พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1645 กล้าตีก็อย่าหนี
“หนิวเอ้อร์ เจ้าก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้น ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?”
หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยานหลวง พอกลับมา ‘อวิ๋นเซวียน’ แล้วไม่มีคนนอก อวิ๋นจือชิวก็ถามซักไซ้เหมียวอี้ทันที
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน แล้วหยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งออกมา แล้วตอบอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าก็แค่อยากจะทดสอบดูเฉยๆ นึกไม่ถึงว่าหงส์รุ้งนั่นจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่…” เขาเล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ฟังรอบหนึ่ง
“เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ทำไมคิดอะไรก็ทำเลยเหมือนเด็กสามขวบ” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แต่ก็กล่าวอย่างลังเลอีกว่า “สามารถทำให้หงส์รุ้งสูญเสียการควบคุมได้ขนาดนี้ สงสัยหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งจะมีความหมายที่ไม่ธรรมดาต่อเผ่าหงส์”
เหมียวอี้มองดูไข่มุกในมือ แล้วพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เผ่ามังกรและหงส์ถูกคุมขังอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มานานเกินไป ไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายสะสมบุญมานาน เลยสูญเสียความสามารถในการกลายเป็นมนุษย์และพูดภาษามนุษย์ไปนานแล้ว แล้วพวกเราก็ฟังภาษาหงส์กับภาษามังกรไม่เข้าใจด้วย บวกกับหาโอกาสอยู่กันตามลำพังไม่ได้ ไม่มีทางสื่อสารกันได้เลย ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนด้วยเหมือนกัน มีแต่ต้องรอเวลาให้โอกาสมาถึง แล้วค่อยลองคิดหาทางสื่อสารกับพวกมันสักหน่อย”
อวิ๋นจือชิวก็พยักหน้าเงียบๆ เช่นกัน เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตางามวูบไหว พอกลอกลูกตา ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสื่อสารกับเผ่าหงส์ สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ก็มีเกี้ยวหงส์ นางเป็นลูกน้องเก่าเจ้า เจ้าน่าจะมีวิธีการติดต่อกับนางสิ แอบไปเจอกันส่วนตัวตอนไหนก็ได้”
“…” เหมียวอี้อึ้งทันที พอพูดถึงจ้านหรูอี้ เขาก็รู้สึกใจลอยนิดหน่อย นึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนหน้านี้เหมือนจะมองเห็นนางอยู่ไกลๆ ที่พระตำหนักอุทยาน…อยากจากเรียกสติกลับมาแล้ว จู่ๆ ก็สังเกตได้ว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวฟังดูแปลกๆ จึงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอะไร? ที่บอกว่าแอบไปเจอกันส่วนตัวคืออะไร? ข้ากับนางมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันมาตลอด ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ไปหานางจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ”
“งั้นเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจองปฏิเสธกิริยาของเขาพลางอมยิ้ม “ตอนอยู่ที่พระตำหนักอุทยาน นางตั้งใจมาเรียกข้าไปคุยเลยนะ นางบอกเรื่องระหว่างเจ้ากับนาง เจ้าคิดจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไรกัน?”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เหมียวอี้ก็เครียดกังวลทันที แต่ไม่นานก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ มีหรือที่จ้านหรูอี้จะพูดเรื่องแบบนั้นออกมาซี้ซั้ว ผู้หญิงคนนี้ร้ายเกินไปแล้ว หลอกถามความจริงจากข้าอีกแล้ว!เขาแสร้งทำท่าเหมือน ‘คนไม่ทำผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีมาเคาะประตู’ ทันที แสยะยิ้มบอกว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าคำพูดเจ้ามีนัยยะแอบแฝงล่ะ ข้ากับนางจะมีอะไรกันได้ น้องชิว เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”
อวิ๋นจือชิวจับสังเกตได้ถึงอารมณ์เครียดกังวลที่แวบผ่านใบหน้าเขาไปแล้ว “เจ้ากับนางมีอะไรต่อกัน เจ้าก็ต้องามตัวเองแล้ว” ขณะที่พูดนางก็เอานิ้วจิ้มตรงหัวใจเหมียวอี้
เหมียวอี้คว้ามือนาง “นี่เจ้ากำลังพาลหาเรื่องใช่มั้ย?”
