พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1649 ตระกูลเซี่ยโห้ว
เหมียวอี้ : สรุปก็คือ ยังต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วทำพลาดเอง
หยางชิ่ง : จะว่าอย่างนั้นก็ได้! เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วยึดครองใต้หล้ามานานเกินไป มีประมุขรุ่งเรืองและล้มลงหลายยุค แต่มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ล้มลง สะสมเส้นสนกลในไว้เยอะเกินไป ก้นบึ้งลึกขนาดไหนก็ไม่มีใครสัมผัสไปถึงได้ ถึงขนาดว่าแม้แต่คนภายในตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังไม่รู้ชัดเลย สิ่งที่ตึกศาลาสัตยพรตกุมไว้ เกรงว่าจะเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้นกระมัง? ต่อให้กำลังทหารภายนอกจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ทำได้เพียงโจมตีให้ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นรูโหว่ แต่ไม่มีทางตัดขาดได้เลย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่ปล่อยให้ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่มาจนถึงวันนี้หรอก ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้!
ยิ่งเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งปวดหัว นึกไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วพัวพันเข้าแล้ว อดไม่ได้ที่จะด่าว่า : ล้วนเป็นเพราะพระปีศาจหนานโปไม่ทำเรื่องดี ตัวเองวิปริตคนเดียวก็ว่าหนักแล้ว ยังจะโอบอุ้มตระกูลปีศาจวิปริตนี่ขึ้นมาอีก ผลเป็นยังไงล่ะ กลับโดนสุนัขที่คุมใต้หล้ากัดเข้าแล้ว แถมยังลำบากคนอื่นอีก เส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วจะลึกขนาดไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพิจารณาในตอนนี้ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีวิธีการรับมือรึเปล่า?
หยางชิ่ง : วิธีการรับมือก็คือไม่ต้องไปรับมือ อาศัยศักยภาพของพวกเรา ก็ไม่มีทางไปประลองฝีมือกับตัวละครยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ : มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรได้อีกเหรอ?
หยางชิ่ง : ก็เพราะมาถึงขั้นนี้แล้วไง ถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ทำเรื่องของพวกเราตามจังหวะการก้าวของพวกเราต่อไป! นายท่านทำทุกอย่างให้เป็นปกติ อย่าไปคิดว่าจะทำอะไรก็ได้เพียงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ เมื่อก่อนไม่ไปมาหาสู่กับหกลัทธิที่ตลาดผียังไง ตอนนี้ก็ให้ทำเหมือนเดิม สรุปก็คือ นายท่านจะต้องรักษาสภาพลึกลับน่าค้นหาในระดับนี้ต่อไป ทำให้อีกฝ่ายคลำไม่เจอและมองไม่ทะลุ แบบนั้นนายท่านกลับจะได้รับการปกป้องจากอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ถ้าเปิดโปงตัวเองเมื่อไร นายท่านกลับจะเป็นอันตราย!
พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ก็เข้าใจความหมายได้ไม่ยาก เหมียวอี้ตอบว่า : เข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าจะทำยังไง
หยางชิ่ง : ยังมีอีกอย่าง ถ้ามีโอกาสติดต่อกับหกลัทธิที่ฐานอื่นๆ ข้างนอก นายท่านก็ต้องหลบเลี่ยง ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าจะไม่ค่อยน่าไว้ใจ
เหมียวอี้ตกใจทันที : หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าหกลัทธิมีเจตนาอะไรกับข้า?
