พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1644 หงส์เฟิ่งหวงมีเคราะห์
ใครจะคิดว่าจะมีเทพธิดาอีกกลุ่มปรากฏตัวขึ้น รีบร้อนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ระหว่างศาลา
เหมียวอี้เก็บของที่อยู่ในมือ เอามือไขว้หลังก้มหน้ามองน้ำที่มีไอหมอกลอยขึ้นมาจางๆ ราวกับเห็นเงาตัวเองแล้วนึกสงสารตัวเองขึ้นมา
เทพธิดาที่เดินผ่านแค่เหลือบมองเขาสองทีเท่านั้น พวกนางไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม วันนี้พระตำหนักอุทยานเปิดรับแขก จุดที่มีทหารยามเฝ้าก็แสดงว่าล่วงล้ำเข้าไปไม่ได้ ส่วนจุดที่ไม่มีทหารเฝ้าก็แสดงว่าปล่อยให้แขกเดินเล่นได้ ยกตัวอย่างเช่นสวนชมทิวทัศน์แห่งนี้ เดิมทีก็มีไว้ให้แขกเดินเล่นพักผ่อนอยู่แล้ว จะกันให้แขกเดินเล่นอยู่บนลานกว้างด้านนอกอย่างเดียวไม่ได้หรอก
หลังจากเทพธิดาไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่กลับมองเงาของตัวเองในน้ำด้วยความตะลึงงัน ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าบนภูเขาจำลองที่อยู่ในเงาสะท้อน หงส์เฟิ่งหวงที่เหมือนกำลังนอนหลับพักผ่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้ว เหมือนกำลังมองเขาอยู่ เพียงแต่ไอหมอกจางๆ ที่อยู่บนผิวน้ำทำให้เขามองเห็นไม่ชัด
เหมียวอี้เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปบนภูเขาจำลอง พบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดกับภาพสะท้อนในน้ำ เพราะหงส์สีรุ้งตัวนั้นตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ดวงตาหงส์สีทองที่อยู่ใต้ยอดหัวสีแดงสดราวกับดอกพลับพลึงแดงกำลังมองต่ำลงมาหาเขาที่ริมสระน้ำ
ยอดแห่งสัตว์ปีก ราชินีแห่งนก มีความสูงส่งเลอค่าโดยธรรมชาติ สวยแพงจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ หงส์สีรุ้งตัวนี้มองเหมียวอี้ด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ เหมือนเจือด้วยความไม่เข้าใจ จ้องมองเหมียวอี้อยู่อย่างนั้น
เหมียวอี้ตะลึงงัน เมื่อสบตากับอีกฝ่ายได้สักประเดี๋ยว สุดท้ายก็คิ้วกระตุกแล้ว เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้
มาตามหาอิ๋งหยางแต่หาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอหงส์เฟิ่งหวงที่นอนอยู่ตัวเดียว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประสบการณ์ที่เคยมีที่รังหงส์ ในใจเขาเกิดความรู้สึกชั่ววูบบางอย่าง อยากจะนำ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ออกมาทดสอบดู เขาไม่กลัวว่าถ้ามีคนมาเห็นแล้วจะเป็นอย่างไร อยากมากก็แค่บอกไปโดยตรงว่า ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ นี้ถูกเก็บมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาแค่อยากจะเห็นว่าหงส์เฟิ่งหวงที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักสวรรค์จะรู้จักของที่มาจากรังหงส์หรือเปล่า
