พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1651 มีแต่ได้กำไร ไม่มีขาดทุน
ขณะที่เห็นระฆังดารากลิ้งมาตรงหน้าตัวเอง เสวี่ยหลิงหลงก็หยิบขึ้นมาดู เป็นของที่ตัวเองใช้ติดต่อกับคนคนนั้นจริงๆ ด้วย มีตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองอยู่ในนี้
พอมองดูผู้ชายของตัวเองอีกครั้ง เสวี่ยหลิงหลงก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ไม่แค่ฆ่าปิดปากเท่านั้น ทั้งยังเอาหลักฐานกลับมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขนาดนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องนี้สามีตัวเองไม่ได้รบกวนใครเลย แค่ออกไปลุยเดี่ยวด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าคนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจหนุนหลังอย่างไร ถ้าเป็นคนทั่วไปจะมีใครกล้าทำซี้ซั้วแบบนี้แบบนี้บ้าง แต่สามีตัวเองนั้นรีบไปรีบกลับ วรยุทธ์ต่ำต้อยเท่านี้แต่ออกไปเผชิญหน้ากับคนที่มีเบื้องหลังอย่างนั้น ไม่เพียงแค่กลับมาโดยไม่มีอะไรเสียหายเลยสักนิด ทั้งยังแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วราบรื่น ฆ่าปิดปากแล้วยังแย่งชิงของกลับมาได้ แบบนี้เรียกว่าเร็วดั่งเทพ
เสวี่ยหลิงหลงไม่รู้ว่าสวีถังหรานทำได้อย่างไร เรื่องนี้ค่อนข้างเหนือจินตนาการของนาง
แต่ตอนนี้นางไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้ นางกำลังกังวลเรื่องอื่น “เจ้าทำแบบนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังจะไม่โกรธเอาเหรอ?”
“เฮ้อ!” สวีถังหรานพิงขอบอ่างอาบน้ำแล้วถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “ช่วงนี้เจ้าก็พยายามอย่าออกไปข้างนอก ตราบใดที่พวกเขามาระบายความโกรธกับเจ้าไม่ได้ แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?”
เสวี่ยหลิงหลงคล้องแขนเขา แล้วกล่าวอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “เจ้ามีความมั่นใจจริงๆ เหรอ นี่เจ้ากำลังพูดให้ข้าสบายใจอยู่หรือเปล่า? ข้าสร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าแล้วใช่มั้ย?”
สวีถังหรานยกมือขึ้นตบไหล่งามที่เปลือยเปล่าของนางเบาๆ “เรื่องนี้ข้าไม่อยากด่าเจ้าหรอก ข้าไม่โทษเจ้าด้วย ถึงแม้เรื่องนี้เจ้าจะทำผิดไปแล้ว…ที่จริงก็พูดว่าเจ้าทำผิดไม่ได้หรอก เจ้าอยากจะช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ข้า ในด้านความรู้สึกนั้นให้อภัยได้ จะมีความผิดได้ยังไงล่ะ? ถ้าจะผิดก็ผิดที่ข้า สวีคนนี้เป็นคนต่ำทราม คนที่นิสัยใจคอบริสุทธิ์ดุจหยกงามอย่างฮูหยินมาอยู่ข้างกายข้านานแล้ว ก็เลยหูตาแปดเปื้อน คนอยู่ใกล้หมึกย่อมเลอะสีดำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามประสบเรื่องบางอย่างแล้วคิดผิดไปบ้าง ก็สามารถให้อภัยได้ ยังจำได้ว่าในปีนั้นที่ข้าแต่งงานกับเจ้า เจ้าไม่ได้สมัครใจยินยอมเลย เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะเจ้าไม่ชายตาแลข้าไงล่ะ! นึกถึงในปีนั้นที่เจ้าไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เจ้าคิดไตร่ตรองเพื่อข้าทุกอย่าง เป็นเพราะว่าในใจของเข้ามีข้าจริงๆ แล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีนะ!”
เพราะคำพูดนี้ เสวี่ยหลิงหลงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่ตัวเองโดนเจ้าเวรนี่ขืนใจในปีนั้น คืนนั้นเรียกได้ว่าเจ็บปวดรวดร้าวใจจริงๆ ไม่อยากจะนึกย้อนกลับไปเลย “เชอะ!” นางสบถปนความรู้สึกเขินอาย แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ร่างงามอ้อนแอ้นแนบชิดเข้าไปหา ซบไหล่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาอย่างอ่อนโยน แล้วพูดดูถูกนิดหน่อยว่า “แต่งงานกับข้าเหรอ? ปีนั้นข้าเป็นเพียงนางระบำที่หอนางโลม เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าในปีนั้นไม่ได้คิดจะเก็บข้าไว้เป็นของเล่นข้างกายเฉยๆ? ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านกดดัน เจ้าจะแต่งงานรับข้าเป็นฮูหยินเอกเหรอ?”