อวิ๋นจือชิวแสยะหัวเราะ “ข้าพาลหาเรื่องเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นเหรอ? หลังจากเจ้าก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน ตอนที่ข้ากำลังดื่มสุราฉลองอยู่ฝั่งนั้น นางก็ตั้งใจรั้งข้าให้อยู่คุยกัน พูดโยงเกี่ยวกับเจ้าตลอด ราวกับว่าไม่พอใจที่ข้าใส่ใจเจ้าไม่มากพออย่างนั้นแหละ ไม่ว่าข้าจะฟังยังไงก็รู้สึกว่าไม่ปกติ พอนึกโยงไปถึงตอนก่อนหน้านี้ ตอนที่เจ้าโดนลดขั้นไปเป็นนายทหารที่อุทยานหลวง เวลาว่างนางก็จะเรียกเจ้าไปปลูกต้นไม้ ตอนนั้นข้านึกว่านางอยากจะทำให้เจ้าอับอายเสียอีก ตอนนี้มาพอคิดดูให้ดี สงสัยข้าจะเป็นคนโง่สินะ! เชอะ หนิวเอ้อร์ เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ พวกเจ้าเคยทำเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้ใช่มั้ย ถ้าพูดออกมาตอนนี้ข้าจะไม่ถือสา ถึงยังไงเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปถ้าข้าสืบเจอเองทีหลัง ข้าไม่เลิกจองเวรเจ้าแน่!”
ไม่ถือสาเรื่องในอดีตงั้นเหรอ? ถ้าเชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว! เหมียวอี้พึมพำในใจ ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “เจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับนางเคยทำเรื่องอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้งั้นเหรอ?”
“บอกมาใช้ชัดเจนเถอะ พวกเจ้าเคยนอกด้วยกันหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามตรงๆ
“บ้าไปแล้วเหรอ!” เหมียวอี้สะบัดมือนางออก “เจ้าไม่รู้เหรอว่านางอยู่ในฐานะอะไร? ถ้าข้าเคยมีความสัมพันธ์อะไรกับนางจริงๆ นางจะกลายเป็นสนมสวรรค์ได้ยังไงล่ะ ประมุขชิงเป็นคนที่จะโดนสวมเขาได้เหรอ? ถ้างั้นตอนที่วังสวรรค์ตรวจร่างกาย นางก็คงไม่ผ่านแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะรอดชีวิตมาได้จนทุกวันนี้เหรอ?”
ที่จริงตอนแรกที่เหมียวอี้อยู่ที่ผืนนาหลวง จ้านหรูอี้เอาแต่เรียกหาเหมียวอี้ไปอยู่กันตามลำพัง อวิ๋นจือชิวก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ผู้หญิงความรู้สึกไวต่อเรื่องพวกนี้มาก และเป็นเพราะสาเหตุเล็กน้อยอย่างที่เหมียวอี้บอก ถึงได้ทำลายความเคลือบแคลงของนางไป เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะโดนสวมเขา แต่ตอนนี้บทอวิ๋นจือชิวจะอารมณ์ร้ายขึ้นมา นางก็ไม่ปรานีอยู่แล้ว “เรื่องนี้ใครจะพูดชัดเจนได้ พวกเจ้าอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่สามารถรักนวลสงวนตัวได้อยู่แล้ว ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพัง ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าลับหลังพวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้นางจะร่างกายไม่บริสุทธิ์ แต่ด้วยอำนาจของตระกูลอิ๋งน่ะ เล่นตุกติกนิดหน่อยเพื่อปิดบังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! พอพูดถึงสิ่งนี้ ตอนนี้ข้าก็นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะตระกูลอิ๋งถึงกัดเจ้าไม่ปล่อย สงสัยจะอยากฆ่าปิดปากเจ้าน่ะสิ!”