แต่เขากลับไม่อยากเปิดเผยของสิ่งนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงกำไว้ในฝ่ามือเท่านั้น แค่นี้ก็สะเทือนไปถึงหงส์สีรุ้งตัวนี้แล้ว ดูจากที่อีกฝ่ายจ้องมองอย่างสงสัย เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว ว่าหงส์สีรุ้งตัวนี้อาจจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้
พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง เหมียวอี้ก็ถึงขั้นยอมร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดูไปหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ก็สะบัดมือที่กำหมัดวางไว้ข้างหลัง มือที่กำแน่นมีคลื่นสีฟ้าจางๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หงส์สีรุ้งที่อยู่บนภูเขาจำลองมีปฏิกิริยาอีกครั้ง ตอบสนองเหมือนกำลังรู้สึกสะเทือนขวัญ คอที่พับอยู่เล็กน้อยเริ่มยืดขึ้นมาทีละนิด ดวงตางามดุจกระจกสีทองค่อยๆ เบิกกว้างจ้องมองเหมียวอี้
เหมียวอี้ย้ายมือที่ไว้หลังอยู่ออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ หมัดที่กำแน่นคลายออกทีละนิด ลำแสงสีฟ้าอ่อนโยนค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากซอกนิ้ว หงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลองก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตามนิ้วที่แผ่ออกของเหมียวอี้เช่นกัน ขนหางยาวสวยลอยเองโดยไร้ลม ดวงตาหงส์จ้องในฝ่ามือเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตาไปไหน
ตอนที่เหมียวอี้แบมือข้างนั้นอย่างเต็มที่ กลางฝ่ามือก็ปรากฏไข่มุกสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่ง มันกำลังเปล่งแสงอันงดงามราวกับภาพมายา ในไข่มุกมีเงาเปลวเพลิงโยกไหว ราวกับหงส์เฟิ่งหวงกำลังเคลื่อนไหวตามเงาเปลวเพลิงในไข่มุก สวยสดงดงามมาก สิ่งนี้คือ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ที่นำมาจากรังหงส์นั่นเอง
ขณะจ้องมองไข่มุกในฝ่ามือของเหมียวอี้ หงส์สีรุ้งที่ลุกขึ้นยืนก็มีหยดน้ำตาใสปรากฎขึ้นในดวงตาอย่างช้าๆ ชั่วพริบตาที่ไหลออกมาจากตาก็กลายเป็นไข่มุกที่ลักษณะเหมือนกับหยกเย็นทันที ตกลงในน้ำจนเกิดระลอกคลื่น แล้วก็จมลงในน้ำแล้ว
“วี้ด…วี้ด…วี้ด…” หงส์สีรุ้งพลันเงยหน้า แล้วส่งเสียงร้องอันยาวแหลมอย่างถี่กระชั้นราวกับเสียงหยกกระทบทอง เสียงดังก้องท้องฟ้า ขนสีรุ้งลอยขึ้นมาตามลม
หงส์เฟิ่งหวงตัวอื่นที่อยู่ในพระตำหนักอุทยาน รวมทั้งบรรดาหงส์เฟิ่งหวงที่กำลังลากพาหนะต่างก็พากันรีบหันมองมาทางนี้
มังกรใหญ่ที่ขดตัวอยู่บนหลังคาตำหนักใหญ่เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองไปนังเขตแดนหงส์ด้วยสายตาเป็นประกาย
กลุ่มคนที่กำลังยกจอกสุราดื่มกันอย่างสนุกสนานบนลานกว้างพลันเงียบเสียง พากันหันไปมองทางเขตแดนหงส์ ทุกคนงุนงงไม่เข้าใจ
บรรดาสนมมากมายที่อยู่ในสวนด้านหลังหยุดหัวเราะพูดคุยแล้วแล้ว ทุกคนมีสีหน้างงงัน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น
ในตำหนักใหญ่ ราชันและขุนนางถือจอกสุราค้างไว้ในมือ ทยอยกันมองไปด้านนอกตำหนักเช่นกัน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องบนถามเสียงเรียบ “มีเรื่องอะไร?”
