พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1620 พระโพธิสัตว์หลันเย่
ดาราจักรฝั่งนี้ดูไม่ต่างอะไรกับดราจักรฝั่งตำหนักสวรรค์
และสถานที่ที่มีคนเข้าออกจำนวนมากขนาดนี้ เมื่อออกมาแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือถลันหลบไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคนที่ออกตามมาข้างหลังก็อาจจะชนเจ้าได้
พวกเขาถลันหลบไปด้านข้าง เห็นกับตาว่ามีนักบวชทยอยกันออกมาไม่หยุด อย่างมากพวกเขาก็แค่ดึงดุดสายตานักบวชพวกนั้นให้มองมาหลายครั้ง
เหมียวอี้มองไปรอบๆ เรื่องแรกที่ทำก็คือนำแผนที่ดาวออกมาเปรียบเทียบ หลังจากแน่ใจว่ามาถึงแดนสุขาวดีแล้วจริงๆ แน่ใจแล้วว่าแผนที่แดนสุขาวดีมีบันทึกอยู่ในแผนที่ดาวและโล่งใจแล้ว เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของพระโพธิสัตว์ แต่มีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง
“แม่ทัพภาคหนิว อาตมายังต้องไปพบท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ อาตมาก็ขอตัวก่อน” พระอาจารย์จี้คงกล่าวขอตัว เขากับเหมียวอี้ไม่ได้ไปทางเดียวกันแล้ว
เดิมทีร่วมทางกันมา ทีแรกเหมียวอี้อยากจะเที่ยวเล่นในแดนสุขาวดีสักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าตระกูลโค่วจะแทรกเรื่องงานวันเกิดมาให้เขา ทำให้ฝั่งนี้เตรียมคนมาต้อนรับไว้ต่างหากแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่อยากถูกคนสนิทของตระกูลโค่วจับตามอง จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าพระอาจารย์จะอยู่ที่แดนสุขาวดีนานเท่าไร?”
“เกรงว่าจะต้องอยู่หลายเดือน” จี้คงตอบ
เหมียวอี้กล่าวทันทีว่า “เช่นนั้นก็ดี ไม่แน่ว่าหลังจากจบงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์ ข้าอาจจะไปรบกวนพระอาจารย์ หวังว่าพระอาจารย์จะไม่ปฏิเสธและทิ้งหนิวไว้นอกประตู”
“แม่ทัพภาคหนิวล้อเล่นแล้ว อาตมาจะรออยู่เงียบๆ ก็ได้” จี้คงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ได้! งั้นตกลงตามนี้” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
จี้คงประนมมือทำความเคารพกลับ แล้วก็ประนมมือกล่าวขอตัวกับเมี่ยวฉุน พอเมี่ยวฉุนประนมมือตอบ จี้คงถึงได้หันตัวหาทิศทางที่แม่นยำแล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เมี่ยวฉุนก็เอียงหน้ามองเหมียวอี้ แล้วเริ่มมองประเมินอย่างละเอียด สำหรับลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วท่านนี้ ตอนอยู่ที่แดนสุขาวดีก็ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ขุนนางเหมียวทำเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำมาหมดแล้ว จะไม่ให้ชื่อเสียงโด่งดังก็คงแปลก
หลังจากเหมียวอี้หันกลับมามอง เมี่ยวฉุนถึงได้ยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิวเชิญตามอาตมามาทางด้านนี้”
“รบกวนแล้ว!” เหมียวอี้ประนมมือตามประเพณี จากนั้นก็ตามนางเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรพร้อมกับเหยียนซิว
