พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1630 กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋
นึกไม่ถึงว่าดาวพิษดวงนี้จะเคยมี ‘ความรุ่งโรจน์’ มาก่อน พอมองดูดาวพิษที่มีเมฆครึ้มตรงหน้าอีกครั้ง เหยียนซิวก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่ก็หันไปมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดมาก ทำได้เพียงสงสัยอยู่ในใจ ปากไม่ได้ถามอะไรอีก
เมื่อก่อนเขาชอบพูดคุยและดื่มสุรา บนตัวพกน้ำตาสุราติดตัวไว้ตลอดเวลา ดึงเหมียวอี้ไปทำธุระด้วยกันเป็นครึ่งค่อนวัน อาศัยความแก่ตั้งตัวเป็นผู้อาวุโส แต่หลังจากหลัวเจิน ฮูหยินของเขารบตายไป เขาก็เลิกสุราแล้ว พูดน้อยลงเช่นกัน ถึงขนาดว่าผ่านไปหลายปีโดยไม่พูดสักประโยคเลยก็มี
ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังมองประเมินดาวพิษ เขารู้ประวัติความเป็นมาของดาวพิษดวงนี้มาจากอวิ๋นจือชิว ส่วนสาเหตุว่าทำไมอวิ๋นจือชิวถึงรู้เรื่องนี้ สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย เป็นเพราะดาวพิษดวงนี้ถูกทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติว่าเป็นจุดซ่อนสมบัติ ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวแอบทำความเข้าใจกับสิ่งนี้มาไม่น้อย
“ข้าได้ยินชื่อของที่นี่มานานแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปดูสักหน่อยล่ะ เจ้าไปรอข้าอยู่ทางนั้นเถอะ” เหมียวอี้ชี้ไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็โยนเมี่ยวฉุนให้เหยียนซิว
เหยียนซิวย่อมเข้าใจว่าเมี่ยวฉุนมีประโยชน์อะไร อย่างน้อยก็เป็นพยานให้กับเหตุการณ์น่าหวาดเสียวก่อนหน้านี้ได้ การที่นายท่านส่งเมี่ยวฉุนให้เขา ก็เหมือนจะเตรียมเอาไว้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยามมีเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยพยานอย่างเมี่ยวฉุนก็สามารถทำให้เหยียนซิวลดความยุ่งยากได้บ้าง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวลว่า “ข้าน้อยจะไปเป็นเพื่อนนายท่าน”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “บนดาวพิษมีหมอกพิษอยู่ทุกที่ ถ้าไม่ได้เตรียมตัวให้รอบคอบก็ไม่สะดวกจะเข้าไป ถ้าเจ้าเข้าไปจะมีอันตราย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“ข้าน้อยสามารถเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือสะดวก” เหยียนซิวกล่าว
เหมียวอี้เหล่ตาจ้องมา เหยียนซิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ก้มหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยรับ “ขอรับ!”
เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อไปข้างหลัง พุ่งไปทางดาวพิษอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้เข้าไปโดยตรง แต่เหาะวนตรวจตรารอบๆ ดาวพิษ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
เหยียนซิวที่มองตามถอนหายใจเบาๆ ถ้าตัวเองเดาไม่ผิด นายท่านน่าจะทำความเข้าใจดาวพิษดวงนี้มานานแล้ว เห็นได้ชัดว่าวางแผนไว้นานแล้วว่าจะมาที่นี่ ดูจากท่าทางที่เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ก็ไม่เหมือนคนมาหาที่ซ่อนตัวหรือว่ามาดูเฉยๆ เลย เขาพบว่ายิ่งนับวันตัวเองจะยิ่งไม่เข้าใจเหมียวอี้แล้ว พบว่าบนตัวเหมียวอี้มีปริศนามากมายที่ตัวเองไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นดวงตาที่สามที่มีแสงวิบวับดวงนั้น แล้วก็ตอนนี้อีก ทำไมต้องมาที่ดาวพิษแห่งนี้ด้วยล่ะ?
