พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1636 พระโพธิสัตว์เม่ยจี
ทว่าฝั่งเหมียวอี้ก็ถ่วงเวลาให้ยาวขึ้นแล้วจริงๆ ไม่เพียงแค่ทำให้พระอรหันต์ตัวลี่หนีไปจนไร้เงา ศิษย์ของพระอรหันต์ตัวลี่ก็หนีไปหมดแล้วเช่นกัน ผู้บังคับใช้กฎไปแล้วคว้าน้ำเหลว จับได้เพียงเณรน้อยจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรเลย
ที่จริงพระอรหันต์ตัวลี่อยากจะหนีไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร เพราะเขาก็หนีไปค้นเดียวจริงๆ แต่ระหว่างทางที่หลบหนีเกิดนึกถึงศิษย์เหล่านั้นขึ้นมา ถ้าตัวเองหนีไปคนเดียวก็เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อศิษย์ในสำนัก จึงรอให้ตัวเองไปถึงสถานที่ปลอดภัยก่อน แล้วค่อยติดต่อไปสารภาพบาปกับลูกศิษย์ ให้ทุกคนหนีให้เร็วที่สุด
ทว่าการกระทำของพระอรหันต์ตัวลี่ก็เท่ากับยอมรับแล้วว่าทำเรื่องลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นจะทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะอย่างนี้ทำไม? ไม่ต้องสอบสวนอะไรแล้วจริงๆ ฝั่งเขาหลิงซานเดือดดาลมาก สืบสาวราวเรื่อง ติดตามจับกุม!
เรื่องพวกนี้เอาไว้พูดต่อทีหลัง เพราะตอนนี้เหมียวอี้กำลังถูกศิษย์สำนักหลัวช่าล้อมไว้ แต่เขาก็ไม่ได้กังวล เพียงนั่งสมาธิฝึกตนอยู่บนพื้น โดยมีเหยียนซิวเฝ้าระแวดระวังคุ้มกันอยู่ข้างกาย
“นายท่าน!” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จู่ๆ เหยียนซิวก็ถ่ายทอดเสียงเตือน
เหมียวอี้ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นยืน พระโพธิสัตว์หลันเย่มาด้วยตัวเองแล้ว มีศิษย์หลายคนติดตาม หวยอวี้ที่เป็นหนึ่งในนั้นค่อนข้างเคารพเกรงกลัว
จะไม่ให้หวยอวี้เกรงกลัวก็คงไม่ได้ เบื้องบนสืบเจอตั้งแต่ครั้งแรกว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปที่ดาวหลันเย่ จึงถ่ายทอดคำสั่งมาให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ ว่าถ้าหากพระอรหันต์ตัวลี่อยู่ด้วย ก็ให้ควบคุมตัวทันที เท่ากับเปิดโปงเรื่องของพระอรหันต์ตัวลี่ที่ดาวหลันเย่ออกมาในรวดเดียว ตอนนี้หวยอวี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้พระอรหันต์ตัวลี่ถึงถามเรื่องหนิวโหย่วเต๋อกับนางบ่อยมาก ที่แท้ตัวเองก็กลายเป็นฆาตรกรสมทบโดยไม่รู้ตัวแล้ว เขาหลิงซานเดือดดาลมาก จะไม่ให้นางเกรงกลัวได้อย่างไร?