ถ้าจะถามว่าอาณาเขตของแดนสุขาวดีหรือตำหนักสวรรค์ใหญ่กว่า สิ่งนี้ไม่มีทางเทียบกันได้ สำหรับทั้งสองแดน ดาราจักรใหญ่ขนาดไหน อาณาเขตของทั้งสองฝ่ายก็ใหญ่เท่านั้น แต่ถ้าจะพูดถึงขอบเขตอำนาจที่ปกครอง ตำหนักสวรรค์ก็ต้องใหญ่กว่าอยู่แล้ว ถึงแม้อาณาเขตของตำหนักสวรรค์จะเต็มไปด้วยศิษย์สำนักพุทธ แต่ศิษย์สำนักพุทธเหล่านี้ก็สนใจแค่ควบคุมดูแลสาวกในโลกมนุษย์ รับเอาพลังปรารถนาของสาวกเท่านั้น ไม่มาเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์
แน่นอน ในเมื่อสำนักพุทธยอมถอยให้แล้ว ตำหนักสวรรค์ก็จะต้องถอยเช่นกัน อาณาเขตที่แดนสุขาวดีทำเครื่องหมายเอาไว้ผืนนี้ ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจใดๆ ในการควบคุม
ระบบของแดนสุขาวดีก็ไม่ได้เข้มงวดเท่าตำหนักสวรรค์ด้วย พวกวัชระหรือพระโพธิสัตว์อะไรนั่น ถึงแม้ประมุขพุทธะจะแต่งตั้งให้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้จำกัดรายชื่อ ขอเพียงวรยุทธ์ถึงระดับที่กำหนดและมีบุญกุศลมากพอ ได้รับพลังปรารถนาในจำนวนที่สอดคล้องกัน ประมุขพุทธะก็อาจจะแต่งตั้งเจ้า
ยกตัวอย่างเช่นอรหันต์ที่มีตำแหน่งเทียบเท่าท่านโหว ตำหนักสวรรค์กำหนดตายตัวไว้เพียงเจ็ดสิบสองโหวเท่านั้น แต่แดนสุขาวดีกลับมีอรหันต์จำนวนแปดร้อย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ค่อนข้างเหมือนกันแน่นอน นั่นก็คือยิ่งระดับสูงมากเท่าไร คนก็จะยิ่งมีจำนวนน้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีประมุขพุทธะสองคน
ฉายาที่แดนสุขาวดีตั้งขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่ากำลังพลที่อยู่ในมือจะเยอะเสมอไป นี่ก็คือจุดที่แตกต่างกันระหว่างแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์ ไม่มีใครอาศัยตำแหน่งไปยุ่งเรื่องของคนนอก ทั้งข้างบนข้างล่างแทบจะเป็นความสัมพันธ์แบบการสิบทอดวิชา ใครมีศิษย์ที่ต่อเนื่องลงไปเยอะ ก็แสดงว่าคนนั้นจะมีลูกน้องเยอะ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เจ้ามีทรัพยากรฝึกตนมอบให้เพียงพอ
ทรัพยากรฝึกตนหลักที่แดนสุขาวดีใช้ก็คือพลังปรารถนา ไม่ใช่ว่านักพรตชาวพุทธไม่ใช้พวกยาแก่นเซียน แต่เป็นเพราะเงื่อนไขฝั่งนี้มีจำกัด ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมใต้หล้าเหมือนตำหนักสวรรค์ ยอมขาดแคลนกำลังทรัพย์อยู่แล้ว เมื่อไม่มีกำลังทรัพย์ก็ย่อมหายาแก่นเซียนให้เพียงพอได้ยาก เมื่อไม่มียาแก่นเซียนเพียงพอก็ต้องอาศัยพลังปรารถนาเป็นหลัก
แดนสุขาวดีก็มีโลกมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน แต่อยู่ภายใต้การครอบคลุมของรัศมีสำนักพุทธ มนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่นับถือพุทธ นี่คือจุดที่มีความต่างและความเหมือนกับแต่ละแดนของพิภพเล็ก แต่พิภพเล็กควบคุมมนุษย์ธรรมดายิ่งกว่า ส่วนฝั่งนี้ไม่เข้มงวดเท่าไรนัก
และแดนพุทธก็ยกให้ประมุขพุทธะเป็นใหญ่ที่สุด พลังปรารถนาที่โลกมนุษย์อธิษฐานก็ย่อมพุ่งเป้าไปที่ประมุขพุทธะอยู่แล้ว อำนาจในการแบ่งสรรแหล่งพลังปรารถนาก็อยู่ในมือประมุขพุทธะเช่นกัน อำนาจของฝ่ายตำหนักสวรรค์จะค่อยช่วยควบคุมว่าในวัดแต่ละแห่งได้รวบรวมพลังปรารถนาส่งไปให้ประมุขพุทธะหรือไม่ วัดไหนที่ไม่ส่งให้ประมุขพุทธะก็จะถูกกวาดล้าง
ฝั่งนี้มีอรหันต์ที่อยู่ระดับเดียวกับท่านโหวเยอะมาก พระโพธิสัตว์ที่อยู่ระดับเทพประจำดาวก็ย่อมไม่น้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เหมียวอี้ต้องไปอวยพรวันเกิดให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ เพราะปรมาจารย์ของนางก็คือพุทธะจิ้งฮวาที่มีระดับเทียบเท่าอ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่มีภูมิหลังอย่างนี้ก็คงรบกวนให้ตระกูลโค่วส่งคนมาร่วมอวยพรวันเกิดไม่ได้