เมื่อเขาเอ่ยถาม ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวินกับผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาอู๋ฉวี่ก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่งในงานเลี้ยง ทั้งสองมีสีหน้าเย็นเยียบ กวาดสายตาเยียบเย็นมองไปนอกตำหนัก แม่ทัพใหญ่เกราะแดงหลายคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ถลันตัวออกไปทันที
ในสวนชมทิวทัศน์ เหมียวอี้ยืนอยู่ริมน้ำทำอะไรไม่ถูกแล้ว การเคลื่อนไหวที่กะทันหันของหงส์สีรุ้งทำให้เขาตกใจ รีบเก็บหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งที่อยู่ในมือแล้ว
เขาเหลียวซ้ายแลขวา อยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว ตามหัวมุมและประตูต่างๆ มีเหล่าเทพธิดาโผล่ออกมาด้วยความตกใจ กำลังมองมาทางนี้ด้วยความตะลึงงัน
บนท้องฟ้ามีเงาคนหลายคนถลันวูบเข้ามา แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งสะบัดแส้ยาวโลหะที่เต็มไปด้วยฟันหมาป่า มันคือแส้สยบมังกร!
โครม เงาแส้สาดเข้ามา ราวกับมีสายฟ้าแวบผ่านเข้ามา เสียงดังฟังชัด โดนบนตัวหงส์สีรุ้งที่กำลังเงยหน้าส่งเสียงร้องพอดี ตีจนหงส์สีรุ้งที่ร้องลากเสียงยาวหยุดชะงัก เสียงร้องนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงร้องที่เศร้าโศก
แส้สยบมังกรห้าเส้นโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน แม่ทัพใหญ่เกราะแดงห้าคนล้อมหงส์สีรุ้งตัวนั้นเอาไว้ เงาแส้ห้าสายโบกอยู่กลางอากาศ เงาแส้กระพริบวิบวับอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะเหมียวอี้
เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ…
เสียงแส้ดังไม่หยุด หงส์สีรุ้งที่ร้องสะอื้นเป็นพักๆ ไม่กล้าขัดขืน โดนฟาดจนเลือดและเศษเนื้อปลิวกระจาย เส้นขนสีรุ้งทั้งตัวก็ยิ่งฉีกขาด ขนอันสวยงามที่หลุดร่วงปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า
ผ่านไปไม่นาน หงส์สีรุ้งก็โดนตีจนร้องไม่ออกแล้ว ตกลงบนภูเขาจำลองอย่างแรง เงยหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนแอ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เศร้าโศกสิ้นหวัง หยดน้ำตาในดวงตาร่วงหล่น กลายเป็นเม็ดไข่มุกที่เหมือนกับหยกเย็นไหลจากบนภูเขาจำลองลงมาในน้ำ น้ำตาไหลไม่หยุด
เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากภูเขาจำลอง ย้อมจนน้ำในบ่อกลายเป็นสีแดง
ไม่เห็นว่าในที่สุดมันก็ร้องไม่ออกแล้ว เงาแส้ในมือของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงห้าคนบนท้องฟ้าถึงได้หยุดเคลื่อนไหว แส้สยบมังกรอันน่าสะพรึงที่เจือปนรอยเลือดห้อยตกลงมา
บนใบหน้าเหมียวอี้ไร้ความหวาดกลัว มองดูหงส์สีรุ้งสภาพจนตรอกตัวนั้นที่กำลังก้มหัวที่มีเลือดไหลอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกแย่ นึกไม่ถึงว่าการกระทำเพียงชั่ววูบของตัวเอง จะทำร้ายให้หงส์สีรุ้งตัวนี้กลายสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว
มีคนไม่น้อยที่ตกใจเสียงความเคลื่อนไหวทางนี้แล้วมามุงดู เมื่อเห็นหงส์เฟิ่งหวงตัวหนึ่งเป็นบ้า พวกเขาก็ประหลาดใจ