เหมียวอี้วนอ้อมดาวพิษไม่กี่รอบ แต่ก็ไม่พบลักษณะภูมิประเทศที่ตัวองกำลังตามหา เป็นเพราะในดาวพิษมีเมฆครึ้มเยอะเกินไป เป็นอุปสรรคต่อสายตา ทำให้เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเปิดใช้งานตาทิพย์เพื่อค้นหา แต่ดูจากสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์โดยรอบแล้ว ก็อาจจะถูกคนอื่นพบได้ง่ายมาก สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป พุ่งเข้าไปในชั้นบรรยากาศของดาวพิษแล้ว
ลมวัดดังวูบๆ กระแสเมฆสีเทาบ้างสีขาวบ้างกำลังไหลตามสายลมราวกับกระแสน้ำ
เหมียวอี้ที่เหาะลงมาจากฟ้าหยุดชะงัก หยุดยืนนิ่งอยู่บนฟ้าสูง รอบตัวมีเพลิงจิตปกป้องร่างกาย กำลังมองดูโดยรอบ
กระแสเมฆดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เหมียวอี้ที่ได้รับคำเตือนมาจากอวิ๋นจือชิวก็ยังไม่กล้าดูถูกมัน กลับคิดอยากจะทดสอบ จึงยื่นนิ้วมือหนึ่งนิ้วออกไปนอกเพลิงจิต ให้ปลายนิ้วสัมผัสกับเมฆหมอกที่พัดเข้ามา
ตอนแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไปครู่เดียวก็รู้สึกชาปลายนิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกคันนิดหน่อย แล้วเล็บก็เปลี่ยนสีดำและบวมอย่างรวดเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตได้ พอเหมียวอี้ตรวจสภาพภายในร่างกายอย่างละเอียด ก็พบว่าปลายนิ้วเริ่มมีเค้าส่อให้เห็นว่าเน่าเปื่อย และลุกลามขึ้นมาบนแขน มีพิษจริงๆ ด้วย เขาใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราชำระไปที่ปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว กำจัดพิษออกไป
ในขณะนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้ว แล้วหยิบระฆังดาราออกมา เป็นระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเหยียนซิว : มีเรื่องอะไร?
เหยียนซิว : นายท่าน ข้าน้อยเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในดาวพิษแล้ว มีประมาณยี่สิบกว่าคน แต่งตัวค่อนข้างแปลก
เหมียวอี้จมอยู่ในความคิด ใครกันที่ถ่อมาถึงดาวพิษได้? ตามข้อมูลที่อวิ๋นจือชิวให้มา ดาวพิษแห่งนี้ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิต คนทั่วไปไม่มีทางมาที่ดาวพิษ คนกลุ่มเดียวที่อาจจะมาปรากฏตัวที่ดาวพิษบ่อยๆ ก็คือคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว
เมิ่งถัวหลัวคือหญ้าพิษชนิดหนึ่ง เป็นพิษประหลาด แตกต่างจากพิษทั่วไป คนที่โดนพิษชนิดนี้ตาย สิ่งที่ตายจะไม่ใช่กายหยาบ แต่เป็นจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจะแตกซ่าน ตัดขาดภพภูมิหน้าของผู้ตาย และหญ้าพิษชนิดนี้ก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เมื่อศิษย์สำนักพุทธนำมาหลอมสร้างเป็นอาวุธแล้ว ก็สามารถใช้โปรดวิญญาณคนตายได้ กับวิญญาณบางพวกที่ปราณอาฆาตล้ำลึกจนไม่ยอมไปเวียนว่ายตายเกิดแต่อยากกลายมาเป็นนักพรตผี สิ่งนี้ก็สามารถทำใช้โปรดวิญญาณได้เช่นกัน ทำให้พวกมันละทิ้งบุญคุณความแค้นและเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเร็วๆ ได้