หยางชิ่ง : ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่สงสัยว่าฐานปฏิบัติการของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกอาจจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูตั้งนานแล้วก็ได้ ที่ข้าไม่ให้นายท่านไม่ติดต่อกับฐานพวกนั้น ก็เพื่อจะคงสภาพลึกลับน่าค้นหาของนายท่านต่อไป นายท่านลองคิดดูสิ ตระกูลเซี่ยโห้วก็รู้อยู่แจ้มแจ้งว่าท่านกับหกลัทธิเกี่ยวข้องกัน แต่กลับจับจุดอ่อนที่สอดคล้องความจริงระหว่างนายท่านกับหกลัทธิไม่เจอเลย แล้วตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไงได้ล่ะ? ก็มีแต่จะคิดว่าหกลัทธิปกป้องนายท่านอย่างรอบคอบไม่ธรรมดา ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนายท่าน ขณะเดียวกัน ยิ่งจับจุดอ่อนของตระกูลโค่วได้ยากเท่าไร ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะยิ่งอยากยินดีสิ้นเปลืองกำลังความคิดกับนายท่านมากเท่านั้น ตอนนี้นายท่านกลายเป็นคนที่ตระกูลโค่วทิ้งแล้ว ทั้งยังถูกตำหนักสวรรค์กดดัน แถมยังมีกลุ่มผู้มีอำนาจที่จ้องเขมือบนายท่านอีก นายท่านจะได้รับการปกป้องจากตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือไม่ นั่นก็คือเรื่องที่สำคัญมาก ตอนนี้ในใต้หล้าเหลือเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่สามารถจะต่อกรกับกลุ่มผู้มีอำนาจเพื่อปกป้องนายท่านได้!
สิ่งที่เขาพูดในตอนหลัง เหมียวอี้ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก เพียงแต่คำพูดก่อนหน้านั้นยังทำให้สงสัยไม่หาย จึงถามว่า : ทำไมเจ้าถึงสงสัยว่าฐานปฏิบัติการข้างนอกของหกลัทธิถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูแล้ว?
หยางชิ่งถามกลับ : นายท่านยังจำตอนที่เจียงอีอีมาติดกับดักที่ตลาดผีได้มั้ย?
มีหรือที่เหมียวอี้จะลืมเรื่องนี้ได้ เรื่องของเยว่เหยาทำให้เขาปวดหัวไม่หาย เขาตอบว่า : ก็ต้องจำได้อยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ?
หยางชิ่ง : ตอนแรกข้าน้อยนึกว่าตึกศาลาสัตยพรตง้างปากเจียงอีอีได้แล้ว แต่การกระทำของเจียงอีอีในตอนหลังที่ยอมปลิดชีพตัวเองเพื่อปกป้องน้องสาว ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจียงอีอีไม่ได้เปิดปากคายความลับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น บวกกับระยะห่างของเวลาตอนที่จับตัวได้กับตอนที่ส่งตัวมาจวนแม่ทัพภาค เจียงอีก็น่าจะยังไม่ได้เปิดปาก แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คือหลังจากตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีได้แล้ว ก็รู้ถึงตัวตนของเจียงอีอีทันที หลังจากจบเรื่องนั้นข้าน้อยลองมาไตร่ตรองให้ละเอียด ข้าน้อยว่าตึกศาลาสัตยพรตอาจจะมีวิธีการสืบหากำพืดอะไรบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ ซึ่งทำให้พวกเขาสืบเจอว่าเจียงอีอีเกี่ยวข้องกับสมาคมวีรชน
เหมียวอี้ : พวกเขาอาจจะรู้ตั้งนานแล้วรึเปล่าว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน?
หยางชิ่ง : มีความเป็นไปได้ไม่มาก! ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ก็คงไม่ทรมานเจียงอีอีจนสภาพเป็นอย่างนั้น แถมตอนหลังก็ยังคิดหาทางปิดบังอีกว่าตัวเองรู้ความจริงแล้ว ความลับนั้นของประมุขชิงน่ะ ไปล่วงรู้ไม่ได้ง่ายๆ หรอก ประมุขชิงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเกี่ยวข้องกับเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาทด้วย ดังนั้น ถ้ารู้ความจริงมาตั้งแต่แรกแล้ว พอจับตัวเจียงอีอีได้ก็จะพยายามส่งให้ถึงมือนายท่านให้เร็วที่สุด ไม่ปล่อยให้นำมาปัญหามาให้ตึกศาลาสัตยพรตกับราชินีสวรรค์แน่ พวกเขาจะต้องใช้วิธีการอะไรบางอย่างสืบได้ตอนหลังแน่นอน
เหมียวอี้สงสัย : เกี่ยวข้องกัยฐานปฏิบัติการของหกลัทธิตรงไหน?
