พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1626 ไม่ค่อยชอบมาพากล
พออวิ่นจ้าวได้ยินดังนั้น ก็กล่าวอย่างเด็ดขาดทันที “เรื่องนี้จะให้คนอื่นมายุ่งไม่ได้เด็ดขาด เรื่องไปหาคนอื่นมาช่วยไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเราตามหลังแล้วหาโอกาสต่อไป”
“ศิษย์พี่!” อวิ่นหมิงกลับประนมมือบอกให้ช้าก่อน พูดโน้มน้าวว่า “ใช่ว่าศิษย์น้องอวิ่นกวงจะไม่รู้ถึงสถานการณ์นี้ ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าจะต้องมีสถานการณ์พิเศษอะไรแน่นอน ลองฟังให้จบแล้วค่อยว่ากันก็ได้” ไม่รอให้อวิ่นจ้าวที่เริ่มขมวดคิ้วได้คัดค้าน เขาชิงพูดกับอวิ่นกวงก่อนแล้วว่า “คนสนิทของศิษย์น้องจะช่วยเรื่องแบบนี้ได้ยังไง หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนธรรมดานะ เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ใช่ว่าใครก็จะไปมีเรื่องด้วยไหว”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พบว่ามีเหตุผล อวิ่นจ้าวจำต้องข่มคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากเอาไว้ มองไปที่อวิ่นกวงเช่นกัน พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันมองไปที่อวิ่นกวงหมดแล้ว
อวิ่นกวงยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ที่ข้ากล้าไปหาเขาก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาแต่งงานรับผู้หญิงตั้งหลายคนที่ตำหนักสวรรค์ มีแม้กระทั่งทายาทด้วยแล้ว เขาถูกข้าจับได้โดยบังเอิญ”
พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องได้ยินแล้วมองหน้าเลิกลั่ก นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
อวิ่นหมิงขานรับ แล้วถามอย่างสนใจว่า “ไม่ทราบคนสนิทของเจ้ามีฐานะเป็นยังไง อาศัยอะไรถึงจะรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้?”
อวิ่นกวง “ไป่ลิ่ว ศิษย์คนที่หกของพระอรหันต์ฮุ่ยหลิน น่าจะคิดหาข้ออ้างรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ดาวฮุ่ยหลินได้”
อวิ่นหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปาก แล้วหันมาบอกอวิ่นจ้าวอีกว่า “ศิษย์พี่ พิจารณาวิธีการของศิษย์น้องอวิ่นกวงดูสักหน่อยก็ได้นะ”
อวิ่นจ้าวขมวดคิ้ว “แต่งงานกับผู้หญิงในทางโลก เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ล้วนมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากันทั้งนั้น นักพรตแดนสุขาวดีที่ทำเรื่องแบบนี้คงจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว คิดจะอาศัยเรื่องแบบนี้มาปิดปากเขา ทำได้เหรอ?”
“อามิตตาพุทธ” อวิ่นหมิงประนมมือพลางหลุบตาหลง “เช่นนั้นก็รับประกันความเสี่ยงอีกสักหน่อย หลังจากจบเรื่องนี้แล้วเขาจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากอีกเลย”
คนที่เหลือตกใจทันที ทุกคนทำสีหน้าระแววงสงสัยไม่หยุด ย่อมเข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร แบบนี้ต้องการจะฆ่าปิดปากไง!
อวิ่นจ้าวกล่าวเสียงต่ำว่า “พระอรหันต์ฮุ่ยหลินกับท่านอาจารย์มีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
อวิ่นหมิงถามกลับว่า “ท่านอาจารย์กับตระกูลอิ๋งก็มีไมตรีต่อกันเหมือนกัน ครั้งนี้ไม่สู้ทำตามใจตระกูลอิ๋ง ให้ตระกูลอิ๋งปล่อยท่านอาจารย์ไปไม่ดีกว่าเหรอ? ในสายตาของพวกเขา มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ยืนยาว จะมีไมตรีหรือความขัดแย้งอะไรเสียที่ไหน?”
พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องตกอยู่ในความเงียบทันที…
ณ ดาวฮุ่ยหลิน เหมียวอี้ยังคงทำตัวเหมือนขี่ม้าชมดอกไม้ เหาะไปเหาะมา เดี๋ยวก็เดินเล่นอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็เดินเล่นอยู่ตรงนั้น นอกจากชมทิวทัศน์ที่งดงามเป็นพิเศษ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปนมัสการเจ้าถิ่น ถ้าเจ้าอยากจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ต้องบอกอีกฝ่ายสักหน่อย จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน
มีแผ่นหยกผ่านทางที่พระโพธิสัตว์หลันเย่ให้ไว้ ขอเพียงไม่ใช่คนที่มีความแค้นกับพระโพธิสัตว์หลันเย่ โดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะไม่ไว้หน้า กอปรกับภูมิหลังของหนิวโหย่วเต๋อ มาเดินเล่นอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครกลั่นแกล้ง
เป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ โดยปกติก็จะได้ครอบครองอาณาเขตที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสถานที่ฝึกตนของพระอรหันต์ผู้สง่าผ่าเผย ย่อมต้องไปพบสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
พระอรหันต์ฮุ่ยหลินไม่อยู่ เพียงแต่ลูกศิษย์สามารถช่วยตัดสินใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แทนได้ ไป่ลิ่ว ศิษย์คนที่หกของฮุ่ยหลินเป็นฝ่ายเชิญให้เขาอยู่ที่นี่ แล้วมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง พาไปขึ้นเขาทะเลเลหมอก ฟังเสียงระฆังที่ไพเราะ มองดูสหายนักบวชนั่งสมาธิระงับความอยากรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่ใต้ต้นไม้
เพียงแต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เหมียวอี้ก็ขอตัวอำลา ใจเขาไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เลย “ทิวทัศน์ทะเลหมอกที่นี่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มจริงๆ เป็นสถานที่ที่ดี รบกวนไต้ซือให้มาเป็นเพื่อนตลอดทาง ไม่สะดวกจะรบกวนอีกต่อไปแล้ว วันหลังถ้าไต้ซือไปที่ตำหนักสวรรค์ หนิวจะเป็นเจ้าบ้านต้อนรับเอง วันนี้ขอกล่าวอำลาตรงนี้”
ที่บอกว่าทิวทัศน์งดงามน่าหลงใหลนั้นพูดไปตามมารยาท สำหรับเหมียวอี้แล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรน่าดูเลย เขาเคยอยู่อุทยานหลวงมาก่อน มีทิวทัศน์งดงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็น
“หา!” ไป่ลิ่วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เหตุแม่ทัพภาคหนิวจึงรีบไป หรือว่าอาตมามีจุดไหนที่ดูแลไม่ทั่วถึง?”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ไม่ใช่หรอก! หนิวเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี มีหน้าที่ติดตัว สุดท้ายก็จะต้องกลับไป จะอยู่ที่แดนสุขาวดีนานไม่ได้ เดิมทีครั้งนี้ก็กะว่าจะขี่ม้าชมดอกไม้ไปทั่วอยู่แล้ว เป็นแบบนี้มาตลอดทาง หวังว่าจะได้เห็นหลายๆ ที่เพื่อเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ไม่ได้ไม่พอใจอะไรไต้ซือเลย”
ไป่ลิ่วประนมมือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาตมาก็ไม่ควรขัดขวาง เพียงแต่อาตมาแนะนำให้แม่ทัพภาคหนิวอยู่ต่อสักวันสองวัน”
เมื่อได้ยินคำพูดที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้ เหมียวอี้ก็ถามว่า “หมายความว่ายังไงเหรอ?”
ไป่ลิ่วบอกว่า “ดาวฮุ่ยหลินมีเรื่องอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง ที่ทะเลคลื่นเขียวมรกต ภายในสองวันนี้จะมีฉากมหัศจรรย์ที่พบเห็นได้ยากบนทะเล ผู้ที่มาจะพลาดชมไม่ได้ ถ้าแม่ทัพภาคหนิวมาถึงแล้วพลาดชม ก็จะต้องเสียใจทีหลังแน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตแม่ทัพภาคหนิวอาจจะต้องมาอีกรอบก็ได้”
เมื่อเห็นเขาพูดด้วยท่าทางเหมือนจะต้องดูให้ได้ เหมียวอี้ก็ถามเหมือนอยากรู้อยากเห็น “ไม่ทราบว่าเป็นฉากอัศจรรย์ยังไงเหรอ?”
ไป่ลิ่วยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “แม่ทัพภาคหนิวอยู่ดูสักหน่อยก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ย่อมเข้าใจเอง อาตมารับรองว่าแม่ทัพภาคหนิวจะรู้สึกว่าไม่เสียเที่ยว”
“อ้อ!” เหมียวอี้ถูกเขาล่อจนรู้สึกสนใจแล้วนิดหน่อย เอียงหน้ามองไปที่เมี่ยวฉุน
“ดาวฮุ่ยหลินมีอะไรแปลกๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ ทำไมก่อนหน้านี้อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน?” เมี่ยวฉุนฉงนใจนิดหน่อย
“เมื่อก่อนไม่มี เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเอง ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อก่อนพลาดไป ตอนหลังเพิ่งปรากฏออกมา เอาเป็นว่าอาตมารู้สึกว่าพระอาจารย์ใหญ่อยู่ดูสักหน่อยก็ได้ ไม่ทำให้พระอาจารย์ใหญ่ผิดหวังแน่นอน” ไป่ลิ่วตอบพร้อมรอยยิ้ม
เมี่ยวฉุนถูกโน้มน้าวจนหวั่นไหว นางมองเหมียวอี้พร้อมถามว่า “แม่ทัพภาคหนิวเสียเวลาสักสองวันไม่ได้เหรอ?”