ในอดีตตอนที่ดาวพิษยังเป็นดาวหนานอู๋ ก็ยังไม่เคยเกิดหญ้าพิษชนิดนี้ แต่หลังจากกลายเป็นดาวพิษแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเมิ่งถัวหลัว มีคนบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของพระปีศาจหนานโป และมีคนบอกว่านี่คือสาเหตุที่พระปีศาจหนานโปสร้างสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายให้ดาวหนานอู๋ จุดประสงค์ก็เพื่อปลูกหญ้าพิษชนิดนี้ เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ คาดว่าคงมีเพียงพระปีศาจหนานโปที่รู้ดีที่สุด
เหมียวอี้คิดว่าคนกลุ่มนั้นไม่น่าจะพุ่งเป้ามาที่เขา ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาวฮุ่ยหลินก็ยังเป็นความลับอยู่ ก่อนที่จะได้ที่ซ่อนสมบัติมาไว้ในมือ เขาก็ไม่อยากให้มีอะไรมารบกวน ฝั่งมือสังหารไม่น่าจะเปิดเผยให้ใครรู้สิ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่มาจะมาเก็บเมิ่งถัวหลัว
เมื่อวินิจฉัยได้แบบนี้ ก็ตอบเหยียนซิวกลับไปว่าไม่เป็นอะไร แล้วก็ถามตำแหน่งคร่าวๆ ของผู้ที่มาอีก
หลังจากเก็บระฆังดาราแลว เหมียวอี้ก็หลับตาสองข้าง รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก ตาทิพย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสาแสงที่มีรัศมีแวววับลอยวนเวียนยิงออกมา หันหน้าไปทางตำแหน่งของผู้มาเยือนตามที่เหยียนซิวบอก ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ทอดสายตาไปไกล หลังจากวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ความสามารถในการควบคุมตาทิพย์ก็ย่อมเหนือกว่าเมื่อก่อนอยู่แล้ว อิสระผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย
ผ่านไปไม่นาน สายตาของตาทิพย์ก็เจอกับกลุ่มคนแต่งตัวประหลาดเหมือนที่เหยียนซิวบอกแล้ว มีประมาณยี่สิบคน กำลังสุมหัวประชุมอะไรบางอย่างกันอยู่บนยอดเขา
การแต่งตัวของพวกเขาแปลกประหลาดจริงๆ ตั้งแต่ศีรษะจดเท้าถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เหมือนจะสวมชุดดำตัวโคร่งทั้งตัว แขนเสื้อ ขากางเกงล้วนมัดไว้อย่างมิดชิด ขนาดตรงดวงตาทั้งคู่ยังเป็นกรอบผลึกใสเลย มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแต่งตัวแบบนี้เพื่อป้องกันพิษ
จากการแต่งตัวของคนพวกนี้ทำให้มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เหมียวอี้ใช้ประโยชน์ในการมองทะลุของตาทิพย์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมองทะลุเข้าไปไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเครื่องแต่งกายของคนพวกนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันพิษดีมาก ไม่อย่างนั้นถ้ามีซอกแค่นิดเดียวก็สามารถมองทะลุได้แล้ว แต่ดูจากส่วนสูงและดวงตาที่ปรากฏตรงกรอบตาผลึกใส ก็ทำให้มองออกว่าทั้งหมดเป็นผู้หญิง
คนพวกนี้แบ่งกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว แยกย้ายกันไปตามแนวภูเขาที่สูงต่ำไม่เสมอกันแล้วค้นหาอะไรบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้เหมียวอี้จึงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสิน คาดว่าคงเป็นคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว
พอเก็บสายตาของตาทิพย์กลับมา แล้วมองไปที่เบื้องล่างของตัวเอง ก็พบว่าพื้นดินรกร้างเปล่าเปลี่ยวยาวต่อเนื่องกัน แทบจะมองไม่เห็นพืชหรือสัตว์อะไรเลย แม่น้ำสายเล็กสายใหญ่ไหลคดเคี้ยวอยู่บนพื้นดินรกร้าง คุณภาพน้ำก็ดูใส ทว่ากระแสน้ำที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าใช้บริโภคไม่ได้ น้ำมีหน้าที่กลั่น ไม่รู้ว่าดูดซับธาตุพิษอยู่ท่ามกลางอากาศที่เต็มไปด้วยพิษไว้มากเท่าไรแล้ว
แคว่ก! เหมียวอี้ฉีกผ้าผืนใหญ่ออกมาผืนหนึ่ง เอามาห่อหุ้มไว้บนร่างกายตัวเอง กลุ่มคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัวพวกนั้นได้เตือนเขาอย่างอ้อมๆ แล้ว ว่าถ้าบนตัวไม่มีอะไรป้องกัน เมื่อถูกพบขึ้นมาก็จะสะดุดตามาก ถึงได้ฉีกผ้ามาห่อหุ้มไว้ทั้งร่างกาย บนศีรษะปิดไว้ครึ่งเดียว เผยให้เห็นเพียงส่วนของดวงตา
หลังจากนั้น เขาก็อาศัยกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าพรางตัวตลอดทาง พยายามไม่เปิดเผยตัวเอง หลบอยู่ในชั้นเมฆและใช้ตาทิพย์ตรวจดูพื้นดิน ตามหาลักษณะภูมิประเทศที่ตัวเองจดจำและคุ้นเคยอยู่หัวสมอง
ครั้งนี้ระบุเป้าหมายได้เร็วมาก เป็นเพราะเป้าหมายค่อนข้างสะดุดตาจริงๆ
หลังจากนั้นสองชั่วยาม เหมียวอี้ก็หยุดอยู่กลางอากาศ ขณะมองดูบนพื้นดิน ระหว่างแนวภูเขาด้านล่างมีรอยประทับรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่จมลึกอยู่บนพื้นรอยหนึ่ง เหมือนจะเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่มากข้างหนึ่งตีตบลงไป ทำให้แนวเทือกเขารอบๆ โค้งขึ้นมา ตรงจุดที่แนวเทือกเขายื่นขยายออกไปขาดท่อนเป็นระยะ
แค่มองเห็นแวบเดียว เหมียวอี้ก็ต้องสูดหายใจอย่างตกตะลึงแล้ว ขนาดอยู่บนฟ้าสูงยังมองเห็นรอยฝ่ามือที่ใหญ่มหึมาขนาดนี้เลย แล้วขอบเขตของรอยฝ่ามือจริงที่ครอบคลุมอยู่บนพื้นจะกว้างขนาดไหนกัน แค่คิดก็รู้แล้ว แค่จินตนาการก็รู้ถึงอานุภาพของฝ่ามือนี้แล้ว ผู้ที่ใช้ฝ่ามือนี้ก็ยิ่งจินตนาการออกเลย การที่สามารถประทับรอยฝ่ามือไว้ในขอบเขตที่กว้างใหญ่และชัดขนาดนี้ได้ อันดับแรกจะต้องลงมือในระดับที่สูงมากพอ อีกทั้งเมื่ออยู่ในระยะที่ห่างไกลขนาดนั้น ก็ยังสามารถปล่อยพลังลงมาได้แข็งแกร่งขนาดนี้ ช่างจินตนาการได้ยากจริงๆ
จากการตัดสินของเหมียวอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่ลงมือจะสามารถทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ได้โดยใช้เพียงฝ่ามือเดียว เพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง
เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นผู้ทิ้งรอยฝ่ามือนี้ไว้ คาดว่านอกจากพระปีศาจหนานโปคนนั้นก็คงจะไม่มีใครแล้ว
ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี แต่ดูจากร่องรอยของฝ่ามือที่บดอัดลงไป ก็ยังมองออกว่ามีสิ่งปลูกสร้างจำนวนไม่น้อยที่ที่ถูกทำลายอยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้น เหมือนแป้งก้อนหนึ่งที่โดนตบจนกลายเป็นขมเปี๊ยะ จากเค้าโครงพวกนี้ก็ทำให้ดูออกแล้ว
เมื่ออยู่บนฟ้าสูงแล้วตัดสินจากลักษณะภูมิประเทศโดยรอบ ตรงรอยฝ่ามือก็คือตำแหน่งที่แผนที่ซ่อนสมบัติระบุไว้ ส่วนจุดค้นห้าสมบัติโดยละเอียด บนแผนที่ก็บอกเอาไว้เพียงประโยคเดียว
กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋!