หยางชิ่ง : เรื่องนี้ถ้าคิดให้ละเอียดก็ค่อนข้างน่ากลัวนะ! ตัวตนของเจียงอีอีเป็นสิ่งที่อ่อนไหวที่สุดของตำหนักสวรรค์ เวลาส่งไปปฏิบัติภารกิจ ก็จะต้องเตรียมตัวสำหรับกรณีที่ภารกิจล้มเหลวแน่นอน จะต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความลับหลังจากที่ทำพลาด เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่บนตัวเขา ก็คงจะเป็นระฆังดาราที่ใช้รับคำสั่งจากเบื้องบน เพราะฐานะตัวตนแบบเขาไม่สามารถเปิดเผยได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับคนมากมายขนาดนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการติดต่อแบบฝั่งเดียว ข้าน้อยสงสัยว่าตึกศาลาสัตยพรตอาจจะสืบหาตัวตนผู้บังคับบัญชาของเจียงอีอีเจอผ่านจุดเล็กน้อยจุดนี้ พอสืบไปเจอสมาคมวีรชนแล้ว ก็รู้ทันทีว่าเจียงอีอีเป็นเหมือนเผือกร้อนที่ลวกมือ จึงเตรียมตัวปิดบังทันที ก็เลยโยนมาให้นายท่านต่อ
เหมียวอี้ : ตอนที่ยังไม่แน่ใจประวัติความเป็นมาของเจียงอีอี อาศัยแค่ตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราอันเดียวก็สืบเจอเป้าหมายแล้ว อาจจะเหนือจินตนาการไปหน่อยมั้ง ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนั้น นักพรตมีมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าอยากจะสืบให้เจอ มันเป็นไปได้เหรอ? มิหนำซ้ำยังใช้เวลาไม่นานด้วย
หยางชิ่ง : จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย! เพราะเจียงอีอีก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดพ้นจากการจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก ต่อให้ต้องการจะล้างแค้นที่นายท่านใส่ร้ายเขาเรื่องน่านฟ้าระกาติง แต่จะกล้าถ่อไปลงมือที่ตลาดผีง่ายๆ เหรอ? แบบนั้นอาจจะประมาทเกินไปหน่อย ไม่สอดคล้องกับลักษณะการก่อคดีของเจียงอีอีที่ทำอย่างระมัดระวัง รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าตลาดผีมีตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูอยู่ แต่ยังจะกล้าไปวางแผนลงมือที่ตลาดผีอีก แถมตอนหลังยังมีหน่วยกล้าตายหนึ่งคนโผล่มาให้ความร่วมมือกับเจียงอีอี พอนำเรื่องพวกนี้มาเชื่อมโยงกัน ก็เดาได้ไม่ยากว่ามีผู้บงการ และเจียงอีอีก็ลงมือกับขุนนางตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่บงการอยู่เบื้องหลังคงจะมีความกล้าไม่น้อย สถานการณ์ของนายท่านตอนนั้นก็เห็นๆ กันอยู่ ใครกันล่ะที่ปรารถนาอยากจะให้นายท่านกับฮูหยินเลิกกัน ขอแค่ตีกรอบในการสืบให้แคบลงสักหน่อย สืบจากข้างบนลงข้างล่าง จำนวนคนที่เหลือให้สืบก็ไม่เยอะ จะกำหนดตัวเป้าหมายได้ง่ายมาก ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าสายข้างบนของเจียงอีอีจะต้องมีฐานะที่สมาคมวีรชนไม่ใช่ต่ำๆ แน่!
เหมียวอี้ : ดังนั้น เจ้าก็เลยสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วใช้วิธีการเดียวกันในการสืบหาฐานปฏิบัติการข้างนอกของหกลัทธิ?