เหมียวอี้ไตร่ตรองนิดหน่อย แล้วสุดท้ายก็พยักหน้ายิ้ม “ได้! งั้นก็อยู่ดูหน่อยแล้วกัน เพียงแต่ต้องรบกวนความสงบของไต้ซือสักสองวันแล้ว” เขาไม่แยแสเวลาสองวันนี้หรอก เมื่อเจอกับจุดที่ระยะทางยาวไกล เขาก็ต้องเสียเวลาในการเดินทางสองวันอยู่ดี กอปรกับสถานีนี้ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางของเขาแล้ว ดีไม่ดีอาจจะต้องพักอยู่ตรงจุดหมายปลายทางก็ได้ ไม่สู้ดูที่นี่เป็นตัวอย่างไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอไปถึงที่หมายแล้วเจอเรื่องผิดปกติจะได้ไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย ในเมื่อตรงนี้มีทิวทัศน์อัศจรรย์ที่หาชมได้ยาก ก็ลองเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อยก็ได้
“ไม่นับว่ารบกวนหรอก เอาอย่างนี้นะ พวกเราไม่สู้ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ฉากอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นช่วงไหนของสองวันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดชม พวกเราไปเฝ้ารออยู่ตรงนั้นกันก่อน” ไป่ลิ่วอธิบายเหตุผลให้ฟัง แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดว่ายังไง?”
“แขกย่อมต้องตามใจเจ้าบ้านอยู่แล้ว” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวหัวเราะ
“ดี! ให้อาตมาบอกศิษย์พี่ก่อน” ไป่ลิ่วหยิบระฆังดาราก็มาแจ้งข่าว จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ นำพวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยตัวเอง
เหาะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยอากาศ มีแรงต้านเยอะมาก พวกเขาไม่ได้เร่งความเร็ว เทียบกับตอนอยู่ในดาราจักรไม่ได้ นักพรตบงกชรุ้งอย่างพวกเขาใช้เวลาไปสองชั่วยามเต็มๆ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เหมียวอี้เดาว่าตัวเองมาถึงปลายขอบอีกด้านของดาวฮุ่ยหลินแล้ว
ตรงหน้าเป็นทะเลมรกตที่กว้างใหญ่ มีเกาะเล็กโดดเดี่ยวสอสามแห่ง ไป่ลิ่วพาพวกเขาเหาะไปบนเกาะที่ใหญ่ที่สุด แล้วอยู่รอที่นั่น
หลังจากอยู่บนเกาะนั้นได้ครึ่งวัน เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากคนคนหนึ่ง เป็นฆราวาสผู่หลันที่ส่งข่าวมา บอกว่าทางเขาหลิงซานช่วยให้ความสะดวกกับเขาแล้ว ให้เขาไปเที่ยวชมที่เขาหลิงซานได้ทุกเมื่อ แต่จุดที่เที่ยวชมได้มีจำกัด ห้ามไม่ให้เขาเข้าไปบริเวณวัดต้าเหลยอินที่ประมุขพุทธะใช้ฝึกตน สิ่งที่นางทำได้มีเพียงเท่านี้ ถามเหมียวอี้ว่าคิดอย่างไร
ในจุดนี้เหมียวอี้สามารถเข้าใจได้ วัดต้าเหลยอินก็เทียบเท่ากับวังสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ จะปล่อยให้เขาบุกเข้าไปซี้ซั้วได้อย่างไร ภูมิหลังของเขาใช้ขู่คนอื่นได้นิดหน่อย แต่ถ้าคิดจะเอามาขู่ประมุขพุทธะก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าขำจริงๆ เขาย่อมขอบคุณฆราวาสผู่หลัน บอกว่าจะทัศนาจรอีกสักหน่อยแล้วค่อยไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซาน
สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร การได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซานก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายในการมาแดนสุขาวดีครั้งนี้
เช้าวันต่อมา เหมียวอี้กำลังนั่งฝึกตนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะ เหยียนซิวที่รับหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาเงียบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงเรียกข้างหู “นายท่าน”
เหมียวอี้ลืมตาเล็กน้อย “มีเรื่องอะไร?”
“ข้าน้อยรู้สึกว่าสถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยชอบมาพากล” เหยียนซิวกล่าว
เหมียวอี้อึ้งทันที ค่อยๆ หยุดฝึกวิชา แล้วถามว่า “ไม่ชอบมาพากลยังไง?”