“ไปตายไกลๆ เลยไป ข้าไม่มีอารมณ์มาวุ่นวายกับคนไร้เหตุผลอย่างเจ้า!” เหมียวอี้แทบจะถ่มน้ำลายใส่หน้านาง หันตัวเดินออกไปแล้ว
“โถ่เอ๊ย! ตอนนี้ไม่มีอารมณ์แล้วเหรอ ในปีนั้นตอนที่ขึ้นเตียงข้า อารมณ์ตอนพูดจาหวานหูแล้วถกกระโปรงข้าหายไปไหนแล้วล่ะ เล่นจนเบื่อแล้วล่ะสิ? ไอ้เวรเอ๊ย หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่ใช่เล่นๆ เลย พับแขนเสื้อสองข้างขึ้นแล้ว เผยแขนขาวอมชมพูระเรื่อเหมือนรากบัว นางไล่ตามไปกระโดดใส่ ใช้ขาสองข้างเกี่ยวเอวเหมียวอี้เอาไว้ แล้วใช้แขนคล้องคอ พัวพันเหมียวอี้ไม่ปล่อยราวกับเป็นหนวดปลาหมึก จากนั้นกัดหัวไหล่เหมียวอี้อย่างแรง
“ซี้ด…” เหมียวอี้เจ็บจนสูดหายใจลึก แล้วตะคอกอย่างโมโห “นางผู้หญิงปากร้าย ถ้ายังไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังกัดหัวไหล่ว่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ปล่อย ขณะเดียวกันออกแรงที่ฟันมากขึ้น
เหมียวอี้ไฟโกรธพุ่งพล่านขึ้นสามจั้ง ควงแขนตบไปข้างหลังหนึ่งที ตบก้นอวิ๋นจือชิวเสียงดังเปรี๊ยะ ลงมือค่อนข้างหนัก ทำให้อวิ๋นจือชิวเจ็บจนเลิกคิ้ว แต่นางใส่เต็มแรงแล้ว ยิ่งเจ็บนางก็ยิ่งออกแรงกัดมากขึ้น แทบจะกัดเนื้อบนหัวไหล่ของเหมียวอี้หลุดออกมา
เหมียวอี้ถูกกดดันจนหมดหนทาง จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ลงมือ พอควบคุมอวิ๋นจือชิวเอาไว้ได้แล้ว ถึงได้แกะ ‘หนวดปลาหมึก’ ที่พันอยู่บนร่างกายตัวเองออก จากนั้นใช้แขนข้างหนึ่งขนาบเอวนางเอาไว้ หนีบนางไว้ใต้รักแร้แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็โยนนางลงบนเตียง
พอมองดูเสื้อผ้าบนหัวไหล่ตัวเองที่ถูกกัดจนมีรอยเลือด เหมียวอี้ก็ชี้นางพร้อมด่าอย่างโมโห “นางผู้หญิงากร้าย สักวันข้าจะหย่ากับเจ้า!” จากนั้นสะบัดชายเสื้อแล้วหันตัวเดินออกไป
อวิ๋นจือชิวที่กำลังตัวแข็งทื่อได้แต่กลอกลูกตา ได้แต่มองเหมียวอี้เดินออกไปตาปริบๆ นางแค้นจนกัดฟันกรอด ก้นก็ถูกตีจนเจ็บจริงๆ แล้วเช่นกัน
โชคดีที่ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็กลับมาอย่างเงียบๆ อีก มายืนข้างเตียงแล้วจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ แล้วลงมือคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวอวิ๋นจือชิวออก
อวิ๋นจือชิวพลิกตัวลุกขึ้นมาทันที แล้วแสยะหัวเราะ ปากยิ้มแต่หน้าไม่ยิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกหนาวในใจ ต้องถอยหลังก้าวหนึ่งโดนจิตใต้สำนึก แล้วโบกมือบอกว่า “น้องชิว เราคุยกันดีๆ ก็ได้นะ”
“คุยกับสารเลวอย่างเจ้านะเหรอ!” อวิ๋นจือชิวโบกมือชักดาบใหญ่ออกมาเสียเลย แล้วหันออกไปอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่าห้าวหาญดุร้าย