หยางชิ่ง : พอนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องของเจียงอีอี ข้าน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ ข้าน้อยสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วได้สร้างระบบเปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ชุดหนึ่งแล้วหรือเปล่า ยอ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ เพราะอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมอยู่ในใต้หล้ามานานเกินไป ผ่านตัวละครมาหลายยุคสมัย ทั้งยังเดินได้ทั้งสายดำและสายขาวมาตลอด ความได้เปรียบเรื่องนี้ ต่อให้ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีรวมกันก็เทียบไม่ติดเลย พวกเขามีความสามารถที่จะสร้างระบบนี้ขึ้นมา ความสามารถในการสืบความลับอันน่าสะพรึงกลัวของตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ถ้าข้าเดาถูก ฐานลับข้างนอกของหกลัทธิหลบไม่พ้นการสืบเสาะของตระกูลเซี่ยโห้วเลย ประการแรก หกลัทธิล้วนมีฐานลับที่ตลาดผี นอกเสียจากฝั่งตลาดผีจะไม่เกี่ยวข้องกับฐานลับที่อื่น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงมีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อสืบสาวไปตามเบาะแสอย่างช้าๆ คลำจนเจอฐานปฏิบัติการแต่ละแห่งของหกลัทธิ
เหมียวอี้เกิดความสงสัยทันที : ถ้าอยากจะเทียบตราอิทธิฤทธิ์ อย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือได้ตราอิทธิฤทธิ์ของสมาชิกคนอื่นๆ ในฐานลับใช่มั้ย?
หยางชิ่ง : เรื่องนี้ง่ายมากเลย มีนักพรตคนไหนบางที่หลีกเลี่ยงเรื่องรบราฆ่าฟันได้ ถูกคนแย่งของไปก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ ถ้าใช้วิธีที่แข็งกร้าวขึ้นมาหน่อย ตึกศาลาสัตยพรตก็สามารถอ้างเหตุผลอะไรสักอย่างมากักตัวคนที่กำลังเข้าออกฐานลับหกลัทธิที่ตลาดผีไว้ชั่วคราวได้ พวกตราอิทธิฤทธิ์จะไม่ตกอยู่ในมือพวกเขาเชียวเหรอ? หรือไม่ก็ยังมีวิธีการอื่นที่พวกเรายังไม่รู้อีก
เหมียวอี้ถามซักไซ้ : เอาตราอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ต่อให้ยืนยันตัวคนอื่นได้ แต่จะอาศัยตราอิทธิฤทธิ์หาฐานลับให้เจอได้ยังไง?
หยางชิ่ง : ห่านป่าบินผ่านยังเหลือเงา น้ำไหลผ่านยังเหลือรอย ยกตัวอย่างเช่น นายท่านรับประกันได้มั้ยว่าตัวเองจะไม่กลับพิภพเล็ก? เรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะทำไม่ได้ อาศัยกำลังทรัพย์และกำลังคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็สามารถทำอย่างนั้นได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานลับหกลัทธิก็มีคนอยู่ตั้งมากมาย ขอแค่เล็งตัวเป้าหมายที่จะเอาตราอิทธิฤทธิ์ได้ พวกเขาก็จะได้ของคนจำนวนหนึ่งมาอย่างง่ายดายแน่นอน ดีไม่ดีตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะสืบจนรู้ชัดแล้วด้วยซ้ำว่าคนของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกมีจำนวนเท่าไร อย่างน้อยถ้าเปลี่ยนให้ข้าน้อยมีปัจจัยเหมือนตระกูลเซี่ยโห้วบ้าง ก็สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้เลย ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย อย่างมากก็ใช้เวลามากหน่อยก็เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่าง บางทีอาจจะไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ ตอนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิยังอยู่ คนของฐานลับหกลัทธิในปัจจุบันก็อาจจะไม่ได้หลุดพ้นจากสายตาของตระกูลเซี่ยโห้วหรอก สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ ผู้เหลือรอดในฐานปฏิบัติการตอนนี้ ก็อาจจะเป็นผลจากการแอบช่วยเหลืออย่างลับๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเสี่ยงวางไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกันแน่ มีความเป็นได้สูงว่าจะเตรียมตัวเอาไว้แล้วสำหรับกรณีที่ต้องแตกคอกับประมุขชิงและประมุขพุทธะ ถ้าพูดถึงทรัพยากรที่ตระกูลเซี่ยโห้วมี วิธีการที่จะใช้กุมข้อมูลของฐานลับหกลัทธิก็มีมากมายจริงๆ ไม่ได้ยากสักเท่าไรเลย
เหมียวอี้สูดหายใจเฮือกด้วยความตกตะลึง : ในเมื่อเจ้าเดาได้แบบนี้แล้ว ทำไมไม่ต้องตั้งแต่แรก พวกขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ตามข้าออกมาจะไม่เป็นอันตรายเหรอ? ถ้าพวกเขาถูกเปิดโปงขึ้นมา ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่เดาออกทันทีเหรอ ว่าที่แดนอเวจีมีทางเข้าออกใหม่แล้ว?
