พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1632 ร่ำรวยระดับสุดยอด
พอคิดไปคิดมา เหมียวอี้ก็คิดไม่ตกว่าครั้งนี้ผู้ซ่อนสมบัติเล่นบ้าอะไรกันแน่ เป็นเพราะแตกต่างจากครั้งก่อนมากเกินไปจริงๆ แต่การที่ผู้ซ่อนสมบัติทำอย่างนี้ ก็แสดงว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่นอน มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังปั่นหัวผู้หาสมบัติเล่นอีกก็ไม่มีความหมายอะไร
พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็หลุบตาลงเล็กน้อย ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเปิดออกอีกครั้ง ลำแสงสีแวววับยิงออกมา แล้วมองตรงไปตามแม่น้ำใต้ดิน
ตอนที่ตาทิพย์มองสำรวจรอบแม่น้ำ ก็ขยายการมองเห็นไปตรงจุดไกลๆ อย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเหมียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไกลแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ไกลมาก ยิ่งไกลกระแสน้ำก็ยิ่งช้า เริ่มปรากฏสาขาของแม่น้ำจำนวนมาก ทำเอาเหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะตามไปหาที่แม่น้ำสายไหน มองจนตาลายแล้ว เขาแข็งใจเลือกไปตามหาที่แม่น้ำสายหนึ่ง ผลก็คือพบว่าตรงปลายสุดคือพื้นที่อุ้มน้ำใต้ดินที่มีน้ำซึม
เขาลองไปตามหาจากแม่น้ำอีกสายหลายเพิ่ม ตรงปลายสุดมีลักษณะไม่ต่างกันสักเท่าไร เป็นพื้นที่อุ้มน้ำที่มีน้ำซึมลงมาสะสมกัน รวมตัวกันจนกลายเป็นแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่ง
ส่วนแม่น้ำสาขาที่ไหลอยู่ด้านบนก็มีเยอะเกินไปจริงๆ ถ้าอยากจะตรวจดูให้ชัดเจนทีละสาย เหมียวอี้ก็คาดว่าตัวเองจะต้องเหนื่อยเหลือทน ต่อให้วรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว แต่ก็ทนไม่ไหวหากต้องใช้งานตาทิพย์ไม่หยุด
สุดท้าย ก็จำเป็นต้องเลือกที่จะล้มเลิกการตรวจดูกระแสน้ำตอนบน เขาเก็บตาทิพย์กลับมา แล้วหันหน้าไปทางกระแสน้ำตอนล่าง ตรวจดูสายน้ำตอนล่าง ถ้าไม่เจอเบาะแสอะไรพี่กระแสน้ำตอนล่าง เขาก็ทำได้เพียงล้มเลิกการหาสมบัติครั้งนี้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นถ้าจะให้ตรวจหาที่กระแสน้ำตอนบนอย่างเดียว ก็จะต้องสิ้นเปลืองเวลามากแน่นอน ทางป่าฮุ่ยหลินเกิดเรื่องอย่างนั้นแล้ว เขาไม่อาจหลบอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ แค่ฝั่งพระโพธิสัตว์หลันเย่พบว่าติดต่อเมี่ยวฉุนไม่ได้ก็แย่แล้ว ต่อให้จะเพื่อให้คำอธิบายกับอ๋องสวรรค์โค่ว แต่ก็อาจจะเกิดความเคลื่อนไหวได้ ไม่มีเวลาให้เขามาสิ้นเปลืองช้าๆ อยู่ที่นี่ ทำได้เพียงเฝ้ารอครั้งหน้า หาโอกาสตอนที่มีเวลาว่างเพียงพอ แล้วค่อยมาตรวจดูให้ละเอียดอีกครั้ง
พอตาทิพย์ไล่ตรวจสอบตามกระแสน้ำตอนล่างไปได้ประมาณหลายร้อยลี้ จู่ๆ ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็กระตุก เสาแสงตรงหว่างคิ้วที่เคลื่อนไหวก็หยุดตามทันที
ด้านบนแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้มีโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง ตาทิพย์สอดส่องเข้าไป ไม่นานก็พบห้องลับห้องหนึ่ง ภาพสตรีทะยานฟ้าที่อยู่ในห้องลับปรากฏอยู่บนผนังหิน
“หาเจอแล้ว! แปลกจัง ทำไมถึงซ่อนอยู่ข้างนอกตั้งหลายร้อยลี้ เล่นบ้าอะไร…” เหมียวอี้พึมพำ แล้วปิดตาทิพย์ตรงหว่างคิ้ว ก่อนจะกระโดดลงในไปกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ไปด้วยความรู้สึกสงสัยที่แน่นอยู่เต็มอก เดินทางไปตามแม่น้ำอย่างรวดเร็ว
จะไม่ให้รู้สึกเหนือความคาดหมายก็คงไม่ได้ สถานการณ์ในการหาสมบัติครั้งนี้ยิ่งมีเงื่อนงำมากขึ้นเรื่อยๆ
เดินทางลำพังอยู่ท่ามกลางความมืดพร้อมเสียงน้ำไหล หลังจากถึงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้แล้ว เหมียวอี้ก็ถลันตัวขึ้นมา แล้วทะลุเข้าไปในโพรงถ้ำหินด้านบน มุ่งตรงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ผ่านขึ้นตลอดทางตามปกติ แล้วเดินไปอีกประมาณร้อยจั้ง ห้องลับก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ภาพสตรีทะยานฟ้าที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าพอดี
