกหลายสิบล้านสงสัยเคลือบแคลงเรื่องการมาที่นี่ ตอนนี้เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือให้คนที่มาถึงก่อนตอบจดหมายยืนยัน
หกลัทธิไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้เช่นกัน ให้ความร่วมมือที่จะปิดบังคนพวกนี้ให้เข้าใจผิดว่ามาถึงพิภพใหญ่แล้ว
เมื่อมีความเห็นเป็นเอกภาพแล้ว ก็ไม่มีใครขัดขวาง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นรวดเร็วมาก กำลังพลแปดสิบล้านถูกพาไปบนดาราจักร ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตากับความสวยวิจิตรตระการตาของดาราจักรผืนนี้ ฉากมายาของดาราจักรที่ลี้ลับยากจะคาดเดาไกลๆ นั่นก็ได้ทำให้แปดสิบล้านคนอัศจรรย์ใจจริงๆ แต่ก็ไม่ได้พาพวกเขาไปดูที่อื่นมากกว่านี้แล้ว พาไปชื่นชมแค่ดาวเคราะห์ที่หกประมุขขุนพลเคยถูกผนึกไว้ในตอนแรกเท่านั้น ที่จริงดาวเคราะห์พวกนั้นเหมาะสมกับการดำรงชีวิตมากกว่า ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ที่นั่นเปลี่ยนเป็นเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์แล้ว
สรุปก็คือ สิ่งนี้ทำให้แปดสิบล้านคนนี้แน่ใจว่าตัวเองมาถึงพิภพใหญ่แล้ว ส่วนในภายหลังจะรู้เรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว ตอนนี้หยางชิ่งบอกพวกเขาว่า เหมียวอี้ต้องกลับพิภพเล็ก ต้องนำจดหมายจากพวกเขากลับไปด้วย
บนดาวเคราะห์ที่หกประมุขขุนพลเคยถูกผนึกไว้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็ได้จดหมายที่จำเป็นต้องนำกลับไปครบแล้ว
เมื่อได้ของพวกนี้มาก็จะจัดการง่ายแล้ว เรื่องแบ่งคนห้าปราชญ์มีแผนอยู่ในใจมาตั้งแต่แรก กฎที่ต้องปฎิบัติตามก็คือให้แต่ละครอบครัวพาคนในครอบครัวของตัวเองไป นักพรตที่เป็นของหกแดนก็แบ่งตามเดิม
มีอยู่จุดหนึ่งที่หยางชิ่งเน้นย้ำกับบุคคบระดับสูงของหกลัทธิ นั่นก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิทำได้แค่อาศัยความสามารถไปตามจีบเท่านั้น ห้ามฝืนใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำเสียเรื่อง ต้องทราบไว้ว่านักพรตหญิงมากมายที่มาที่นี่ บ้างก็เป็นศิษย์มีสำนัก บ้างก็เป็นภรรยาของผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วย ถ้ามีเรื่องแย่งชิงผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ ก็จะทำให้แปดสิบล้านคนนี้เอาใจออกห่างแน่นอน
“เมื่อถึงคราวจำเป็น หกลัทธิก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู!” หยางชิ่งกล่าวต่อหน้าหกประมุขขุนพล เด็ดขาดดุดัน!
บุคคลระดับสูงของหกลัทธิก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้เช่นกัน ต้องสร้างกฎระเบียบขึ้นมา ตราบใดที่ทำตามกฎระเบียบ ปัญหาบางอย่างก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว เมื่อมีคนมากมายขนาดนี้เข้ามาเพิ่ม จะต้องเกิดความแตกต่างระหว่างฐานะและชนชั้นแน่นอน กำลังพลเดิมของหกลัทธิจะต้องอยู่ในชนชั้นปกครอง ถ้าได้เปรียบขนาดนี้แล้วยังสยบและทำให้ผู้หญิงของลูกน้องหวั่นไหวไม่ได้ เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว สิ่งที่ควรจะลงโทษหนักก็ต้องลงโทษหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะได้เชือดไก่ให้ลิงดูจริงๆ ก็ได้
ส่วนเรื่องแบ่งสมาชิก หยางชิ่งระงับเอาไว้ก่อน เพราะต้องให้บุคคลระดับสูงของแต่ละลัทธิร่างกฎระเบียบออกมาก่อน ต้องทำให้ความเห็นของกำลังพลเบื้องล่างเป็นเอกฉันท์ชัดเจนขึ้นมาก่อน
สำหรับสิ่งนี้หกลัทธิล้วนเห็นด้วย หลังจากกลับไปแล้วก็เตรียมการเรื่องนี้เร็วมาก
หลายวันหลังจากนั้น หลังจากเตรียมงานในระยะแรกไว้เรียบร้อยแล้ว หยางชิ่งถึงได้เริ่มปล่อยคนอย่างเป็นทางการ นักพรตหกแดนที่พามาจากพิภพเล็กถูกกำลังพลหกลัทธิแบ่งกันพาไปหาที่อยู่ตามคุณสมบัติเดิมของแต่ละคน
หยางชิ่งนับว่าเริ่มต้นจัดการเรื่องนี้ได้ดี ทำให้บุคคลระดับสูงของหกลัทธิมีจุดเริ่มต้นในการปรึกษาหารือกับเขาแล้ว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็ไม่ถึงขั้นพรวดพราดไม่ดูตาม้าตาเรือ
วิธีการเริ่มดำเนินงานอันรวดเร็วของหยางชิ่งนั้นไม่ธรรมดา ทำให้เหมียวอี้เบาใจลงเยอะ เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นที่ดี เหมียวอี้ก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่