เหมียวอี้ตกใจทันที หดหัวแล้วถลันตัวหนี ทำให้หลบไปได้หนึ่งดาบ ท่ามกลางแสงสะท้อนคมดาบ เขาพบว่าอวิ๋นจือชิวเอาจริง หลบซ้ายหลบขวาพลางตะโกนว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”
“เจ้าบังคับให้ข้าบ้าไง ไอ้สารเลว ตีผู้หญิงแล้วยังมาอ้างเหตุผลอีกเหรอ! ข้ายกน้ำชาให้เจ้า รินน้ำชาให้เจ้า ปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า คุกเข่าใส่รองเท้าใส่ถุงเท้าให้เจ้า ตอนที่นิสัยสัตว์ป่าของเจ้าปะทุขึ้นมา ข้าก็เปลี่ยนลูกเล่นต่างๆ นาๆ เพื่อปรนนิบัติไอ้สิ่งที่อยู่ในเป้ากางเกงของเจ้า ข้าให้เจ้าเล่นจนกว่าจะพอใจทุกครั้ง ทั้งยังต้องช่วยดูแลอนุภรรยาให้เจ้าด้วย ข้าทำผิดต่อเจ้าตรงไหนสักนิดมั้ย แล้วเจ้ามาทำกับข้าอย่างนี้น่ะเหรอ? กล้าตีข้าเหรอ ข้าจะสู้ตายกับเจ้า…ตีเมียตัวเองถือว่าเก่งอะไรล่ะ กล้าตีก็อย่าหนี ผู้ชายอย่างเจ้าน่ะ ถ้าเก่งนักก็มากินดาบของข้าสักครั้งสิ!” อวิ๋นจือชิวถือดาบไล่ฟันอย่างบ้าคลั่ง เรี่ยวแรงไม่ต่างกับตอนที่นางยังเป็นสาวน้อย นึกถึงในปีนั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นนางมารร้ายแห่งนภาจอมมาร ทำเอาคนเห็นแล้วกลัว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว บทจะอารมณ์ร้ายขึ้นมานิสัยก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ที่จริงนางก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ในปีนั้นเหมียวอี้กับนางก็ยังเกรงใจกันนิดหน่อย ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนยังไม่ได้แต่งงานกับนางแล้ว เอะอะก็จะลงไม้ลงมือ ตอนที่เหมียวอี้ยังเหาะไม่ได้ บางครั้งก็ยังเคยถูกนางเตะลงมาจากบนฟ้าเลย
ที่จริงแล้ว เหมียวอี้ก็รู้ว่านางมีนิสัยเจ้าอารมณ์มาตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานกันแล้ว เตรียมใจมาแล้วเช่นกัน เตรียมใจที่จะยอมรับข้อเสียของผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่แรก แต่บทนางจะปะทุอารมณ์ขึ้นมา ก็ยังทำให้เขาทนไม่ค่อยไหว เพราะบรรพบุรุษท่านนี้กล้าพูดออกมาทุกอย่างจริงๆ แม้แต่เรื่องลับก็กล้าตะโกนออกมาโดยตรง จะไม่ให้คนมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?
เงาดาบนี้ยังไม่นับว่าร้ายแรงเท่าไร อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถ้าอวิ๋นจือชิวอยากจะทำให้เขาเจ็บตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ประเด็นก็คือนางปากไม่มีหูรูด ตะโกนส่งเสียงโดยไม่สำรวมสักนิด เหมือนกลัวทุกคนจะไม่ได้ยิน สิ่งที่นางตะโกนออกมา เหมียวอี้ฟังแล้วต้องปาดเหงื่ออย่างควบคุมจิตใจไม่อยู่ แทบจะโดนดาบฟันแล้วจริงๆ
แกร๊ง! โครม!