แดนสุขาวดีใช้วิธีการตั้งชื่อดวงดาวเหมือนกับในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ชื่อว่าดาวหลันเย่ เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมียวอี้เดินทางมาในครั้งนี้
พระอาจารย์ใหญ่เมี่ยวฉุนที่นำทางเหมียวอี้มานับว่าเป็นศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อาจารย์ของนางก็คือศิษย์สายตรงของพระโพธิสัตว์หลันเย่นั่นเอง
สามารถส่งศิษย์หลานมาต้อนรับนำทางได้ ก็ย่อมไม่แฉยชาอยู่แล้ว
ดาวหลันเย่ เกาะบนทะเลมรกตกระจัดกระจายเหมือนดาวบนท้องฟ้า มีวัดตั้งอยู่หลายแห่ง เมฆหมอกบางลอยอยู่ระหว่างเกาะ เสียงระฆังดังรื่นหูชำระล้างใจคน
อยู่ในช่วงเช้าตรู่พอดี แสงแรกอันเจิดจ้าที่สาดส่องขึ้นมาเหนือผิวทะเลส่องสว่างบนยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะแห่งหนึ่ง วัดที่อยู่บนยอดเขาสะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ ถูกล้อมรอบด้วยแสงแห่งความมงคล ราวกับเป็นยอดเขาทอง
มีคนหนุนหลังก็ย่อมมีข้อดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจุกจิกวุ่นวาย เหมียวอี้ถูกนำเข้าไปในอารามหลันเย่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าโดยตรง
นักบวชหญิงในอารามสวมใส่เครื่องแต่งกายสีเดียวกัน บางคนก็โกนผมแล้ว บางคนก็ฝึกตนโดยที่ยังไว้ผมอยู่ ผู้ที่ยังมีผมผูกผมห้อยไปข้างหลัง
เหยียนซิวที่เดินตามมาตลอดทางถูกกันไว้นอกพระอุโบสถ มีเพียงเหมียวอี้ที่ถูกปล่อยให้เข้าไป
พระอุโบสถถูกสร้างขึ้นโดยใช้พลังปรารถนาบริสุทธิ์ อารามที่มีแสงสีทองเรืองอร่ามทำให้ข้างในดูขาวสะอาดเป็นพิเศษ ในอุโบสถมีพระพุทธรูปประมุขพุทธะขนาดสูงใหญ่ กำลังนังขัดสมาธิชิดผนัง ใต้พระพุทธรูปเป็นฐานดอกบัวสีขาวบริสุทธ์ กลีบดอกบัวซ้อนสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ พระโพธิสัตว์หลันเย่นั่งขัดสมาธิอย่างสง่าอยู่บนนั้น ทางซ้ายและขวามีลูกศิษย์ยืนประนมมืออยู่หลายคน
พระโพธิสัตว์หลันเย่ไว้ผมยาวคลุมหลัง สีหน้าสงบนิ่งภูมิฐาน ดวงตาสดใสเป็นประกาย จ้องประเมินเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาในพระอุโบสถโดยตรง
ตอนที่เหมียวอี้เดินเข้ามาก็มองประเมินอีกฝ่ายเช่นกัน พอเดินมาถึงใต้ฐานดอกบัวก็ทำความเคารพ “หนิวโหย่วเต๋อได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์โค่วให้มาอวยพรงานวันเกิดมให้พระโพธิสัตว์!” แล้วมอบกำไลเก็บสมบัติให้
ด้านข้างมีคนเข้ามารับของขวัญเอาไว้แล้ว
“ขอบคุณให้เจตนาอันงดงามของอ๋องสวรรค์ หวังว่าจะกลับไปทักทายอ๋องสวรรค์โค่วแทนข้าพเจ้าด้วย” พระโพธิสัตว์หลันเย่สงบนิ่ง
ทั้งสองฝ่ายเริ่มถามตอบกัน ทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎและธรรมเนียม นับว่าทำพอเป็นพิธี ทั้งคู่ต่างก็ธรรมเนียมปฏิบัติ จากนั้นเหมียวอี้ก็กล่าวขอตัว
พอออกจากพระอุโบสถแล้ว เมี่ยวฉุนที่รออยู่ด้านนอกก็นำเหมียวอี้และเหยียนซิวออกจากอารามหลันเย่ เหาะไปยังเรือนพักแขกที่เตรียมไว้ใกล้ๆ นี้ หลังจากรออยู่ครึ่งเดือนก็ถึงวันเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่อย่างเป็นทางการ