แต่ฝั่งดาวหลันเย่ไม่รู้แม้กะทั่งว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปเมื่อไร พอไปดูที่เรือนพักแขกของพระอรหันต์ตัวลี่ ถึงได้รู้ว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปแล้ว ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น พระโพธิสัตว์หลันเย่จึงตำหนิหวยอวี้อย่างโมโหไปยกหนึ่ง จากนั้นก็นำคนตามมาด้วยตัวเองทันที
ไม่ให้ออกหน้าเองคงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝั่งเขาหลิงซานเดือดดาลแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วส่งลูกเขยมาร่วมอวยพรวันเกิดก็นับว่าเห็นแก่หน้าเจ้า ปรากฏว่าฝ่ายเจ้ากลับกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจะเอาชีวิตลูกเขยเขยเขา ฝั่งเขาหลิงซานยังคุยง่ายหน่อย เพราะมีพุทธะจิ้งฮวาอยู่ ประเด็นสำคัญคือไปมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์โค่วท่านนั้นไม่ไหว เพราะระบบไม่เหมือนฝั่งแดนสุขาวดี ท่านนั้นเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากจริงๆ กุมอำนาจทางทหารไว้เยอะมากที่ตำหนักสวรรค์ แม้แต่ประมุขชิงและประมุขพุทธะยังไม่กล้าทำอะไรเขาง่ายๆ เลย คนที่มีกำลังทหารของตัวเองอย่างนี้ แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็ทำให้พระโพธิสัตว์หลันเย่เสียหายยับเยินได้แล้ว
ดังนั้นตามหลักเหตุผลแล้วจึงต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบาย อย่างน้อยก็จะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองสักหน่อย แสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
“นมัสการพระโพธิสัตว์”
ไม่เพียงแค่เหมียวอี้เท่านั้น แม้แต่บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ทำความเคาพพร้อมกัน
หลังจากหลันเย่ประนมมือ ก็มองตรงไปที่เหมียวอี้พร้อมถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว ได้ยินว่าเมี่ยวฉุน ศิษย์ของหวยอวี้อยู่ในมือเจ้า?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิว จากนั้นเหยียนซิวก็เรียกเมี่ยวฉุนที่มีสภาพผิดปกติออกมา เหมียวอี้อธิบายว่า “ตอนที่ติดกับดัก ข้าฉุกละหุกอยู่กับการปกป้องตัวเอง เลยดูแลนางไม่ทั่วถึง จึงทำให้ถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนารุกัดกิน แต่โชคดีที่สุดท้ายก็รักษาชีวิตนางไว้ได้ รอกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายทิ้งไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว”
“ขอบคุณมาก!” หลันเย่ก้มหน้า แล้วเอียงหน้าบอกใบ้หวยอวี้อีก ให้นางไปรับตัวคนมา
หวยอวี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับยื่นมือออกมาขวาง “คนบาดเจ็บเพราะข้า เรื่องรักษาย่อมเป็นสิ่งที่ข้าพึงปฏิบัติ”
เหยียนซิวเก็บเมี่ยวฉุนกลับมาทันที
พระโพธิสัตว์หลันเย่จึงกล่าวว่า “อาตมารับรู้ถึงน้ำใจของแม่ทัพภาคหนิวแล้ว เพียงแต่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น สำนักย่อมรักษาเองได้”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วพูดเปิดเผยตรงๆ เสียเลยว่า “หนิวไม่กล้าไม่ไว้หน้าพระโพธิสัตว์หรอก เพียงแต่คนทางบ้านบอกมา ว่าเมี่ยวฉุนเป็นพยานบุคคล ถ้าคนที่บ้านยังมาไม่ถึง หนิวก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะส่งคนให้ใคร พระโพธิสัตว์ได้โปรดเข้าใจ”