ก่อนที่จะออกเดินทาง หยางชิ่งก็ไปหาเหมียวอี้เพื่อปรึกษากันอย่างลับๆ อีกครั้ง
จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลี เหวินฟางกับหลัวผิง สามีภรรยาสามคู่นี้ถูกเลือกให้กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของหยางชิ่ง การที่พวกเขาได้กลายเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหยางชิ่งได้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ใส่ใจของหยางชิ่งเช่นกัน เขาเองก็รู้ว่าคนพวกนี้สามารถเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้มอบอำนาจมากมายขนาดนี้ให้เขา เมื่อทำงานในสถานที่แบบนี้ เขาก็ยิ่งต้องอาศัยความเชื่อใจและความร่วมมือจากเหมียวอี้ ไม่อยากให้เหมียวอี้ไม่สบายใจ แบบนี้ตัวเองถึงจะสามารถทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็จะต้องสำนึกได้ด้วยตัวเอง ต้องทำให้เหมียวอี้วางใจ เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายจับคนที่เป็นหูเป็นตาให้เหมียวอี้มายัดไว้ข้างกายด้วยตัวเองเลย
จ้าวเฟยและอูเมิ่งหลันที่มาด้วยกันเฝ้าอยู่ในลานบ้านด้านนอก ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้
ในห้องนั้น หลังจากเหมียวอี้บอกใบ้ให้หยางชิ่งนั่งลงแล้ว ก็ยิ้มพร้อมเอ่ยถามว่า “ทำไมเหรอ ยังมีเรื่องอะไรไม่วางใจอีก?”
“เพิ่งมาครั้งแรก จุดที่ไม่วางใจก็ย่อมมีไม่น้อยอยู่แล้ว” หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจังทันที “ข้าน้อยไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ แต่มีความคิดอีกอย่างหนึ่งจะคุยกับนายท่าน เรื่องนี้ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ เกรงว่าจะต้องให้นายท่านอนุญาตและประสานงานกับประมุขปราชญ์โดยตรง”
“อ้อ!” เหมียวอี้ถาม “เรื่องอะไร?”
หยางชิ่งกล่าวอย่างลังเลว่า “หลายวันมานี้ หลังจากที่ข้าน้อยพอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว ก็รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องปล่อยคนชุดหนึ่งจากแดนอเวจีออกไป”
“ชุดหนึ่ง? เจ้าหมายความว่าจะส่งคนชุดหนึ่งออกไปข้างนอกเหรอ?” เหมียวอี้ที่เพิ่งนั่งลงต้องลุกขึ้นอีกครั้งอย่างตกใจ แล้วถามเสียงต่ำว่า “คงจะไม่เหมาะสมมั้ง? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้ารู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
หยางชิ่งลุกขึ้นยืนตามเขา แล้วเกลี้ยกล่อมว่า “ก่อนที่ข้าน้อยจะมา ข้าน้อยก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หลังจากมาแล้วถึงได้พบว่า เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ข้าน้อยจินตนาการไว้ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ข้าน้อยรู้สึกว่าท่าทีที่หกลัทธิมีต่อนายท่าน เหมือนจะถูกควบคุมด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างที่ไม่ชัดเจน ไม่อย่างนั้นด้วยศักยภาพอย่างพวกเขาก็คงไม่อยู่ในโอวาทขนาดนี้หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ข้าน้อยสังเกตเห็นจะผิดพลาดหรือเปล่า?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ใช่แล้ว มีพลังกลุ่มหนึ่งควบคุมพวกเขาไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นข้ากับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่มีทางกลายเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิได้ตั้งแต่ตอนแรกหรอก”
“ไม่รู้ว่าพลังจากฝั่งไหนที่กำลังควบคุมพวกเขาอยู่?” หยางชิ่งถามซักไซ้
เหมียวอี้หันหลังให้แล้วเอามือไขว้หลัง หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าไม่รู้ละเอียดหรอกว่าพลังอะไรกำลังควบคุมพวกเขาอยู่ แต่ข้ามั่นใจได้เลย ว่าน่าจะเป็นคนที่ผนึกหกประมุขขุนพลเอาไว้ตอนแรก เพียงแต่หกประมุขขุนพลเหมือนจะหวาดกลัว ไม่ยอมเปิดเผยความจริง”
หยางชิ่งสงสัยว่าเหมียวอี้หรืออะไรมาหรือเปล่า เขาจึงอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นเหมียวอี้เหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายข่มใจเอาไว้และไม่ถามอีก เพียงขมวดคิ้วถามอย่างกว้างๆ “ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “คงจะไม่ใช่ศัตรู” เขาหันตัวมาแล้วถามอีกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่เจ้าจะปล่อยคนออกไปเหรอ?”