เมื่อเชื่อมโยงความเจริญและเสื่อมโทรมในอดีตของดาวหนานอู๋ ประโยคนี้ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แม้แต่อวิ๋นจือชิวที่ไม่เคยหาสมบัติก็ยังเดาความหมายชี้นำคร่าวๆ ของประโยคนี้ได้ มันคือซากของสำนักหนานอู๋ จุดซ่อนสมบัติก็คือสำนักหนานอู๋ในอดีต
เหมียวอี้ที่คลุมผ้าดำทั้งตัวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงในแอ่งกระทะที่เกิดจากรอยฝ่ามือตบ เหยียบลงตรงร่องรอยขนาดใหญ่สุดที่มีเค้าโครงสิ่งปลูกสร้างพัง ถือเป็นบริเวณใจกลางของรอยฝ่ามือเช่นกัน
เค้าโครงร่องรอยที่มองเห็นเมื่ออยู่บนฟ้า แต่พอเหยียบลงพื้นที่จริงแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในป่ารกร้างผืนหนึ่ง มองไม่เห็นเศษซากอะไรทั้งนั้น เกิดข้อจำกัดทางด้านสายตาแล้ว
วูบ! เหมียวอี้พลันหมุนตัว พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งโหมซัดสาดไปโดยรอบ ทำให้ฝุ่นควันที่ปกคลุมผืนดินขยายไปรอบๆ
ตรงใต้เท้าของเหมียวอี้นี่เอง ถึงแม้เสาหินต้นใหญ่จะแตกเป็นผุยผงไปแล้ว แต่เค้าโครงเสาหลังจากถูกกดลงใต้ดินก็ยังมีความสมบูรณ์ ทำให้แยกแยะได้ง่ายมากว่าก่อนที่จะพัง เสาต้นนี้ก็คือเสาหินขนาดใหญ่มากต้นหนึ่ง
ของที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินเหล่านี้ถูกเป่าให้เผยออกมาทีละนิด ทั้งใกล้และไกลไม่ได้มีแค่เสาหินขนาดใหญ่ต้นเดียวเลย มีหลายต้นมาก จะเห็นได้ว่าในปีนั้นอารามแห่งนี้ใหญ่โตขนาดไหน
ทั้งยังมีเครื่องโลหะที่ถูกบดแบนไม่น้อยเลยด้วย สภาพเปลี่ยนไปเพราะโดนสนิมกัดกิน ถึงขั้นมีเค้าโครงหลังคาที่โดนตบประทับไว้บนพื้นเลย
เหมียวอี้เดินเข้าไปสำรวจ สามารถจินตนาการได้ถึงชั่วพริบตาที่ความรุ่งโรจน์อันยาวนานกลายเป็นฝุ่นดิน จากความเศร้ารันทดที่ถูกผนึกไว้ใต้ฝุ่น ก็ทำให้รู้สึกได้รางๆ ถึงความหมายกำกวมของประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ มีทั้งความรู้สึกปลงอนิจจังให้กับความเศร้าเสียใจอันเป็นนิรันดร์ของสำนักหนานอู๋ และมีการชี้บอกอย่างชัดเจนเช่นกัน ว่าเบาะแสการหาสมบัติอยู่กลางร่องรอยนี้
ที่เรียกว่าปลงอนิจจัง เหมียวอี้ก็แค่ทอดถอนใจนิดหน่อยเท่านั้น เขาไม่ได้มีชุดความคิดหรือความผูกพันอะไรกับสำนักหนานอู๋ รู้สึกสนใจพิกัดในการหาสมบัติมากกว่า
“กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋ กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋…” เหมียวอี้มองไปรอบๆ พลางพึมพำ คำว่า ‘กลาง’ นี่หมายถึงตรงไหนกันแน่ ถ้าจะให้มองดูจนทั่ว เขาก็ทำความเข้าใจลำบากมาก จะไม่ให้หาใจกลางก็ไม่ได้ เพราะจากประสบการณ์ในการหาสมบัติก่อนหน้านี้ ถ้าไม่หาจุดนั้นให้เจอก่อน ก็จะมองไม่เห็นภาพสตรีทะยานฟ้าเลย สายตาจะต้องอยู่ในระดับที่พอดิบพอดี นี่ก็คือวิธีการอันเหนือชั้นของผู้ซ่อนสมบัติ ถ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปแต่ก็หาสมบัติไม่เจออยู่ดี
…………………………