เหยียนซิวตอบ “ในเมื่อเป็นทิวทัศน์อัศจรรย์ที่หาดูได้ยาก ก็น่าจะมีคนอื่นมาชมด้วยสิถึงจะถูก แต่ทำไมไม่มีคนนอกเลยล่ะ มีแค่พวกเราไม่กี่คนเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง อย่าบอกนะว่าพวกฮุ่ยหลินมีเจตนาแอบแฝงกับตน พวกฮุ่ยหลินไม่น่าจะมีความกล้าขนาดนั้นนะ แต่เขาที่เคยผ่านประสบการณ์อันตรายมาเยอะก็ยังระวังตัวเพิ่มขึ้น “เจ้าไปถามไป่ลิ่วหน่อยว่ามันยังไงกันแน่”
“ถามแล้วขอรับ แต่เขาบอกว่าพวกเรามาเร็วเกินไป อีกไม่นานก็จะมีคนอื่นมาเหมือนกัน” เหยียนซิวตอบ
เหมียวอี้พยักหน้า “งั้นก็ตามนั้น เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำร้ายพวกเรานี่ ถ้าจะลงมือกับพวกเราจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องถ่วงเวลา น่าจะลงมือตั้งแต่ตอนอยู่ในวัดที่มีคนเยอะๆ แล้ว”
“ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวก็แต่เรื่องที่ไม่แน่นอน นายท่านระวังตัวไว้จะดีกว่า” เหยียนซิวแนะนำอีกครั้ง
จะไม่ให้เขาเตือนก็ไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ตามเหมียวอี้ออกมา ทางอวิ๋นจือชิวก็จะกำชับเขาเสมอ ย้ำเขาให้ระวังตัว กลัวว่าเขาจะประมาทเลินเล่อ หลังจากมาถึงแดนสุขาวดีแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งติดต่อมาเตือนเขาทุกวัน บอกว่าจะต้องรับรองความปลอดภัยของนายท่าน ถ้านายท่านเป็นอะไรไป นางก็จะไม่ปล่อยเขาไป
หลังจากนั้นครึ่งวัน เหยียนซิวก็เข้ามาในถ้ำภูเขาอีกรอบ จากนั้นเหมียวอี้ก็ตามเขาออกมา มายืนริมทะเลแล้วทอดสายตามองไปยังมหาสมุทรกันกว้างใหญ่
บนผิวทะเลมรกตมีระลอกคลื่น เป็นเหมือนอย่างเคย ไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์อะไรเลย ที่สำคัญก็คือ ยังไม่มีคนอื่นปรากฏตัวด้วย ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล
“ตัวเขาอยู่ไหน? ยังอยู่มั้ย?” เหมียวอี้ค่อยๆ หันหน้ามาถามย้ำทีละคำ
“กำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำทางด้านนั้น ไปดูมาแล้ว เขายังอยู่ขอรับ” เหยียนซิวตอบ
“ไต้ซือ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่ท่านบอกจะต้องรอถึงเมื่อไร?” เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามเสียงดังทันที
เพิ่งจะสิ้นเสียงได้ครู่เดียว ไป่ลิ่วก็เดินออกจากถ้ำด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม พอเดินมาถึงก็บอกว่า “สงสัยแม่ทัพภาคหนิวจะรอไม่ไหวแล้ว”
เมี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำอีกแห่งก็เดินออกมาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตกใจเสียงของเหมียวอี้ หลังจากนางเข้าถ้ำไปแล้ว ก็ฝึกตนเงียบๆ เพื่อรอดูปรากฏการณ์มหัศจรรย์มาตลอด อยู่ที่นี่นางไม่คิดว่ามีอะไรน่ากังวล ผ่อนคลายสบายใจมาก
เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าหนิวรอไม่ไหวแล้ว เพียงแต่หนิวปล่อยให้ทรายเข้าตาไม่ได้ หนิวฆ่าคนไว้เยอะเกินไป มีสันดานชอบฆ่าคน กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ กลัวว่าจะเข้าใจผิดแล้วทำให้แดนสงบของสำนักพุทธมีมลทิน! สิ่งที่ไต้ซือเรียกว่าปรากฏการณ์มหัศจรรย์ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมาร่วมชื่นชมกับหนิวเลย ท่านให้เกียรติหนิวเกินไปหรือเปล่า? ช่วยให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเด็ดหัวโล้นของท่าน!
คำพูดนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด พออ้าปากพูดก็ทำท่าจะชักดาบเลย ไม่เกรงใจเลยสักนิด เมี่ยวฉุนกับไป่ลิ่วได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยน ทั้งเห็นว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้อ่อนโยนและสุภาพมาก ใครจะคิดว่าบทจะแตกคอก็แตกคอเลย พุดจาทิ่มแทงจนยากจะรับไหว
…………………………