พวกโค่วเจิงที่โผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ผ่านไปไม่นาน ซ่างกวนชิงที่ตามหลังแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองคนออกมาก็ปรากฏตัวแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเทพธิดา ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เทพธิดาที่ถูกจับจ้องรู้สึกเป็นกังวลมาก สำหรับเทพธิดาอย่างพวกนาง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ท่านนี้สามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกนางได้ด้วยคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น ขนาดสนมมากมายในวังหลังเห็นซ่างกวนชิงแล้วก็ยังกลัว แล้วนับประสาอะไรกับพวกนาง เทพธิดาคนนั้นรีบคุกเข่าแล้วส่ายหน้าหน้าตอบด้วยความหวาดกลัว “ตอบผู้การใหญ่ บ่าวไม่ทราบค่ะ”
ซ่างกวนชิงมองข้ามนางทันที เขาชำเลืองหงส์สีรุ้งที่หายใจรวยรินแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเย็นชาไร้ความปราณี “ลากสัตว์เดรัจฉานขนแบนที่หมดสนุกตัวนั้นไปประหารทิ้งนอกพระตำหนักอุทยาน”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วหันขวับกลับมา จ้องไปที่ซ่างกวนชิง
“วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหลังซ่างกวนชิง ทำให้แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่กำลังจะก้าวออกไปปฏิบัติหน้าที่หยุดชะงัก
ซ่างกวนชิงหันมามอง เห็นเพียงเกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ และสวมผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดปรากฏตัวจากประตูพระจันทร์ด้านหลัง เมื่อท่านนี้โผล่หน้ามา ลูกหลานขุนนางพี่มาดูเอาสนุกก็ถอยหลังหลบโดยจิตใต้สำนึก ซ่างกวนชิงมองดูปฏิกิริยาทั้งสองฝั่ง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า เจ้าหมอนี่มีอิทธิพลต่อลูกหลานขุนนางแบบไม่ธรรมดาจริงๆ
เกาก้วนมายืนเคียงข้างซ่างกวนชิง แล้วจ้องหงส์สีรุ้งตัวนั้นบนภูเขาจำลอง
ซ่างกวนชิงกำลังไตร่ตรองคำพูดของเกาก้วน เราก็พยักหน้าเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่ามีเหตุผล วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท ฝ่าบาทอภัยโทษให้ทางใต้หล้า แต่ตัวเองกลับจะสังหารชีวิตในวังสวรรค์ แบบนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ จึงยิ้มแล้วบอกว่า “เป็นวาสนาของสัตว์เดรัจฉานตัวนี้นะ รบกวนให้ทูตขวาเกามาพูดขอร้องให้เสียแล้ว” เขาโบกมือยกเลิกคำสั่งก่อนหน้านี้
แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะกล่าวเสียงเรียบอีก “ขอร้อง? ความเป็นความตายของมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงรู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกะทันหันมีเงื่อนงำนิดหน่อย” ขณะที่พูดก็โบกมือหนึ่งที ข้างหลังมีคนของหน่วยตรวจการขวาสามคนออกมาทันที เป็นสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา สามหัวหน้าผู้ตรวจการใต้บังคับบัญชาของเกาก้วนนั่นเอง
ทั้งสามคนเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงด้านลบ โหดร้ายกระหายเลือด ไม่รู้ว่ามีขุนนางตำหนักสวรรค์มากมายเท่าไรที่ตายอนาถด้วยน้ำมือของพวกเขา ถ้าตกอยู่ในมือของทั้งสามคน ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็กลายเป็นมีความผิดได้ โทษเล็กก็กลายเป็นโทษใหญ่ได้เช่นกัน เป็น ‘เพชฌฆาต’ ผู้เลื่องชื่อของหน่วยตรวจการขวา ถ้าจะให้พูดจากบางมุม ยอมมีเรื่องกับเกาก้วน ดีกว่ายอมมีเรื่องกับสามคนนี้
หนึ่งในนั้นคือคนที่เหมียวอี้รู้จัก เคยติดต่อกันตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี เขามีสีหน้าดุร้ายกระหายเลือด