เขาไม่ได้พูดซี้ซั้วขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้โค่วเจิงก็บอกไว้อย่างนี้ ถ้าในมือไม่มีพยาน เกรงว่าถึงตอนนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรก็ยังไม่รู้ชัดเลย
พระโพธิสัตว์หลันเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในเมื่อเป็นประสงค์ของตระกูลโค่ว นางก็ไม่สะดวกจะบังคับขอแล้ว ทำได้เพียงโบกมือให้หวยอวี้ถอยไป ยังไม่ต้องทำอะไร รอให้คนของตระกูลโค่วมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทางนี้รออยู่ไม่นาน บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ทำสีหน้าซาบซึ้งใจ รีบจัดแถวยืนรอ
พวกเหมียวอี้มองตามพวกนาง เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากท้องฟ้า เหาะลงมาพร้อมกระโปรงที่ปลิวพลิ้ว ตรงกลางมีเตียงเตี้ยพร้อมมุ้งบางหลังหนึ่ง เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนเอนกายอยู่ในนั้นรางๆ
เหมือนเคยเห็นฉากนี้มาก่อน ทำให้เหมียวอี้เหม่อลอยเล็กน้อย ในหัวปรากฏภาพที่เจอกับอวิ๋นจือชิวครั้งแรกในปีนั้น หลังจากได้พบกันโดยบังเอิญที่วัดเมี่ยวฝ่าครั้งนั้น ใครจะไปคาดคิดว่าจะได้แต่งงานกัน? ตอนหลังอวิ๋นจือชิวก็เคยบอกเช่นกัน ว่าถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองเคยเจอกันที่วัดเมี่ยวฝ่า พอเจอกันเหมียวอี้ก็หนีไปแล้ว ในภายหลังตอนที่เหมียวอี้ไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นางก็คงจะแค่ปฏิบัติกับเหมียวอี้เหมือนคนทั่วไปเท่านั้น ระหว่างทั้งสองก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรตามมาทีหลังเลย ยิ่งไม่มีทางที่จะกลายเป็นสามีภรรยากันด้วย
วาสนาเป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนจริงๆ พอนึกถึงปีนั้นที่เห็นอวิ๋นจือชิวแต่งตัวเย้ายวนเหมือนชาวป่าเดินเนิบนาบออกมาจากเกี้ยว เหมียวอี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ มุมากอมยิ้มเล็กน้อย จู่ๆ ก็คิดว่าอยากจะกลับไปกอดเอาใจผู้หญิงคนนั้นเร็วๆ หน่อย บางทีอาจจะลองให้อวิ๋นจือชิวแต่งตัวเหมือนในปีนั้นอีกสักครั้ง
พอม่านมุ้งแหวกออก เท้าเปลือยที่ขาวดุจหยกสองข้างก็เหยียบลงพื้น สตรีที่เกล้าม้วยผมสูงเป็นก้อนดุจก้อนเมฆ มีผ้าผืนเล็กสองชิ้นที่ปิดแทบไม่มิดหน้าอกเดินลงมาแล้ว บนตัวมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนน่าสงสาร ตรงหน้าอกมีสร้อยหยกปปิดบังไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เป็นเรือนร่างที่หน้าอกอิ่มบั้นท้ายอวบ เอวเล็กบิดสะโพก กระโปรงยาวผ้ามุ้งบางคลุมเอวและสะโพกเอาไว้ แหวกกระโปรงข้างหนึ่งเผยให้เห็นขาที่เรียวยาว ผิวขาวดุจหิมะ ในดวงตางามเผยอารมณ์ที่หลากหลาย สีหน้าท่าทางของนางช่างทำให้สรรพสิ่งหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงจริงๆ ทำให้คนเลือดลมสูบฉีด
บรรดาศิษย์หญิงที่อยู่ทางซ้ายและขวาของนางก็แต่งตัวเปิดเผยมากเช่นกัน พระสิบกว่ารูปที่หามเกี้ยวก็กำยำล่ำสัน เปลือยร่างกายท่อนบน กล้ามเนื้อแต่ละมัดบนร่างกายดูแข็งแกร่งดุจหินผา
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้คือคนของสำนักหลัวช่า เหมียวอี้เริ่มกลุ้มใจ หลังจากมาที่แดนสุขาวดีแล้ว ก็รู้สึกเหมือนโดนโค่นล้มความรู้ที่ตัวเองมีต่อสำนักพุทธนิดหน่อย เหมือนจะมีพระผู้หญิงเยอะกว่าพระผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำไมเขาถึงเจอแต่กระอย่างนี้ล่ะ?