หยางชิ่งพยักหน้า “ไม่ใช่ศัตรูก็ดี ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ได้แย่อย่างที่ข้าน้อยจินตนาการไว้ เช่นนั้นข้าน้อยก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องสามารถผลักดันไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งได้ ให้หกลัทธิส่งขุนพลใหญ่หนึ่งคนกับขุนพลสิบคนออกจากแดนอเวจี ให้ไปรับช่วงต่อช่องทางรายได้ของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอก”
เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์หกคนกับนักพรตระดับบงกชกลายหกสิบคน ปล่อยยอดฝีมือออกไปมากขนาดนั้น เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?”
หยางชิ่งอธิบายอย่างจริงจังว่า “เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่นายท่านคิด ในศึกเลือดแย่งชิงใต้หล้าปีนั้น พวกเขาสู้กับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ในตอนนี้แทบจะเอาเป็นเอาตาย ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะยอมจำนน ต่อให้ยอมจำนนแต่ก็จะได้รับนิรโทษกรรมชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายก็จะถูกบีบคั้นแน่นอน ในจุดนี้ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาระมัดระวังตัวยิ่งกว่านายท่านเสียอีก นอกจากนี้ สมาชิกหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ควบคุมช่องทางรายได้ของหกลัทธิเอาไว้ เมื่อไม่ได้ถูกแดนอเวจีควบคุมนานเกินไป แยกกันหลายปีแล้ว ใจคนนั้นยากจะคาดเดา เต็มไปด้วยสิ่งที่ยากจะควบคุม ไม่พ้นมีคนแอบฮุบผลประโยชน์ พวกเราจะต้องควบคุมช่องทางรายได้ของหกลัทธิไว้ในมือตัวเอง ถ้าไม่ส่งยอดฝีมือที่สามารถคุมสถานการณ์ได้ออกไปก็คงไม่ได้หรอก คนทั่วไปควบคุมกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกไม่ไหวเลย และถ้ามียอดฝีมือกลุ่มนี้อยู่ข้างนอกแล้ว ก็สามารถรับประกันความปลอดภัยให้นายท่านได้ในระดับหนึ่ง สามารถให้ความช่วยเหลือนายท่านได้ในช่วงเวลาสำคัญ ยังมีอีกจุดหนึ่ง ถ้าคนพวกนี้ออกไปแล้ว ก็หมายความว่าจะต้องทิ้งอำนาจทางทหารที่มีอยู่ในมือตอนนี้ด้วย ตามที่มีสมาชิกจำนวนมากเข้ามาใหม่ ทั้งยังมีทรัพยากรฝึกตนส่งเข้ามา บรรยากาศของที่นี่ก็แตกต่างกับความไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้านี้จนเทียบกันไม่ได้แล้ว การมีตำแหน่งสำคัญว่างหกตำแหน่งจะทำให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ทั้งข้างล่างข้างบนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลื่อนขั้นของคนจำนวนหนึ่ง จะทำให้รูปแบบของหกลัทธิเกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีทั้งคนดีใจและคนไม่พอใจ แล้วตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสดีสำหรับให้พวกเรายื่นมือเข้าไปแทรกแซงทั้งหกลัทธิ เป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้!”
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “เกรงว่าหกลัทธิก็อาจจะมองเห็นจุดนี้แล้วเหมือนกันน่ะสิ”
หยางชิ่งกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธได้! พวกเขาจะไม่สนใจการควบคุมช่องทางรายได้ข้างนอกเชียวเหรอ?”
…………………………