สามคนนั้นเข้าไปสอบถามถึงสถานการณ์จากกลุ่มคนทันที ลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง อาศัยประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่ปล่อยผ่านเบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย
ผ่านไปครู่เดียว บรรดานางในก็ชี้ไปที่เหมียวอี้อย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
แต่ฐานะของเหมียวอี้ไม่ธรรมดา เบื้องหลังเกี่ยวข้องกับอ๋องสวรรค์โค่ว สามลูกพี่ใหญ่จึงไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ ไปรายงานเกาก้วนแล้ว
เกาก้วนเชิดคางพยักหน้าเล็กน้อย เหมิงเซวี่ยเอ่ยรับคำสั่ง แล้วถลันตัวไปข้างกายเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววดุร้ายแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ใส่เหมียวอี้ แล้วยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิว ทูตขวาเกาเชิญพบ”
เหมียวอี้ตามไปอย่างสงบนิ่งใจเย็น
ลูกหลานตระกูลโค่วที่ได้เห็นฉากนี้รู้สึกหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอะไรอีก
พวกตระกูลอิ๋งที่เหม็นขี้หน้าเหมียวอี้กลับดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เฝ้าคอยให้เหมียวอี้ยั่วโมโหต่อหน้าผู้พิพากษาหน้าตายท่านนี้
ไม่เพียงแค่ตระกูลโค่ว กลุ่มลูกหลานขุนนางที่รีบเข้ามาใกล้ฝั่งนี้ แต่โค่วเจิงกลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเขาก็ห้ามเกาก้วนไม่ไหว
พอมาถึงตรงหน้าเกาก้วน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะผู้การใหญ่ คารวะทูตขวาเกา”
ซ่างกวนชิงพยักหน้ายิ้มบางๆ นับว่าไว้หน้าตระกูลโค่วแล้ว แต่หางตากลับเหล่มองเกาก้วนที่อยู่ข้างกาย
เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ กล่าวเสียงเรียบว่า “นางในพวกนั้นเป็นพยานว่าก่อนและหลังเกิดเรื่อง เจ้าอยู่ข้างหงส์เฟิ่งหวงตัวนั้นตลอด คาดว่าเจ้าคงรู้ดีที่สุดว่าระหว่างนั้นเกิดความผิดปกติอะไร บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เหมียวอี้หันกลับมามองหงส์สีรุ้งที่กำลังร้องไห้และหายใจรวยรินแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายหงส์สีรุ้งตัวนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหุนหันพลันแล่น ก็คงไม่กลายเป็นอย่างนี้ เขาหันกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้มีความคิดบางอย่างแล้ว จึงตอบอย่างใจเย็นว่า “ก็ไม่มีอะไรขอรับ ข้าเห็นว่าขนทั้งตัวมันสวยดี อยากจะถอนกลับไปฝากคนอื่นสักสองก้าน แต่ใครจะคิดว่ามันจะร้องดังขนาดนั้น แค่ถอนไปสองก้านเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใช่อะไรหรอกกระมัง”
เมื่อให้คำตอบแบบนี้ ซ่างกวนชิงก็กระตุกมุมปาก คนตระกูลโค่วที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งปวดประสาท โค่วเจิงก็ยิ่งเจ็บใจในความไม่เอาถ่ายของเขา
ส่วนพวกที่คอยซ้ำเติมก็ตกใจมาก มิน่าล่ะจู่ๆ หงส์เฟิ่งหวงถึงได้ร้องเหมือนผี ที่แท้ก็มีคนจะถอนขนมันนี่เอง!
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเหรอ?” เกาก้วนจ้องตาเขาครู่หนึ่ง “เจ้าหมิ่นเดชานุภาพของตำหนักสวรรค์แล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ตอนเจ้าทำลายกลองสะท้านฟ้าในการทดสอบที่แดนอเวจี ก็ให้อภัยเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้กล้าทำผิดอีกครั้ง ดูท่าจะต้องให้บทเรียนเจ้ายาวๆ สักหน่อยแล้ว! ทหาร ลากลงไป เฆี่ยนห้าแส้สยบมังกร!”
กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ สูดหายใจอย่างตกตะลึง เฆี่ยนห้าแส้สยบมังกร แบบนี้จะไม่ทำให้โครงสร้างร่างกายพังหรอกเหรอ แบบนี้เหมือนเฆี่ยนให้ตายทั้งเป็นชัดๆ!
กลุ่มคนที่รอให้เหมียวอี้ดวงซวยตาลุกวาวทันที เฝ้าคอยมาก!
ซ่างกวนชิงพูดไม่ออก เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกอยู่เลยว่าวันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท สงสัยเรื่องนี้จะไม่ได้ตกถึงมือเจ้าเฉยๆ หรอก พอเรื่องนี้ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ยึดหลักการนั้นเลย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลูกหลานขุนนางถึงได้กลัวเกาก้วนขนาดนี้
“แค่กๆ นายท่านเกา…” ซ่างกวนชิงกระแอม แอบบอกใบ้ว่าให้ปรานีหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะปกป้องเหมียวอี้ แต่เขารู้ดีว่าฝ่าบาทยังไม่ได้กู้หน้ากลับมา ยังเตรียมจะรอดูละครเด็ดที่ฝั่งตลาดผีอีก
ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร
เหมียวอี้หน้าดำทันที ตะโกนบอกว่า “ทูตขวาเกา ดึงขนสองก้านเท่านั้นเอง จะเล่นงานข้าให้ถึงตายเชียวเหรอ!”
ทว่าเกาก้วนไม่สนใจเลย ไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ลูกน้องอีกสองคนของเขาถลันตัวออกมาทันที มาจับแขนซ้ายแขนขวาเหมียวอี้เอาไว้ ต้องการจะคุมตัวไปลงโทษ
“ทูตขวาเกา!” โค่วเจิงถลันตัวออกมากุมหมัดคารวะต่อเกาก้วน ต้องการจะขอร้อง
“ถ้ามีใครเข้ามาแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายอีก โดนทำโทษข้อหาเดียวกัน!” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ
“อ้าปากก็บังคับใช้กฎหมาย หุบปากก็บังคับใช้กฎหมาย ทูตขวาเกาช่างมีบารมีมากจริงๆ!”
เสียงพูดจาถากถางที่มีอำนาจบารมีในตัวเองดังมาจากข้างหลัง ทุกคนหันมองตาม กลุ่มคนที่กำลังล้อมอยู่หลีกทางให้อีกครั้ง โค่วหลิงซวี อ๋องสวรรค์โค่วมาด้วยตัวเองแล้ว มายืนอยู่ตรงหน้าเกาก้วนโดยตรง แล้วถามอย่างเยียบเย็น “เกาก้วน เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“หรือท่านอ๋องจะมาขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของเกาคนนี้?” เกาก้วนถามอย่างเย็นชา
โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม แล้วหันหน้าช้าๆ ไปมองซ่างกวนชิง ก่อนจะถามเนิบๆ ว่า “ผู้การใหญ่ ข้าคุยกับเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“…” ซ่างกวนชิงงงไปชั่วขณะ ในหัวกำลังคิดว่า ท่านนี้เคยคุยอะไรกับข้าด้วยเหรอ? ก่อนหน้านี้ทั้งสองก็เคยคุยเรื่องอะไรบางอย่างกันไป เพียงแต่หมายถึงเรื่องไหนล่ะ แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนี้?