“พระโพธิสัตว์!” ศิษย์สำนักหลัวช่าประนมมือ
พระโพธิสัตว์หลันเย่ยิ้มบางๆ แล้วเข้าไปต้อนรับ ประนมมือกล่าวว่า “พระโพธิสัตว์เม่ยจี”
มีพระโพธิสัตว์โผล่มาอีกแล้วเหรอ? เหมียวอี้พูดไม่ออก
พระโพธิสัตว์เม่ยจีวางมือซ้ายตรงหน้าอก ไม่ได้ไหว้กลับทั้งสิบนิ้ว แต่จีบนิ้วทำความเคารพกลับอย่างสง่างามมาก กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวล “พระโพธิสัตว์หลันเย่” จากนั้นสายตาก็มองตรงไปหาเหมียวอี้ “คาดว่าท่านนี้คงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีสินะ?”
“ใช่แล้ว” พระโพธิสัตว์หลันเย่พยักหน้า
เหมียวอี้ประนมมือ “หนิวโหย่วเต๋อนมัสการพระโพธิสัตว์”
“หึหึ…” เม่ยจีเอามือปิดปากหัวเราะ บิดเอวอ่อนราวกับเป็นงูว่ายน้ำ เท้าเปล่าเดินเหยียบฝุ่นเข้ามา ลมที่เจือกลิ่นหอมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง เรือนร่างเย้ายวนถึงขีดสุด นางเดินวนพลางมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า จากนั้นยื่นศีรษะมาตรงข้างหูเหมียวอี้ พร้อมขยับปากแดงบอกว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
ดวงตางามชำเลืองมองศพของอวิ่นหมิงที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นก็หันตัวเผยแผนหลังเปลือยเปล่าให้เหมียวอี้ เดินกลับมาทางฝั่งสำนักหลัวช่า พอกระดกนิ้วเล็กน้อย ก็มีพระศีรษะโล้นเปลือยแขนสองคนก้าวขึ้นมาหิ้วชางหงที่ถูกมัดทันที
“เจ้าคือชางหงสินะ? แม่ทัพภาคหนิวบอกว่าพวกเจ้าวางแผนลอบสังหารเขา เจ้าจะอธิบายยังไง?” น้ำเสียงของเม่ยจีเย็นเยียบลงหลายส่วน
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังใส่ร้าย และอีกฝ่ายก็ย่อมรู้ว่าสำนักหลัวช่าไม่มีทางทำเรื่องนั้น เป็นการเสแสร้งต่อหน้าเขาเท่านั้นเอง
ชางหงจึงอธิบายทันทีว่า “พระโพธิสัตว์ ไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน พวกศิษย์กำลังเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ แล้วพบว่ามีบุคคลต้องสงสัยขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เลยไล่ตามมาตลอดทางจนถึงที่นี่ แล้วก็บังเอิญเจอแม่ทัพภาคหนิวกับลูกน้องของเขา แต่แม่ทัพภาคหนิวปรากฎตัวอยู่ในจุดที่ผู้ต้องสงสัยซ่อนตัว ศิษย์จึงมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าแม่ทัพภาคหนิวคือคนที่ขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว ใครจะคิดว่าแม่ทัพภาคหนิว ย้อนมาใส่ร้าย บอกว่าพวกเราลอบสังหารเขา ศิษย์พูดความจริงทุกประโยค พระโพธิสัตว์ได้โปรดเป็นกระจกที่ใสสะอาด”
เม่ยจีหันหน้ามาเหล่ตามอง “แม่ทัพภาคหนิว เมิ่งถัวหลัวใช้ในทางที่ดีได้ ใช้ในทางที่ร้ายได้ เป็นสมุนไพรต้องห้าม นี่คือสิ่งที่ตำหนักสวรรค์กับแดนพุทธรับรู้ร่วมกัน ชางหงสงสัยว่าเจ้าขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เจ้ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า?”
