พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1642 อย่าทำซี้ซั้ว!
เหมียวอี้ที่จัดแต่งทรงผมอย่างรวดเร็วรีบเดินออกมา พอก้าวเข้าประตูมาก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง “ให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่รอนานแล้ว”
โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่พยักหน้าอย่างสุภาพ
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นต้อนรับ แล้วถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “เสร็จเรื่องแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าอวิ๋นจือชิวช่วยอ้างเหตุผลว่าเขาติดธุระ ถึงได้ออกมาช้า จึงพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เสร็จเรื่องแล้ว ได้ยินว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่มา จะไม่รีบทำให้เสร็จเร็วๆ ได้ยังไง”
โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่ตกใจทันที มองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เคยเห็นคนหน้าด้านมาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้เลย ยังมีหน้ามายอมรับต่อหน้าบ่าวรับใช้อีก ทำเหมือนพวกเขาสองสามีภรรยามาขัดจังหวะเรื่องดีๆ ของเจ้าอย่างนั้นแหละ
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่อีกด้านเหลือบมองอวิ๋นจือชิวพลางเม้มปากกลั้นขำ ในใจรู้สึกทอดถอนใจไม่หยุด ฮูหยินกำลังวางกับดักนายท่านแบบถึงตายแลว!
และคำตอบที่สร้างสรรค์ของเหมียวอี้ก็แทบจะทำให้อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมาแล้ว เล็บที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังจิดเนื้อตัวเองเพื่ออดกลั้นไม่ให้ขำออกมา นางกะว่าเดี๋ยวค่อยบอกความจริงเหมียวอี้ทีหลัง อยากจะเห็นมาว่าเหมียวอี้จะหน้าดำคร่ำเครียดอย่างไร
เหมียวอี้เองก็ค้นพบความผิดปกติแล้วเช่นกัน พบว่าโค่วเจิงกับสุยฉูฉู่มองตนด้วยสายตาแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?”
โค่วเจิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ไม่ให้เรื่องมโนสาเร่มารบกวนเรื่องสำคัญ เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “โหย่วเต๋อ ท่านพ่อตอบรับเงื่อนไขของเจ้าหมดแล้ว ท่านพ่อยอมให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษเลย!”
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่จะมาคุยก็คือเรื่องนี้ หวังว่าเหมียวอี้จะเข้าใจว่าโค่วหลิงซวีให้ความสำคัญกับเขาขนาดไหน นี่คือวิธีการซื้อใจคนที่ใช้บ่อย
เหมียวอี้รีบส่งสายตาให้โค่วเจิง แล้วก็ถือโอกาสพยักหน้า บอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว
โค่วเจิงที่ได้รับสายตาจากเหมียวอี้ตระหนักได้ทันทีว่าเหมียวอี้อาจจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิว สุยฉูฉู่ก็เห็นสายตาของเหมียวอี้เช่นกัน อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นพอดี
ทว่าอวิ๋นจือชิวก็แปลกใจแล้ว “ท่านสามี ท่านเสนอเงื่อนไขอะไรกับท่านพ่อบุญธรรมของข้า?”
เหมียวอี้หันกลับมาตอบนางด้วยท่าทางจริงจัง “โดนลอบสังหารที่แดนสุขาวดี ข้าเลยอยากจะเพิ่มการป้องกันที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีสักหน่อย พวกตาแก่กร้านโลกที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีน่ะ ข้าไม่กล้าหวังอะไรหรอก เลยขอให้ท่านพ่อบุญธรรมช่วยเปลี่ยนคนที่จวนแม่ทัพภาคให้สักหน่อย เปลี่ยนคนที่พึ่งพาไว้ใจได้ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของท่านพ่อบุญธรรม แต่ท่านก็รับปากแล้ว”
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วพยักหน้าทันที “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมจริงๆ” นางเองก็รู้จักพวกตาแก่กร้านโลกที่ตลาดผี ถ้าอาศัยให้พวกนั้นรักษาความปลอดภัยให้เหมียวอี้ ก็ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไร ขณะเดียวกันนางก็รู้ ว่าต่อให้โค่วหลิงซวีจะออกหน้าจัดการเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ง่ายอยู่ดี แต่ในเมื่อโค่วหลิงซวีรับปากแล้ว ก็ถือว่าช่วยเหลือได้ไม่น้อยแล้วจริงๆ
ดูจากการแอบเปลี่ยนเนื้อหาของเหมียวอี้ โค่วเจิงก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากเงียบและครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามว่า “โหย่วเต๋อ เจ้าเตรียมจะกลับไปที่ตลาดผีเมื่อไร?”