“ข้าบอกว่าต้องการขนหงส์สองก้านมอบให้ลูกสาว เจ้าตอบตกลงแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้ลูกเขยข้ามาเด็ด แล้วทำไมกลายเป็นหมื่นเดชานุภาพของตำหนักสวรรค์ได้ล่ะ?” โค่วหลิงซวีเตือน
โคตรพ่อเจ้าสิ! ในใจที่สุดซ่างกวนชิงก็นึกออกแล้ว จึงแอบด่าในใจ
แต่เขาก็เข้าใจเช่นกัน ว่าตัวเองจะไม่เล่นละครฉากนี้ด้วยก็ไม่ได้ ท่านนี้ก็คงเข้าใจเช่นกันว่าฝ่าบาทอยากจะกู้หน้าคืนมา ประการต่อมา ถ้าไปทะเลาะกันต่อหน้าฝ่าบาทจริงๆ การลงโทษลูกเขยอ๋องสวรรค์จนตายเพื่อขนนกแค่สองเส้นก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป ถ้าทะเลาะกันในงานมงคลของฝ่าบาท ก็จะเป็นการป่วนทำลายงานมงคลนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พอตาแก่นี่เอ่ยปากพูดออกมา ก็ชัดเจนเลยว่ากำลังกดดันให้ตนรับการโจมตีนี้ไว้ ตนจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ เพราะใครจะไปรู้ว่าโค่วหลิงซวีเคยคุยเรื่องส่งมอบขนนกกับตนหรือเปล่า ถ้าตาแก่โค่วยืนกรานว่าเคยคุย อย่างมากตัวเองก็แค่แก้ตัวว่าไม่เคย ความขัดแย้งก็จะเปลี่ยนจากตัวหนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ที่การถกเถียงระหว่างตนกับตาแก่โค่วทันที ในการประชุมราชสำนัก ตาแก่ผีนี่มีพวกเยอะกว่า ถ้าเถียงกันขึ้นมาตนก็จะเสียเปรียบ
เรื่องนี้แค่ตัวเองให้ความร่วมมือก็พอแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ อีกฝ่ายก็จะลากให้ผู้การใหญ่อย่างเขาซวยไม่ด้วย ทำให้เขาอึดอัดรำคาญใจ!
ซ่างกวนชิงมองลูกหลานของตระกูลโค่วแวบหนึ่ง เมื่อนึกถึงฉากที่โค่วเจิงเพิ่งขอร้องเกาก้วนแต่ไม่ได้ผล เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ พวกรุ่นลูกเทียบกับพวกตาแก่ที่เดินฝ่าออกมาจากลมคาวฝนเลือดไม่ติดเลยสักนิด ขิงแก่มักเผ็ดกว่าเสมอ!
“อ้อ…” ซ่างกวนชิงยกมือตบหน้าผาก แล้วหัวเราะแห้งๆ ให้เกาก้วน “ทูตขวาเกา เจ้าดูความจำของข้าสิ มีเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้อ๋องสวรรค์โค่วบอกแล้วว่าจะเอาขนนกสองก้าน ข้าลืมไปชั่วขณะ”
เกาก้วนเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ
โค่วหลิงซวีขยุ้มมือไปข้างหลัง ดูดขนบนตัวหงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลองออกมาสองเส้น พอขนนกตกอยู่ในมือเขาแล้ว เขาก็ลูบไล้ชื่นชม ราวกับทำให้เกาก้วนเห็น ว่าเอาขนนกไปสองก้านแล้วจะเป็นอะไรไป ข้าถอนให้เจ้าดูแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้าได้?