เหมียวอี้เดินไปตรงหน้าภาพนั้นแล้วขมวดคิ้ว แล้วก็หันกลับไปมองทางที่เดินมาอีกครั้ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนใจ
ครั้งนี้ภาพสตรีทะยานฟ้าไม่ค่อยเหมือนปกติ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพสลักนูน แต่ครั้งนี้กลับเป็นภาพสลักเฉยๆ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ปกติ นั่นก็คือก่อนหน้านี้จะมีนักพรตปีศาจถูกมัดอยู่ตรงจุดซ่อนสมบัติตลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่มี
พอหันกลับไปอีกครั้ง สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนกล่องที่สตรีทะยานฟ้าถือรองอย่างอ่อนช้อย ในครั้งนี้กล่องก็เป็นภาพสลักเช่นเดียวกัน
แกร๊ก! เหมียวอี้พลันสะบัดแขนยื่นออกไปข้างหนึ่ง พอขยุ้มมือกลางอากาศ กล่องที่สลักขึ้นมาก็แตกพัง เขาคว้าหินก้อนหนึ่งไว้ แต่กลับไม่เห็นกล่องของจริงที่ซ่อนไว้ด้านหลังอย่างที่จินตนาการไว้
พอก้อนหินที่ขยุ้มไว้ตกลงพื้น สายตาของเหมียวอี้ก็จ้องไปบนผนังหินที่โดนขยุ้มแตกอย่างงุนงง จุดที่โดนขยุ้มแตกไม่ใช่ผนังกลวง ด้านหลังยังมีโพรงอีกโพรง มีแสงสว่างที่อ่อนจางแทรกซึมออกมา
เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในโพรง ข้างหลังไม่ใช่แค่โพรงเล็กๆ เท่านั้น แต่เป็นห้องว่างขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ผนังหินที่สลักภาพสตรีทะยานฟ้าเป็นเพียงกำแพงที่อุดไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้หนาสักเท่าไรนัก
เขาตั้งฝ่ามือข้างหนึ่ง ผลักพลังอิทธิฤทธิ์สายหนึ่งออกมา โครมคราม ผนังหินที่อุดไว้พังทลาย ลำแสงที่อ่อนโยนโผเข้าใส่ใบหน้าแล้ว
โบกแขนเสื้อร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นที่ตลบอบอวล แล้วเดินช้าๆ ไปตรงปากถ้ำ สภาพภายในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ปรากฏสู่สายตาโดยตรง สภาพภายในทำให้เหมียวอี้ทำสีหน้างุนงง เขากวาดสายตามองสิ่งต่างๆ ในห้องว่างใต้ดิน แล้วเดินช้าๆ ลงบันไดตรงปากโพรงพลางหันซ้ายหันขวา
เป็นห้องใต้ดินที่หรูหรามากห้องหนึ่ง เป็นห้องใต้ดินที่สร้างจากโลหะและผลึกแดงทั้งหมด
ตรงมุมซ้ายขวาตรงหน้ามีพระพุทธรูปสององค์ องค์หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวด้วยสีหน้ามีเมตตากรุณา อีกองค์หนึ่งยืนเท้าเปล่าแต่กลับหันหลังให้ พระพุทธรูปสององค์นี้สูงเกือบร้อยจั้ง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าห้องใต้ดินใหญ่ขนาดไหน และพระพุทธรูปที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็ล้วนสร้างจากผลึกแดงทั้งหมด แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งห้องนี้ใช้โลหะและผลึกแดงไปมากเท่าไหร่
เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดมารู้สึกว่าตำแหน่งของพระพุทธรูปสององค์ตรงมุมค่อนข้างแปลก จึงต้องหันกลับมามองอีกรอบ
เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้างหลังยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปนอนตะแคงข้าง ใช้แขนข้างนึงค้ำยันศีรษะไว้ เหมือนกำลังหลับตานอนหลับลึก แต่ก็เหมือนหลับตางีบเฉยๆ ใบหน้าอมยิ้มเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังยิ้มอะไร เหมือนเป็นรอยยิ้มยามหลับฝันดี ทำให้คนรู้สึกถึงความลึกลับ
และทางเข้าห้องใต้ดินแห่งนี้ก็อยู่ตรงกลางธรรมจักรฐานบัวใต้เตียงพระพุทธรูปที่นอนตะแคง
สายตาของเหมียวอี้ย้ายจากปากถ้ำไปบนบันไดที่ตัวเองเดินลงมา บันไดก็สร้างจากสร้างจากผลึกแดงเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนมาสร้างต่อเติมเอาทีหลัง และธรรมจักรที่เชื่อมต่อตรงทางเข้าก็เป็นรูปแบบเดียวกันอย่างแบ่งแยกไม่ได้ ลูกประคำข้อมือตรงวงกบรูปประตูพระจันทร์ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ ไม่เหมือนทางเข้าที่ถูกโจมตีให้ทะลุเลย เห็นได้ชัดเจนมากว่าทั้งห้องใต้ดินนี้ถูกสร้างให้เชื่อมต่อกันตั้งแต่แรกแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ที่เพิ่งเริ่มเดินมองไปรอบๆ เกิดความประหลาดใจสงสัย ก่อนหน้านี้ยังสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองตัดสินผิดพลาดไปหรือเปล่า เขามีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าผู้ซ่อนสมบัติคือใคร แต่ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้านี้ทำให้เขาต้องสงสัยว่าตัวเองตัดสินพลาดหรือเปล่า