ตรงจุดที่แสงสะท้อนเงาดาบแวบผ่าน พวกโต๊ะพวกเก้าอี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตาเดีย ของในจวนท่านอ๋องล้วนเป็นของดีทั้งนั้น
โครมคราม! ผนังด้านหนึ่งถูกฟันจนพลิกแล้ว
เหมียวอี้ถลันตัวหลบ หลบออกมาจากผนังที่พังทลายลง
เขาคิดว่าถ้าเขาวิ่งหนีออกไปข้างนอก คนข้างนอกก็จะเห็นเขา อวิ่นจือชิวก็คงจะเกรงกลัวบ้าง คงจะหยุดและเก็บสำรวมอาการเอาไว้สักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตวาดเสียงแหลม “ไอ้เวรเอ๊ย อย่าหนีนะ!” นั่งกระโจนตัวออกมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล ถือดาบไล่ตามออกมาสังหาร ปราณดาบถูกฟันออกมาหนึ่งชุดอย่างเหี้ยมหาญดุร้าย
เหมียวอี้ลนลานหลบหนี เพราะปราณดาบแบบผ่านเข้ามา ภูเขาจำลองก็พังทลายลง กำแพงบ้านแตกปลิว ต้นไม้ใบหญ้าปลิวมั่วไปหมด พื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกหนึ่งรอย
นี่มันเอาจริงชัดๆ! เหมียวอี้ตกใจมาก ฟันสังหารเข้ามาจนยุ่งเหยิง ในมือเขาไม่มีอาวุธอะไร ถูกกดดันจนหนีหัวซุกหัวซุน
“นายท่าน ฮูหยิน!” เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์วิ่งออกมาแล้ว ไม่เห็นว่าฉากนี้รุนแรงกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก พวกนางจึงร้องอุทานอย่างตกใจไม่หยุด
พวกสาวใช้ในอวิ๋นเซวียนก็ตะลึงค้างแล้วเช่นกัน
พวกทหารยามกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าจวนอ๋องสวรรค์ถลันตัวเข้ามาดู เมื่อเห็นสองผัวเมียทะเลาะกัน แต่ละคนก็พูดไม่ออก ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไรดี แม้แต่ชูเจี้ยน หัวหน้าทหารยามของจวนท่านอ๋องเห็นแล้วก็งงเป็นไก่ตาแตก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
อย่าว่าแต่ทหารยามเลย แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเรือนพักก็ตกใจจนต้องออกมาแล้วเช่นกัน เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ จะไม่ให้ตกใจก็คงยาก
เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวถือดาบไล่สังหารจนเหมียวอี้หลบซ้ายหลบขวา สุยฉูฉู่กับซูฮวนเหนียงและคนอื่นๆ ก็ตกใจมาก เด็กดีเอ๋ย เจ้าเจ็ดคนนี้ช่างห้าวหาญดุร้าย!
สำหรับพวกนางแล้ว ถ้าล้อเล่นกับผู้ชายของตัวเองนิดหน่อยก็ยังพอได้ แต่ถ้าให้ลงมือกับผู้ชายในบ้านตัวเอง แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย นี่ไม่ต้องพูดถึงการถือดาบไล่ฆ่า แนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่คือค่านิยมของสังคมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ไหนจวนท่านอ๋อง มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่กล้าทำผิดธรรมเนียมอย่างนี้ ต่อให้เป็นเจ้าหกโค่วอวี้ก็ยังไม่กล้าทำอย่างนี้กับชูเจี้ยนซึ่งเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านเลย ถ้าทำอย่างนี้จริงๆ จะต้องถูกท่านพ่อจับหักขาแน่
พวกโค่วเจิงและสามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นครั้งแรกที่เห็นเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในจวนอ๋องสวรรค์
ส่วนพวกรุ่นหลานของตระกูลโค่ว ในขณะที่ตกใจก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อย ตอนนี้คือฉากที่พบเห็นได้น้อยมาก
ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็ปรากฏตัวกลางท้องฟ้า ทั้งคู่ถูกทำให้ตกใจแล้วเช่นกัน พอเหลือบไปเห็นเหตุการณ์ข้างล่าง พวกเขาก็สบตากันอย่างพูดไม่ออก
เพียงแต่โค่วหลิงซวีหน้าดำคร่ำเครียดลงอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเหมียวอี้ตะโกนร้องอยู่ข้างล่างว่า “นางผู้หญิงปากร้าย จะหาเรื่องพอหรือยัง!” ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสสะบัดทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ แล้วใช้ทวนแทงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว โจมตีจนอวิ๋นจือชิวทำอะไรไม่ถูก เพราะนี่คือวิชาทวนอันยอดเยี่ยม ใช้ทวนปาดจนดาบในมืออวิ๋นจือชิวกระเด็นหลุดมือ
“ไอ้เวรนี่!” อวิ๋นจือชิวก็ร้องโวยวายเช่นกัน นางก็ถนัดวิชาทวนที่สุดเช่นกัน จึงโบกมือช้อนทวนด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ แล้วโผเข้าไปหาเหมียวอี้ในขณะที่ตัวเองมีรอยโหว่ทั้งตัว โจมตีอย่างเดียวโดยไม่ป้องกัน เป็นการเอาร่างกายที่มีเลือดเนื้อกระโจนเข้าไปบนทวนของเหมียวอี้แท้ๆ เลย ไม่มีการป้องกันอะไรสักนิด
เพราะนางใช้วิธีการโจมตีที่ไร้เหตุผลอย่างนี้ แล้วเหมียวอี้จะเล่นต่ออย่างไรล่ะ? เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาหัวทวนที่แหลมคมจิ้มไปบนร่างกายของนาง เป็นเขาเสียเองที่ถูกนางโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก
เขาอยากจะแย่งทวนแล้วจับตัวอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แต่ก็กังวลอีกว่าจะกดดันให้นางใช้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน แบบนั้นจะเป็นการเผยพิรุธแล้วจริงๆ ขณะที่เขากำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ โค่วหลิงซวีที่อยู่บนฟ้าก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เอียงหน้าส่งเสียงบอกใบ้ว่า “อืม!”