ที่นี่ไม่ได้จัดงานโอ่อ่าเหมือนภายนอก เพียงทำพิธีกรรมในวันเกิดเท่านั้น ให้แขกได้สร้างบรรยากาศที่คึกคักด้วยกัน
ที่ลานบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งที่มีประตูเดียว หลังจากเตรียมที่พักเรียบร้อยแล้ว เมี่ยวฉุนกับเหยียนซิวก็แลกเปลี่ยนระฆังดาราเพื่อให้สะดวกในการติดต่อกัน หากมีเรื่องอะไรก็สามารถติดต่อหานางได้ทุกเมื่อตอนนี้นางมีหน้าที่ดูแลเหมียวอี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ การที่สามารถให้ศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์หลันเย่มาดูแลด้วยตัวเองได้ อีกทั้งมี่ยวฉุนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ด้วย ที่เหมียวอี้ได้รับการดูแลแบบนี้ก็เพราะมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุ่นหลัง ต่อให้เป็นทางด้านตระกูลหวงฝู่ก็มีแต่พระและแม่ชีระดับล่างดูแลเท่านั้น
แต่ไม่นานคนของตระกูลหวงฝู่ก็มาแล้ว หวงฝู่จวินโหรวมาหาถึงที่ นางสวมกระโปรงยาวสีม่วงที่เผยให้เห็นเค้าโครงเรือนร่างอันงดงาม คนก็หน้าตาสวยจริงๆ ทั้งยังมีสง่าราศีดีด้วย
เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ในลานบ้านหลุบตาลง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าหวงฝู่จวินโหรวเดินไปที่ห้องนอนของเหมียวอี้ เขาไม่อยากจะเห็นเลยจริงๆ เพียงหวังว่าท่านที่อยู่ในห้องจะมีสำนึกหน่อย มองดูให้ชัดเจนว่าที่นี่คือที่ไหน
ที่จริงตอนที่หวงฝู่จวินโหรวเห็นเหยียนซิวก็รู้สึกอับอายเช่นกัน ถึงอย่างไรเหยียนซิวก็ไม่ได้เป็นพยานเห็นนางกับเหมียวอี้ลักลอบพบกันเป็นครั้งแรก นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยังมียางอายในใจอยู่บ้าง แอบมาเล่นชู้กับผู้ชายที่มีภรรยาอยู่แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญนักเหรอ?
แต่หลังจากก้าวเข้าประตูมาเจอเหมียวอี้แล้ว ท่าทางสง่าภูมิฐานของนางยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เปลี่ยนไปทันที นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตางามกำลังมองเหมียวอี้อย่างออดอ้อน ใช้สองมือเอื้อมไปใส่กลอนประตูข้างหลังอย่างช้าๆ จากนั้นเดินเนิบนาบเข้ามาหาเหมียวอี้
เหมียวอ้าดเหงื่อทันที เพราะเขาไม่อยากเจอกับหวงฝู่จวินโหรวที่นี่ แต่หวงฝู่จวินโหรวส่งข้อความมาหาเขาไม่หยุด เขาไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงบอกที่อยู่นางไป แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว เหมือนจะไม่ได้อยากเจอหน้าอย่างเดียว
“เจ้าจะปิดประตูทำไม? ถ้าใครมาเห็นเข้า ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรกันแต่ก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว” เหมียวอี้กระวนกระวายนิดหน่อย โบกมือเตรียมจะร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดประตู
หวงฝู่จวินโหรวกลับมากดมือเขาเอาไว้ ร่างงามเข้ามาแนบชิดในอ้อมอกของเหมียวอี้อย่างช้าๆ ใช้แขนสองข้างคล้องคอเหมียวอี้ ร่างกายแนบชิดกันแล้ว นางตอบด้วยตาที่เป็นประกายหยาดเยิ้ม “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วเจ้าจะกลัวอะไรล่ะ? แล้วอีกอย่าง…เจ้าไม่อยากทำอะไรสักหน่อยจริงๆ เหรอ?”
“เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว!” เหมียวอี้ดึงแขนนางออกอย่างกังวลนิดหน่อย
ผลปรากฏว่าหวงฝู่จวินโหรวคล้องคอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย พ่นลมหายใจหอมกระซิบถามว่า “คิดถึงข้ารึเปล่า?”
“จวินโหรว อย่าทำอย่างนี้ ข้างนอกมีคน เสียงได้ยินไปถึงขนาดนอกเลยนะ”
“ใช่ว่าลูกน้องเจ้าจะไม่รู้เรื่องระหว่างเราสักหน่อย”
“อย่าทำอย่างนี้สิ ถ้าโดนแม่เจ้าจับได้จะไม่แย่หรอกเหรอ”
“ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร? เจ้าคิดว่านางไม่รู้เหรอว่าตอนหลังพวกเรามาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว? ที่จริงนางก็เป็นคนผลักข้ามาอยู่ข้างกายเจ้าเอง…” พูดไปพูดมา หวงฝู่จวินโหรวที่เกิดอารมณ์ปรารถนาก็เขย่งเท้า เอาปากแดงเล็กของตัวเองประกบบนริมฝีปากเหมียวอี้แล้ว เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ร้อนแรงดั่งไฟ
เป็นอย่างที่นางบอก ตั้งแต่โดนหวงฝู่ตวนหรงผลักกลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ผู้หญิงคนนี้ก็หมดความกังวลไปแล้วชั้นหนึ่ง เมื่อมีการบุกทะลวงทางด้านความรู้สึกได้แล้วหนึ่งชั้น หลังจากปลดปล่อยออกมาแล้ว อารมณ์ของนางก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เดิมทีการแอบลักลอบก็เร้าใจกว่าการทำอย่างสง่าผ่าเผยอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนนี้นางไม่กลัวมารดานางแล้วจริงๆ อย่างน้อยกับเรื่องแบบนี้นางก็ไม่กลัวเลยสักนิด นางสังเกตเห็นว่ามารดานางพยายามหลบเลี่ยงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้านาง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดต่อลูกสาว เป็นเพราะไม่มีหน้าจะมาพูดอะไรกับลูกสาวอีกแล้วจริงๆ
“ไม่ได้!” ถึงแม้จะโดนยั่วจนรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือ แต่เหมียวอี้ก็ยังออกแรงผลักนางออก เขาไม่มีความกล้าที่จะทำซี้ซั้วที่นี่จริงๆ เขาเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันรู้ถึงสถานการณ์ของที่นี่ชัดเจนเลย จะกล้าทำเรื่องอย่างนั้นกับนางได้อย่างไร แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวโดนผลักจนโซเซไปข้างหลัง หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางก็ก้มหน้าช้าๆ ความเร่าร้อนในใจโดนน้ำเย็นสาดจนดับแล้ว นางถามเสียงต่ำว่า “เจ้ารังเกียจที่ข้าไร้ยางอายมาเกาะแกะเจ้าใช่มั้ย?”
“ข้า…” เหมียวอี้เปลี่ยนเป็นกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าหมายถึงเราทำกันที่นี่ไม่ได้ เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่ที่ไหน ดาวหลันเย่ก็มีโลกมนุษย์เหมือนกัน ไปเดินเล่นกันที่โลกมนุษย์ดีกว่า ข้าอยากจะเห็นพอดีว่าโลกมนุษย์ของที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เปลี่ยนอารมณ์จากโมโหเป็นดีใจ นางเงยหน้ากลอกตามองเขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “เดี๋ยวข้าจะบอกแม่ข้าก่อน”
“ได้!” เหมียวอี้รีบโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักประตูออก รีบเร่งฝีเท้าเดินออกไป ไม่กล้าปิดประตูอยู่ด้วยกันนานให้คนสงสัย
หลังจากออกประตูมาแล้วสบตากับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ในสวนด้านนอก ในใจเหมียวอี้ก็ค่อนข้างอับอาย เหยียนซิวหันหน้าหนีทำเป็นไปรู้อะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ยุ่งไม่ได้อยู่แล้ว
ไม่นานหวงฝู่จวินโหรวก็ออกมา แล้วบอกด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “แม่ข้าพาพ่อข้ามาแล้ว”
“หา!” เหมียวอี้เบิกตากว้าง “พวกเขาจะมาทำไม? เจ้าบอกเหรอว่าข้าอยู่ที่นี่?”
…………………………