ห้องผลึกแดงที่สร้างขึ้นมาใหญ่ขนาดนี้เกรงว่าคงจะใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ กำลังทรัพย์ที่ทุ่มลงไปก็ยิ่งแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว ประมาณการได้ยาก
ถ้าจะบอกว่าเวลาและกำลังทรัพย์ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ซ่อนสมบัติ แต่ลักษณะของสำนักพุทธที่มีอยู่เต็มภายในห้องรูปวงแหวนขนาดใหญ่ห้องนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?
นอกจากพระพุทธรูปขนาดใหญ่สามองค์แล้ว บนผนังรอบพระพุทธรูปก็สลักภาพตัวละครและเหตุการณ์มากมายเอาไว้ด้วย มีทั้งนักบวช ปุถุชน หญิงชาย เด็กกับและชรา สภาพวิถีชีวิตผู้คนอยู่ในนั้นหมดแล้ว แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ราวกับเป็นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในชีวิตคน ส่วนนักบวชที่แทรกซึมอยู่ระหว่างตัวละครและฉากต่างๆ ก็คือหัวใจสำคัญเสมอ
ที่ประหลาดก็คือ บุคคลและภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนจะไม่ได้ถูกสลักขึ้นมาด้วยมือของคนคนเดียว ดูจากลักษณะการแกะสลัก ก็เห็นได้ชัดว่าออกมาจากมือของหลายตัวละคร แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกภาพที่สลักได้มีชีวิตชีวาสมจริง แต่ภาพสลักทุกภาพก็เหมือนจะมีเวทมนต์บางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก แต่ละเส้นแต่ละลายเหมือนจะสามารถดึงดูดหัวใจคนได้ทั้งหมด
ภาพสลักภาพหนึ่งที่ดูเรียบง่ายธรรมดา แผ่นทางซ้ายเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กน้อยคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่วนแผ่นตรงกลางเป็นภาพผู้หญิงที่อุ้มเด็กน้อยคนนั้นมาคุกเข่าหน้าวัด ในประตูวัดที่แง้มครึ่งเดียวมีพระชรายืนอยู่หนึ่งองค์ ส่วนภาพทางขวาก็คือภาพวัดที่กลายเป็นทะเลเพลิง
ตอนแรกที่กวาดสายตามองภาพนั้น เหมียวอี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร เขาจึงจ้องมองพลางครุ่นคิดต่อไป ในหัวสมองราวกับปรากฏฉากที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาฉากหนึ่ง นั่นก็คือ : ฮูหยินน้อยในครอบครัวยากจนอุ้มลูกชายออกจากบ้านไป เดินไปไม่ถึงพันลี้ก็พบกับสามีของตัวเอง แต่กลับพบว่าสามีของตัวเองแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีอีกคนไปแล้ว เพื่อที่จะปกป้องเกียรติยศความร่ำรวยของตัวเอง สามีของนางจึงยืนกรานปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับฮูหยินน้อยและเด็กน้อยคนนี้ เด็กน้อยที่ร้องหิวนมทั้งหิวทั้งป่วย ภายใต้ความจนใจ ฮูหยินน้อยจึงไม่เกาะแกะวิงวอนสามีอีก เพราะสามีนางใจแข็งไม่ยอมรับ ตอนหลังก็กดดันจนฮูหยินน้อยต้องหอบลูกไปขอพึ่งพาที่วัดแห่งหนึ่ง โชคดีที่วัดรับสองแม่ลูกไว้ แต่ใครจะคิดว่าสามีของนางดันกลัวว่าเรื่องนี้จะมาทำลายอนาคตของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะลอบวางเพลิง ฝังสองแม่ลูกและพระทั้งวัดให้จมอยู่ในทะเลเพลิงแล้ว
“เหมียวอี้ที่เรียกสติกลับมาตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เนื่องจากภาพสามีทรยศที่อยู่ในหัวของเขาเมื่อครู่นี้ก็เหมียวอี้ คือตัวเขาเอง
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? เหมียวอี้ตกใจไม่หาย ภาพภาพหนึ่งที่ธรรมดาจนทำให้คนเห็นแล้วไม่เข้าใจ แต่ทำไมเมื่อมองให้ลึกๆ ซ้ำสองครั้ง ถึงทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปมากมายขนาดนั้นได้ ทำไมถึงนึกเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวออกมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ล่ะ?