ถังเฮ่อเหนียนถลันตัวเข้าไป ราวกับเหยี่ยวโฉบกระต่าย ขณะกำลังจะเหยียบลงพื้น แขนสองข้างที่กางออกก็กดลงข้างล่าง พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทำให้สองคนที่ประมือกันอยู่ข้างล่างเคลื่อนไหวช้าลงราวกับจมลงในบึงน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ไปเหยียบแทรกลงตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ใช้มือซ้ายและมือขวาคว้าทวนในมือของทั้งสอง แล้วสะบัดแขนสองข้างให้กระเด็น
พออาวุธที่อยู่ในมือทั้งสองหลุดมือ ทั้งสองก็สะเทือนจนโซเซถอยหลังพร้อมกัน
ในขณะเดียวกันนี้เอง โค่วหลิงซวีก็เหยียบลงพื้นในชั่วพริบตาเดียว มาเหยียบลงตรงกลางระหว่างทั้งสอง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหยุดทะเลาะกันทันที ใช้เพียงสายตาสู้กัน
“พวกเจ้าสองคนคิดจะทำอะไร? อยากจะรื้อทำลายจวนของข้าหรอ?” โค่วหลิงซวีตะคอกเสียงต่ำ
อวิ๋นจือชิวฟ้องทันทีว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้ลูกสาว เขาเพิ่งจะลงมือตีค่าไป!”
เหมียวอี้ชี้รอยเลือดบนหัวไหล่ของตัวเอง ก็ถามอย่างโมโหว่า “ใครกัดข้าก่อนล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ใครบอกล่ะว่าจะหย่ากับข้า?”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก คำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างผิดข้อห้ามของตระกูลโค่ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ โค่วหลิงซวีมองมาด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึกทันที จะไม่ให้เข้าใจผิดก็คงยาก ทำให้คนนึกเชื่อมโยงถึงสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ได้ง่ายมาก สงสัยว่าเหมียวอี้อยากจะจบความสัมพันธ์กับอวิ๋นจือชิวเพื่อคลายความกดดันที่ตัวเองอยู่ในตลาดผีตอนนี้หรือเปล่า
คนที่รู้สึกแบบนี้ล้วนมองมาที่ตัวเหมียวอี้แล้ว
“ท่านพ่อบุญธรรม อย่าไปฟังนางพูดจาซี้ซั้ว ไม่มีเรื่องแบบนั้นเลย” เหมียวอี้แก้ตัว
ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีจะกวาดสายตามองรอบๆ แล้วตะคอกเสียงต่ำว่า “ชอบมามุงดูกันนักหรือไง?”
กลุ่มคนที่เข้ามาล้อมดูหดหัวทันที รีบออกไปเงียบๆ แล้ว พอชูเจี้ยนโบกมือ แม้แต่ทหารยามก็ถอยออกไปเช่นกัน โค่วเจิงก็โบกมือบอกสุยฉูฉู่ว่าอย่าเพิ่งไป ให้ไปด้วยกันกับเขา
“เฮอะ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม เหลือบมองโค่วเจิงกับฮูหยินแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถลันตัวเดินไปแล้ว
ถังเฮ่อเหนียนเรียกคนมาเก็บกวาดร่องรอยหลังจากการต่อสู้ทันที โค่วเจิงดึงเหมียวอี้ไป ส่วนสุยฉูฉู่ก็ดึงอวิ๋นจือชิวไป สองสามีภรรยาต่างคนต่างพาตัวไปแล้ว
………………………