หยางชิ่ง : นายท่านวางใจได้ หลังจากข้าคาดการณ์เรื่องนี้ได้แล้ว ข้าก็เตรียมวางกำลังป้องกันทางฝั่งหกลัทธิทันที น่าจะไม่ถูกเปิดโปงได้ง่ายๆ เพียงแต่ข้าไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับหกลัทธิก็เท่านั้นเอง
เหมียวอี้ : ไม่รู้ว่าหกลัทธิได้ย้ายฐานปฏิบัติการพวกนั้นบ้างรึเปล่า? ถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วกุมข้อมูลอยู่ตลอด จะไม่กลายเป็นเนื้อบนเตียงหรอกเหรอ?
หยางชิ่ง : ไม่มีความจำเป็นต้องย้ายเลย ก็อย่างที่ข้าน้อยบอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเสี่ยงวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน ถ้าจะแตะต้องฐานปฏิบัติการของหกลัทธิ ตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะลงมือไปนานแล้ว คงไม่เก็บไว้จนถึงตอนนี้ เรื่องบางเรื่องถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้สึกว่ายังกุมข้อมูลอยู่ในมือ ก็กลับจะปลอดภัยต่อฐานปฏิบัติการของหกลัทธิมากขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้สึกว่าเราไม่ยอมรับการควบคุม นั่นกลับจะยิ่งอันตราย บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่รับได้ยากสำหรับหกลัทธิ แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยพวกเขามาทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงบลง ตราบใดที่นายท่านสามารถรักษาผลประโยชน์ไว้ได้ก็พอ…ความสำเร็จของคนคนหนึ่งล้วนมาจากกองกระดูกแห้งกร้าน นายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางให้หันกลับแล้ว ตอนนี้นายท่านต้องการเวลาในการเติบโต ยื้อเวลาได้เท่าไรก็ยื้อไว้เท่านั้น ขอเพียงรักษาผลประโยชน์ของนายท่านได้ ยามถึงเวลาสำคัญ ชีวิตคนจำนวนหนึ่งที่ควรจะเสียสละก็ยังต้องเสียสละ!