“อีกสองวันก็จะเดินทางแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
โค่วเจิง “เกรงว่าจะต้องเลื่อนไปอีกสักหน่อย ข้าจะบอกข่าวอะไรเจ้าอย่างหนึ่ง ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้ว ข่าวนี้ยืนยันแล้ว ฝ่าบาทปลาบปลื้มมาก เตรียมจะจัดงานเลี้ยงประกาศข่าวดีที่อุทยานหลวงอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ท่านพ่อจะบอกก็คือ ถ้าจะให้เจ้าหนีไปทันทีที่ได้ยินข่าวเรื่องราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ ก็กลัวว่าคงจะมีคนคิดมาก จึงให้เจ้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนแล้วค่อยไป” เขาไม่ได้เอ่ยถึงว่าเหมียวอี้รู้เรื่องที่ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ตั้งนานแล้ว
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “ได้!”
โค่วเจิงลุกขึ้นแล้วบอกว่า “งั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน ถึงตอนนั้นค่อยออกเดินทางพร้อมกัน แล้วให้เจ้าเจ็ดไปกับพี่สะใภ้ใหญ่”
นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เขาพาสุยฉูฉู่มาด้วย ไม่ว่าเหมียวอี้จะตายด้วยน้ำมือของตระกูลเหล่านั้นหรือไม่ แต่ในตอนที่เรื่องราวยังไม่ดำเนินไปถึงขั้นนั้น สิ่งที่ควรจะพยายามก็ยังต้องพยายามต่อไป แล้วสุยฉูฉู่ก็เป็นสะใภ้ใหญ่ด้วย กอปรกับฐานะของโค่วเจิงในตระกูลโค่วตอนนี้ ในอนาคตสุยฉูฉู่จะกลายเป็นฮูหยินของหัวหน้าตระกูล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้กลายเป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว อากัปกิริยาบางอย่างก็ต้องรักษาเอาไว้ ดังนั้นสุยฉูฉู่จึงไม่สะดวกจะรีบแสดงบทบาทมากเกินไปเหมือนคนอื่น โค่วเจิงย่อมต้องแอบช่วยฮูหยินของตัวเองเป็นการส่วนตัว ให้ฮูหยินสานสัมพันธ์อันดีกับเจ้าเจ็ดเอาไว้ และถือว่ากำลังช่วยเขาซื้อใจคนด้วยเช่นกัน
หลังจากส่งทั้งสองไปแล้ว ตอนที่เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา ก็ถูกอวิ๋นจือชิวเดินตามมาคล้องแขน “หนิวเอ้อร์ ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้ว ความร่วมมือระหว่างตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วก็จบลงแล้วน่ะสิ? ตึกศาลาสัตยพรตจะยังปกป้องเจ้าอยู่มั้ย?”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “เจ้าวางใจได้ ท่านพ่อย่อมพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว ดูความเคลื่อนไหวก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาไม่ยอมบอกเรื่องที่ตัวเองเตรียมจะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ
หลังจากนั้นหลายวัน วันแรกของงานเลี้ยงอุทยานหลวง ทางวังหลังก็ส่งข่าวมา ว่าสนมอวี้จัดการเรื่องนี้เรีนบร้อยแล้ว ราชินีสวรรค์ตอบตกลงให้เปลี่ยนกำลังคนที่ตลาดผีแล้ว
วันต่อมา ตระกูลโค่วนำโดยอ๋องสวรรค์โค่ว รวมทั้งคนในตระกูลโค่ว คนกลุ่มใหญ่มาถึงเรือนพักของตระกูลโค่วที่อุทยานหลวง
ตอนที่เข้ามาในสวน เขาชำเลืองมององครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกเรือน เพราะไม่รู้ว่าเป็นกองกำลังกลุ่มไหนของกองทัพองครักษ์ ตอนที่เขาเพิ่งจะออกจากอุทยานหลวงได้ไม่นาน กำลังพลกองมังกรดำของมู่อวี่เหลียนก็ถูกย้ายออกจากอุทยานหลวงแล้ว ก่อนที่จะไป มู่อวี่เหลียนก็ตั้งใจติดต่อมาหาเพื่อบอกให้เขารู้
คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในเรือนพักนานสักเท่าไร พอผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็รวมตัวกันไปที่พระตำหนักอุทยานแล้ว
บนลานกว้างนอกตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ตำแหน่งยืนชัดเจน ขุนนางยืนอยู่ข้างหน้า ทุกคนในครอบครัวอยู่ข้างหลัง ยืนกันแน่นขนัดเต็มลานกว้างแล้ว
บนบันไดหน้าตำหนัก แม่ทัพใหญ่เกราะแดงประคองกระบี่ยืนเรียงแถวอยู่ทางซ้ายและขวา กำลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่ดุร้ายราวกับเหยี่ยวและหมาป่า เป็นกำลังพลของกองทัพองครักษ์นั่นเอง
รอได้สักประเดี๋ยว ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เดินออกมาจากตำหนักพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชิดหน้ายืดอก สีหน้าสง่าภูมิฐาน แต่ความดีใจที่แสดงออกทางสายตากลับยากที่จะปิดบังได้ นางกำลังกวาดมองกลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได
ตุ้งตุ้งตุ้ง! หลังจากเสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้นสามครั้ง เสียงกลองยังดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทุกคนบนลานกว้างทำความเคารพพร้อมกัน ส่งเสียงพร้อมกัน “คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์!”