“พระโพธิสัตว์กำลังสอบสวนหนิวเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
เม่ยจีตอบว่า “ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทางที่ดีก็ต้องสืบหาให้ชัดเจน” ความหมายในคำพูดก็คือยอมรับแล้วว่ากำลังสอบสวน
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกท่านคนเยอะได้เปรียบกว่า ข้าเห็นแล้วไม่เหมือนกำลังสอบสวน แต่เหมือนอาศัยพวกเยอะมารังแกมากกว่า ชางหงคนนี้เป็นคนของพวกท่าน ใช่ว่านางพูดอะไรแล้วจะถูกต้องทุกอย่าง ถ้าจะสอบสวนก็ย่อมได้ แต่รอให้คนฝั่งตำหนักสวรรค์มาก่อนแล้วค่อยสอบสวนก็ยังไม่สาย แต่ก่อนที่คนของตำหนักสวรรค์จะมา หนิวก็ปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถามของพระโพธิสัตว์”
มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้เองก็ต้องยอมรับ นั่นก็คือการมีตระกูลโค่วหนุนหลังนั้นได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีตระกูลโค่วหนุนหลัง มีหรือที่เขาจะกล้าพูดอย่างนี้กับคนระดับเทพประจำดาว ถ้าไปทำให้อีกฝ่ายโมโหก็สามารถฟาดให้เจ้าตายด้วยฝ่ามือเดียวได้เลย
เม่ยจีหันตัวมาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่ความเย็นเยียบที่แผ่นซ่านออกมาจากดวงตานั้นยากจะปิดบังไหว ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วแล้วอย่างไรล่ะ ต่อให้นางสั่งสอนสักหน่อยแล้วจะทำไมล่ะ? ถึงอย่างไรที่นี่คือแดนพุทธ แต่ครั้งนี้เรื่องราวแตกต่างออกไป เพราะก่อนที่จะมานางได้รับแจ้งจากเบื้องบน ว่าฝั่งโค่วหลิงซวีลงมือแล้ว วัดใหญ่แต่ละแห่งของพุทธะหน้าหยกที่อยู่ในอาณาเขตทัพเหนือของตำหนักสวรรค์ทยอยกันถูกทหารสวรรค์ปิดล้อมและตรวจสอบแล้ว ศิษย์สำนักพุทธที่โดนจับมีเป็นล้าน ข่าวขอความช่วยเหลือทยอยส่งไปทางพุทธะหน้าหยกไม่หยุด ถ้านางกล้าแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่าศีรษะของศิษย์สำนักพุทธจะร่วงลงพื้นเท่าไรก็ยังไม่รู้เลย อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่จะรับกรรมก่อนก็คือศิษย์ของนาง
“ว่ากันว่าแม่ทัพภาคหนิวไม่เห็นใครอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันนี้ได้เห็นก็นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ” เม่ยจีเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วเอามือจิ้มหน้าอกเหมียวอี้พลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พระโพธิสัตว์ชมเกินไปแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ทำลายภาพลักษณ์ของชาวพุทธที่หนิวเคยเจอเหมือนกัน” เขายกมือมาบังมือของนาง แล้วถอยลบไปด้านข้างอย่างช้าๆ
ในสายตาของคนที่อยู่รอบข้าง การกระทำนี้ค่อนข้างเสียมารยาท โดยเฉพาะผู้ติดตามของเม่ยจี แต่ละคนทำสีหน้าขุ่นเคือง ทยอยกันย้ายฝีเท้าก้าวมาข้างหน้าแล้ว
เม่ยจียกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วหยุด ดวงตาทั้งสี่สบประสานกับเหมียวอี้
พระโพธิสัตว์หลันเย่กลับมองฉากนี้อย่างสนใจ
ในขณะนี้เอง เม่ยจีกับหลันเย่ก็แทบจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน แล้วทุกคนก็ทยอยกันมองตาม
คนนับพันปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ผู้ที่นำหน้านมาก็คือโค่วเจิง เห็นเพียงโค่วเจิงจ้องข้างล่างแล้วโบกมือ คนนับพันข้างหลังกลายเป็นหมื่นคนในชั่วพริบตาเดียว แล้วหมื่นคนก็เพิ่มเป็นแสนคน ทหารสวมเกราะหนึ่งแสน แม่ทัพใหญ่เกราะแดงยืนอยู่ข้างหน้าอย่างดุร้ายน่าเกรงขาม
โค่วเจิงนำทัพใหญ่หนึ่งแสนมาด้วยตัวอง!
…………………………