เหมียวอี้เงียบไปแล้ว
แต่หยางชิ่งกลับเตือนอีกว่า : มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกรงว่านายท่านจะต้องเตรียมใจเอาไว้ ฮูหยินเป็นคนของหกลัทธิ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะรู้นานแล้วเช่นกัน แต่ก็อย่างที่บอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเปิดโปงง่ายๆ ตราบใดที่สถานการณ์นี้ยังไม่ถูกทำลาย ฮูหยินก็จะยังปลอดภัย ดังนั้นนายท่านไม่ต้องคิดมาก
เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย หยางชิ่งวิเคราะห์ทีละชั้นมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวถูกเปิดโปงตัวตนได้อย่างไรก็จินตนาการได้ไม่ยาก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้แม้กระทั่งฐานลับของหกลัทธิ แล้วเรื่องที่อวิ๋นจือชิวเป็นผู้จัดการร้านค้าของลัทธิมารในตลาดสวรรค์ยังจะเป็นความลับสำหรับตระกูลเซี่ยโห้วอีกเหรอ? เกรงว่าจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็คงจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วล่วงรู้ความลับตั้งนานแล้วเช่นกัน แค่อาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็เท่านั้นเอง
จากการสืบเสาะลงลึกในครั้งนี้ พอลองมองดูตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่ารู้สึกอย่างลึกซึ้ง ว่าตระกูลนี้ซ่อนอะไรเอาไว้ลึกเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว มิน่าล่ะ ถึงแม้ในมือจะไม่มีอำนาจทางทหาร แต่ก็สามารถทำให้สี่อ๋องสวรรค์ทำความเคารพด้วยฐานะที่เท่าเทียมกันได้ ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเป็นกังวลได้ เป็นอย่างที่หยางชิ่งกล่าวไว้ เป็นตัวละครยักษ์ใหญ่ที่ใช้กำลังทหารตัดไม่ขาด เพราะศักยภาพทั้งหมดของอีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ในที่ลับ ไม่ว่าใครก็คลำไม่เจอ!
ในขณะที่กำลังตกใจ คิดไปคิดมาก็รู้สึกขำ คนที่เดินไปถึงระดับนั้นอย่างประมุขชิง อยากจะได้ผู้หญิงสวยอย่างไรก็มีหมด แต่ดันต้องแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาเป็นราชินีสวรรค์ ยิ่งบวกกับเรื่องมีทายาทด้วยแล้ว ก็นึกออกเลยว่าในก้นบึ้งหัวใจของประมุขชิงนั้นกลัดกลุ้มขนาดไหน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่ประมุขชิงไม่ยอมมีทายาทเสียที เป็นเพราะสาเหตุด้านนี้ด้วยหรือเปล่า
หลังจากคลายความกลัดกลุ้มในใจตัวเอง แน่ใจแล้วว่าหยางชิ่งยังไม่มีเรื่องอื่นจะบอก สุดท้ายเหมียวอี้ก็ตอบกลับไปว่า : เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ข้าก็เหมือนเสือติดปีกจริงๆ!
หยางชิ่งตอบกลับตามารยาท : บุญคุณอันใหญ่หลวงของนายท่าน หยางชิ่งมิบังอาจลืม นี่คือสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ของหยางชิ่ง
“เหมือนเสือติดปีกเหรอ? เกรงว่าเรื่องในอนาคต ไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน ถ้าเจ้าเดินไปถึงขั้นนั้นแล้วจริงๆ เกรงว่ายิ่งเป็นคนที่มีความสามารถมาก ก็จะยิ่งทำให้เจ้ารู้สึกถึงภัยคุกคาม บางทีถ้าตอนนี้ยิ่งแสดงความสามมารถเยอะ ในอนาคตก็จะยิ่งมีจุดจบที่อนาถน่ะสิ หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะยังจดจำไมตรีในวันนี้นะ เมื่อถึงเวลาที่วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน[1] หวังว่าจะปรานีกันบ้าง เหลือทางรอดชีวิตให้หยางคนนี้สักหน่อย…”
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ หยางชิ่งก็ค่อนข้างเหม่อลอย ในมือถือระฆังดาราพลางพึมพำในใจ ยิ้มจืดๆ อย่างขื่นขม เมื่อประกอบกับจอนผมสีขาวเงินสองข้าง ก็ให้ความรู้สึกเสื่อมโทรมอย่างบอกไม่ถูก
“หัวหน้าผู้ช่วย เป็นอะไรไป?” จินม่านที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เห็นเขาติดต่อเสร็จแล้ว แต่มีปฏิกิริยาไม่ค่อยปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“อืม…” หยางชิ่งได้สติกลับมา ความคิดกลับไปอยู่ในอีกสภาพหนึ่งอีกครั้ง สายตากลับมาสดใสอีกครั้ง แล้วบอกจินม่านว่า “เดี๋ยวเจ้าไปคุยกับลัทธิที่เหลือสักหน่อย ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามให้กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิไปติดต่อกับราชาปราชญ์โดยพลการ…”
“เอ! ทำไมเจ้ามีอารมณ์สุนทรีวาดภาพขึ้นมาได้ล่ะ?”