เขารีบมองไปยังภาพอื่นๆ มองลงไปให้ลึกซึ้ง ทำให้เกิดเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ แล้วตัวเองกลายเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องนั้นอีกแล้ว
พอเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ไม่กล้ามองต่อไปแล้ว ภาพมากมายขนาดนี้ ถ้าจะให้แปลเรื่องราวที่อยู่ในนั้นต่อไป ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องดูต่อไปถึงเมื่อไหร่ ส่วนสาเหตุรองก็คือ เขาก็กลัวว่าถ้าดูต่อไปแล้วตัวเองจะเป็นบ้า
สายตาย้ายไปตรงปากถ้ำที่ตัวเองเดินเข้ามา แล้วความคิดก็เชื่อมโยงไปถึงเมื่อก่อน เขาคิดว่าทำไมผู้ซ่อนสมบัติถึงสร้างห้องแบบนี้ออกมาได้? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าภาพของทั้งห้องนี้ไม่ใช่ฝีมือของคนคนเดียว ประการต่อมาก็คือมีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่สร้างห้องนี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ และเบาะแสที่ได้จากจุดหาสมบัติครั้งก่อนก็ได้ชี้แนะเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า ถ้าผู้ซ่อนสมบัติเป็นคนของสำนักพุทธ ทำไมถึงใช้ความพยายามมากขนาดนี้ในการสร้างห้องใต้ดินที่หรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อใช้ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานล่ะ?
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าห้องนี้จะมีอยู่ก่อนแล้ว และผู้ซ่อนสมบัติก็แค่บังเอิญมาเจอที่นี่ก็เท่านั้นเอง เลยถือโอกาสใช้เป็นที่ซ่อนสมบัติ
เขาหันตัวไปรอบๆ เพื่อมองประเมินห้องที่หรูหรา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจะเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่หาสมบัติ ผู้ซ่อนสมบัติจะทิ้งทรัพยากรฝึกตนไว้ให้เขาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่เห็นของอย่างอื่นเลย มีแต่โลหะและผลึกแดงจำนวนนับไม่ถ้วนพวกนี้แล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนสมเหตุสมผล ในใจเริ่มรู้สึกเร่าร้อนฮึกเหิม พบว่าครั้งนี้จะได้ร่ำรวยสุดขีดแล้วจริงๆ จะปล่อยให้เสียเที่ยวไม่ได้ นี่คือทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดไหนกัน!
ตอนนี้ปัญหาที่ยุ่งยากใจที่สุดก็คือ จะนำของพวกนี้ออกไปข้างนอกได้อย่างไร โลหะและผลึกแดงที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนี้ เวลาจะตัดแบ่งขึ้นมาก็ยุ่งยากแล้ว เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่มีทางนำออกไปได้
ในเมื่อตอนนี้ยังนำออกไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว นำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้ามาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ว่าแต่ของซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมไม่เห็นภาพสลักสตรีทะยานฟ้าคนนั้นล่ะ?
สายตาเขามองไปกลางโถงใหญ่ ตรงกลางมีฐานดอกบัวสูงเก้าชั้น มีเก้าชั้นเก้าวง สูงประมาณสิบกว่าจั้ง
เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นมา ยังไม่ทันขึ้นไปถึงส่วนบนของฐานดอกบัว เขาก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศแล้ว พอมองดูในกลีบดอกบัวที่ซ้อนกันหลายชั้น ก็พบข้างในมีของบางอย่าง
…………………………