ในโอกาสที่เป็นทางการ ยามเผชิญหน้ากับการเข้าเฝ้าของกลุ่มขุนนาง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกแขนเสื้อสองข้างที่ใหญ่โคร่งขึ้นมา แล้วโอบรวมกันเพื่อแสดงความเคารพกลับ
ประมุขชิงโบกแขนเสื้อ “ไม่ต้องมากพิธี!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยราชินีสวรรค์!” หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ทุกคนถึงได้ยืนตรงและมองขึ้นมาข้างบน
บนใบหน้าประมุขชิงมองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ในงานไม่ได้มีพิธีการจุกจิกหยุมหยิมอะไรเกินไป ได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้องของเขา “ข้า วันนี้จะประกาศข่าวมงคลให้ทุกคนรู้อย่างเป็นทางการ ราชินีสวรรค์กำลังตั้งครรภ์โอรสสวรรค์ให้ข้า ข้ามีผู้สืบทอดแล้ว!”
“ยินดีด้วยฝ่าบาท ยินดีด้วยราชินีสวรรค์…” เตรียมคำพูดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกคนกล่าวเสียงดังพร้อมเพรียงกันสามรอบ
บนใบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรียกได้ว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นในชั่วพริบตาเดียว กวาดมองเบื้องล่างด้วยแววตาสดใสเป็นประกาย ใช้คำว่า ‘มารดาได้พึ่งบารมีบุตรชาย’ นั้นเหมาะสมกับนางที่สุดแล้ว
ซ่างกวนชิงเดินลงบันไดไปหนึ่งขั้น แล้วจู่ๆ ก็กล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาทถ่ายทอดคำสั่ง นิรโทษกรรมทั้งใต้หล้า! นักโทษทุกคนที่ถูกคุมขัง ขอเพียงไม่ใช่นักโทษกบฏ ก็จะได้รับอภัยโทษทั้งหมด! ผู้ร้ายที่กำลังหลบหนี ขอเพียงไม่ใช่นักโทษกบฎ หากยอมมอบตัว จะได้รับอภัยโทษทั้งหมด!”
“เป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท เมตตาท่วมท้นสรรพสิ่ง!” เสียงของคนนับหมื่นดังขึ้นพร้อมกัน
“ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงให้ทั่วแดนร่วมฉลอง กคนกลับไปนั่งประจำที่” ซ่างกวนชิงกล่าว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนกล่าวเสียงดังพร้อมกันอีกครั้ง
ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน บรรดาขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าราชสำนักเดินตามหลังขึ้นบันไดไป เข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้านใน
“ท่านปู่สวรรค์ ยินดีด้วย!”
ข้างหลังเซี่ยโห้วท่า เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นแถบ มีทั้งปลอมบ้างจริงใจบ้างปนกันไป เซี่ยโห้วท่ากล่าวขอบคุณไม่หยุด ใบหน้าชรายิ้มแย้มราวดอกไม้บาน
สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงยืนแยกทางซ้ายและขวา เดินอ้อมตำหนักใหญ่เข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้านในแล้ว
ประมุขชิงเลี้ยงรับรองขุนนางใหญ่อยู่ในตำหนักใหญ่ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เลี้ยงรับรองสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงอยู่ที่ลานบ้านด้านใน
ที่จริงแล้ว ถ้านำสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของแต่ละตระกูลมารวมกัน ก็จะมีจำนวนเยอะที่สุด ก็ช่วยไม่ได้ บรรดาขุนนางใหญ่แต่ละคน ถ้าจะบอกว่ามีสามภรรยาสี่อนุก็ถือว่ายังน้อยไป เพราะถ้าเห็นแล้วถูกใจก็จะรับเข้ามาไว้ในบ้าน ถ้ามีอนุภรรยาน้อยก็แปลกแล้ว
พอขุนนางใหญ่ไปแล้ว สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงก็ไปแล้ว ตอนนี้ลูกหลานของแต่ละตระกูลที่เหลืออยู่ก็มีไม่เยอะ เหลือไม่กี่พันคนเท่านั้น
ไม่นานก็มีเทพธิดาจำนวนมากมาจัดโต๊ะอาหาร นำอาหารเลิศรสสีสันงดงามมาวางไว้ สุราหยกก็ย่อมขาดไม่ได้เช่นกัน
ลำดับโต๊ะของแต่ละตระกูลอิงตามตำแหน่งขุนนาง เหมียวอี้ได้อาศัยบารมีนั่งแถวหน้าที่อยู่ห่างจากบันไดตำหนักไม่ไกล