จากนั้นก็ตบวางขนสองเส้นให้โค่วเจิง แล้วกวาดตามองโค่วเจิงอย่างเย็นเยียบ ราวกับกำลังตำหนิว่า แค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็จัดการไม่ได้
โค่วเจิงรับขนนกสองก้านมา แล้วก้มหน้าเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
โค่วหลิงซวีไม่สิ้นเปลืองคำพูดอะไรอีก ไม่สนใจเหมียวอี้ที่ยังคงถูกควบคุมตัว แล้วก็ไม่ชายตามองเกาก้วนเลยสักนิด เดินก้าวยาวไปข้างหน้า เดินเฉียดบ่าเกาก้วนไป โดยมีผู้ติดตามเดินตามหลังไปไม่กี่คน แสดงพลังอำนาจของท่านอ๋องเต็มที่ ทำให้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นจำนวนไม่น้อยแอบเดาะลิ้น นับว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘จัดการเรื่องยากให้เหมือนเรื่องง่าย’ แล้ว
สองคนของหน่วยตรวจการขวาที่กำลังคุมตัวเหมียวอี้มองไปที่เกาก้วน รอการชี้แนะในขั้นต่อไป
เกาก้วนยังจะชี้แนะอะไรได้อีก ซ่างกวนชิงยอมรับต่อหน้าฝูงชนแล้ว ในเมื่อผู้การใหญ่วังสวรรค์ยอมรับเรื่องนี้แล้ว ถ้าตัวเองจะสืบหาความรับผิดชอบต่อไป ก็ต้องไปสืบหาที่ซ่างกวนชิงแล้ว ผ้าคลุมบ่าสีดำสะบัดหนึ่งที หันตัวเดินก้าวยาวออกไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นเดียวกัน
สองคนของหน่วยตรวจการขวาสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยเหมียวอี้ แล้วเดินตามเกาก้วนออกไป
“พาตัวไปรักษา” ซ่างกวนชิงชี้ไปที่หงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลอง แล้วก็ส่ายหน้าให้เหมียวอี้อย่างจนใจ พบว่าท่านนี้ไม่ว่าไปที่ไหนก็อยู่ไม่สุขจริงๆ ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็ก่อเรื่องได้อีกแล้ว จากนั้นก็ตะโกนถามกลุ่มคนว่า “มาล้อมกันอยู่ที่นี่ทำไม? มามุงดูเอาสนุกเหรอ?”
คนกลุ่มนี้ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาเช่นกัน เริ่มแยกย้ายกันไปแล้ว มีคนไม่น้อยรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดพ้นจากเงื้อมมือเกาก้วนไปได้
“ไป!” โค่วเจิงดึงเหมียวอี้ให้เดินออกมา เหมียวอี้หันกลับมามองอีกครั้ง มองดูหงส์สีรุ้งตัวนั้นถูกพาออกไป
ในตำหนักใหญ่ ซ่างกวนชิงที่กลับมาแล้วแอบรายงานสถานการณ์ให้ประมุขชิงรู้ ประมุขชิงชำเลืองมองโค่วหลิงซวีที่กำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน แล้วก็ชำเลืองมองเกาก้วนที่นั่งลง รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เด็ดขนหงส์ไปสองก้าน แค่ลงโทษนิดหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตาย มิน่าล่ะถึงกดดันจนโค่วหลิงซวีต้องออกหน้าไปรับมือเอง ช่างไม่กลัวการล่วงเกินคนอื่นเลยจริงๆ!
แต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว ประมุขชิงก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าพูดจากมุมมองของเขา เกาก้วนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เหมาะกับตำแหน่งหน่วยตรวจการขวามาก
กลุ่มขุนนางในตำหนักยังคงกินดื่มกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่จริงทุกคนล้วนแอบได้รับข่าวมาแล้ว รู้แล้วว่าข้างนอกเกิดเรื่องขึ้น เพียงแต่ทุกคนทำเนียนก็เท่านั้นเอง
กลุ่มผู้หญิงในสวนด้านหลังก็กลับมาหัวเราะพูดคุยกันตามปกติแล้วเช่นกัน ทุกคนแอบได้รับข่าวมาแล้ว เมื่อเห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่เบื้องบนยังไม่อารมณ์เสีย ทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แค่แอบวิจารณ์กันอย่างลับๆ ก็เท่านั้น
สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่นั่งถัดมาจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งอย่างเย็นชานิ่งเฉย ไม่มีอารมณ์สุนทรีที่จะเข้าสังคมกับใคร หลังจากได้รับข่าวแล้ว นางก็แค่กวาดสายตามองหาอวิ๋นจือชิวที่อยู่ในงาน พบว่าอวิ๋นจือชิวยังคงพูดคุยยิ้มแย้มเหมือนคนไม่เป็นอะไร นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
…………………………