แม่ทัพภาคตลาดผีจวน เสวี่ยหลิงหลงเดินเข้ามามองในห้องสมาธิ พบว่าสวีถังหรานกำลังโบกพู่กันสะบัดหมึกอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมาธิ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู พบว่าสวีถังหรานกำลังวาดภาพอยู่ ด้านข้างก็มีที่วาดเสร็จแล้วอีกหลายแผ่น นางหยิบภาพแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู รู้สึกว่าวาดได้ค่อนข้างดี นางยังมีสายตาทางด้านศิลปะอยู่บ้าง พอเห็นสวีถังหรานกำลังใจจดใจจ่อวาดภาพ นางก็ไม่ได้ไปรบกวน รอให้เขาวาดเสร็จแล้วถึงได้เอ่ยถาม
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ ถือพู่กันชี้ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติที่ตัวเองเพิ่งวาดเสร็จ แล้วถามว่า “ฮูหยิน ดูสิ ภาพนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“เหอะๆ นึกไม่ถึงว่านายท่านยังมีฝีมือการวาดภาพด้วย” เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังชื่นชมพยักหน้าเดาะลิ้น แล้วถามเหมือนไม่ได้จริงจัง “เมื่อครู่นี้เพิ่งคุยกับเฟยหงฮูหยิน นางชี้ภาพ’ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ บนผนังแล้วถามข้า ว่าเจ้าไปหามาจากไหน เหมือนนายท่านหนิวจะชอบมาก”
“จะไปหามาจากไหนล่ะ?” สวีถังหรานกลอกตา แล้วโบกพู่กันในมือ “เจ้าคิดว่าข้ายืนอยู่ในนี้เล่นๆ เหรอ? ก็ต้องเป็นภาพที่ข้าวาดเองอยู่แล้ว”
“หา!” เสวี่ยหลิงหลงงงเป็นไก่ตาแตกไปชั่วขณะ แล้วถามอีกว่า “เจ้าวาดจริงเหรอ?”
สวีถังหรานตอบอย่างค่อนข้างจนใจ “อยู่ดีๆ นายท่านก็ให้ข้าตามหาภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ ตอนนั้นข้าปากไว ตบอกรับประกันว่าจะหามาให้ได้ ใครจะคิดล่ะ ตอนหลังข้าไปถามหาจนทั่ว แต่จะไปหาภาพตามหัวข้อนั้นจากไหนได้ล่ะ! นายท่านก็ใจร้อนอยากได้อีก ข้าเลยไม่มีทางเลือกแล้ว โชคดีที่ในปีนั้นข้าเองก็เคยศึกษาวิชานี้มาผ่านๆ ทำได้เพียงแข็งใจวาดออกมาเองเลย วาดไว้หลายแผ่น แล้วเลือกภาพที่น่าพึงพอใจที่สุดไปให้นายท่าน โชคดีที่เข้าตานายท่าน ข้าก็เลยผ่านด่านนี้ไปได้ ตอนหลังข้าก็กลุ้มใจเหมือนกัน นายท่านไปชอบดูภาพวาดได้ยังไงกันนะ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ข้าก็เลยรีบปัดฝุ่นฝึกฝีมืออีก อย่าให้ถึงตอนนั้นแล้วฉุกละหุกหาไม่ทัน พอใกล้ถึงเวลาแล้วไปหาคนอื่นมาวาดให้ก็อาจจะไม่ถูกใจนายท่านก็ได้ พึ่งตัวเองดีกว่า”
…………………………
[1] วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน 飞鸟尽良弓藏 หมายถึงหมดประโยชน์แล้วกำจัดทิ้ง