ทางฝั่งตระกูลโค่ว โค่วเจิง โค่วเหมี่ยนและกลุ่มคนรุ่นเดียวกันกำลังยกจอกสุราดื่มฉลองด้วยกันอย่างร่าเริง “เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี” ทว่ายากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ เขาก็ทำได้เพียงดื่มหมดจอกก่อนเพื่อแสดงความเคารพ
ขณะที่วางจอกสุราที่รินไว้เต็มลง พวกโค่วฉิน โค่วเหมี่ยนก็สังเกตเห็นว่าเหมียวอี้ใจลอยนิดหน่อย ทุกคนมองตามสายตาเหมียวอี้ เห็นกำลังมองไปทางกลุ่มตระกูลอิ๋งพอดี พบว่าเหมียวอี้จับตาดูอิ๋งหยางแล้ว ความไม่เป็นมิตรในสายตาเหมียวอี้นั้นยากจะปิดบัง พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ย่อมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสุขาวดีมาแล้ว
“เฮ้อ โหย่วเต๋อ วันนี้เป็นงานมงคลของฝ่าบาท อย่าไปคิดถึงคนเฮงซวยเลย มา พวกเรามาดื่มกันอีกสักจอก” โค่วเหมี่ยนชูจอกสุราขึ้นมาปลอบใจ。
คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันพยักหน้า ทุกคนพากันพูดปลอบใจ มีเพียงโค่วเจิงที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะเขาคือคนที่รู้ดีกว่าใคร ว่าต่อไปเหมียวอี้จะทำอะไรกับอิ๋งหยาง
เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เดินวนไปวนมาอยู่ในโต๊ะกับพวกเขาอย่างขอไปที
และในตอนนี้เอง ลูกชายของโค่วเจิงซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานคนโต หรือโค่วเหวินไป๋นั่นเอง มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา มืออีกข้างถือกาสุรา มาดื่มคารวะกับผู้อาวุโสก่อน นับว่าเป็นลำดับอาวุโสเช่นกัน ข้างหลังเขา คาดว่าคงมีรุ่นหลานของตระกูลโค่วคงผลัดกันเข้ามาแล้ว
โค่วเหวินไป๋เริ่มตั้งแต่บิดา ดื่มคารวะไล่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนที่คารวะเหมียวอี้ กลับพบว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นเขา เจ้าตัวกำลังเอียงหน้าไปอีกด้าน
“อาเขย” โค่วเหวินไป๋ยกจอกสุราพลางตะโกนเรียกด้วยรอยยิ้ม
“โหย่วเต๋อ เหวินไป๋มาดื่มคารวะเจ้า” โค่วฉินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกำลังมองอิ๋งหยางหัวเราะร่าเริงอยู่ทางฝั่งตระกูลอิ๋ง เป็นเวลาที่ไฟโกรธสุมทรวง ไม่สนใจใยดีโค่วเหวินไป๋เลย แต่กลับลุกขึ้นยืนแล้วถือกาสุรากับจอกสุราเตรียมจะเดินออกไป
โค่วเหวินไป๋สีหน้าเปลี่ยนไปมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่ไว้หน้าเขามากขนาดนี้ต่อหน้าฝูงชน ยืนถือจอกสุราค้างอยู่อย่างนั้น
แต่พวกโค่วเจิงกลับตกใจ พบว่าเหมียวอี้กำลังถือ ‘อาวุธ’ เดินไปทางตระกูลอิ๋ง แต่ละคนร้องในใจว่าแย่แล้ว เจ้าคนหัวรุนแรงคนนี้มันคิดจะทำอะไร?
โค่วเจิงรีบถ่ายทอดเสียงบอก โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถลันตัวเข้าไปขวางเหมียวอี้ทันที ไม่รู้ว่ากำลังแอบพึมพำอะไรกันอยู่
“ท่านพ่อ! เขาหมายความว่ายังไง?” โค่วเหวินไป๋ถ่ายทอดเสียงถามโค่วเจิง
โค่วเจิงถลึงตาจ้องเขาอย่างดุดัน “ยังกลัววุ่นวายไม่พอรึไง? ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยไป!” เขาลุกขึ้นเดินไปทางเหมียวอี้เช่นกัน ยื่นมือไปดึงแขนเหมียวอี้ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “โหย่วเต๋อ วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท อย่าทำซี้ซั้ว!”
“ข้าก็แค่จะไปดื่มคารวะเอง ไม่เกิดเรื่องหรอก” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ
สามพี่น้องพูดไม่ออก เจ้าก่อเรื่องจนชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ด้วยพฤติกรรมของเจ้าในตอนนี้ ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าจะไม่เกิดเรื่อง ใครจะไปเชื่อล่ะ?
………………………