“เอ่อคือ…อย่าไปเอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วสิ” สวีถังหรานเหยียบไว้อย่างค่อนข้างอับอาย เป็นเพราะถูกพูดแทงใจดำแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกดดัน เขาก็จะเก็บไว้เล่นอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นฮูหยินเอก
คำพูดที่จงใจหลบเลี่ยงนี้ทำให้เสวี่ยหลิงหลงหมั่นไส้จนจนกัดฟันกรอด บิดเอวสวีถังหรานอย่างแรงหนึ่งที เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ขณะที่ข่มความเจ็บเอาไว้ก็บอกว่า “ฮูหยินต้องคิดดูสักหน่อยนะ ว่าทำไมไม่ลงมือกับเหยียนซิวและหยางเจาชิง ทุกคนเป็นลูกน้องที่ติดตามนายท่านทั้งนั้น ทำไมถึงจ้องแต่ข้าคนเดียวล่ะ? แมลงวันไม่จ้องเลียไข่ที่ไร้รอยแตกหรอก ก็เพราะพวกนั้นรู้สึกว่าสวีเป็นคนต่ำต้อยที่ลงมือด้วยง่ายไม่ใช่เหรอ?”
ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ มือที่บิดเนื้อเขาก็ค่อยๆ คลายออก เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าคงไม่ได้ปฏิเสธไปเพราอยากเอาชนะหรอกใช่มั้ย?”
“ถ้ามัวเอาชนะกับเรื่องนี้ ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้ว” สวีถังหรานพ่นเสียงทางจมูก “เจ้าว่าเป็นไปได้เหรอ? ข้าก็แค่คิดว่า ติดตามอยู่กับนายท่านแล้วมองเห็นอนาคตกับความหวังก็เท่านั้นเอง ก็เหมือนเวลาทำการค้า ถ้าจะให้ทิ้งอนาคตที่ดีกว่าเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้น ข้าว่าไม่คุ้มหรอก ตอนนี้แค่ตำแหน่งแม่ทัพภาคข้าก็ยังไม่ชายตามองเลย เห็นข้าเป็นขอทานที่ขอข้าวกินรึไง?”
เสวี่ยหลิงหลงผละออกจากตัวเขาทันที แล้วมองสวีถังหรานศีรษะจดเท้า ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป นางถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ด้วยสถานการณ์ของนายท่านในตอนนี้ แค่เอาตัวเองให้รอดยังลำบากเลย เจ้ายังรู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วมีความหวังอีกเหรอ?”
สวีถังหรานพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ ว่าเขาเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีเชียวนะ! บวกกับความสามารถของนายท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะไปยั่วโมโหราชันสวรรค์จนโดนคุมไว้ มีคนมากมายขนาดไหนอยากดึงไปเป็นพวกล่ะ เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรที่อยู่ในนั้นสักนิดเลยเหรอ?”
เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…ขออภัยที่ข้าโง่เง่า ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร หรือว่าเจ้ามีมุมมองที่สูงส่งล้ำลึกอะไร?”
สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้ามีมุมมองที่สูงส่งล้ำลึกอะไรนั่น ข้าจะยังอยู่ที่นี่อีกเหรอ? หลักการที่ล้ำลึกน่ะข้าไม่เข้าใจหรอก แต่หลักการที่เรียบง่ายน่ะข้าเข้าใจแจ่มแจ้ง จุจุ นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปปะทะกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน คนอื่นบอกว่าเขาบ้า แต่ข้ากลับคิดว่า นี่ต่างหากที่เป็นคนจริง ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง เจ้าคิดว่าคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างนายท่านจะโดนคนอื่นปฏิบัติด้วยเหมือนหลานชายได้เหรอ? ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเขา ก็ควบคุมเขาได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ควบคุมไปทั้งชาติไม่ได้หรอก”
“ไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง?” เสวี่ยหลิงหลงยังคงงุนงง
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ “หลักการก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเขา ในไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องเกิดความขัดแย้ง สักวันก็จะต้องถูกนายท่านโค่นล้มอยู่ดี นอกเสียจากจะอีกฝ่ายจะไม่ควบคุมนายท่านเลย แต่ที่ตำหนักสวรรค์มีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ด้วยเหรอ? ถ้ามีผู้บังคับบัญชาแบบนี้จริงๆ แล้วยังจะมีการแบ่งแยกระหว่างเจ้านายกับลูกน้องไปทำไม? กอปรกับฝีมือของนายท่านก็ไม่ได้อ่อนด้อย แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ามีความมั่นใจที่จะแปรพักตร์กับผู้บังคับบัญชาไง หมายความว่านายท่านไม่มีทางอยู่ใต้คนอื่นได้นาน ชะตากำหนดให้เขาปีนป่ายขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ก็คือนิสัยของนายท่าน เบื้องบนโยนนายท่านมาไว้ที่ตลาดผี แล้วยังไงล่ะ? เจ้าคอยดูต่อไปเถอะ อย่ากดดันจนนายท่านจนตรอกเชียว ถ้าจนตรอกขึ้นมา ก็ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือก่อนหรอก นายท่านนี่แหละที่จะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเรื่องขึ้นที่ตลาดผีแน่! ที่ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวก็เพราะยังไม่ถึงเวลา ถ้าไม่เชื่อ พวกเราก็ตั้งตารอดูได้เลย!”
“เจ้าหมายความว่า นายท่านจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างระมัดระวัง
สวีถังหรานส่ายหน้า “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เอาเป็นว่าถ้าแพ้ก็แพ้ยับเยิน แต่ถ้าสำเร็จก็จะได้ก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ พอทำสำเร็จขึ้นมา เจ้าว่าข้าจะไม่ได้ดีไปด้วยเหมือนสุนัขระกาเยี่ยมวิมานหรอกเหรอ สักวันหนึ่งตำแหน่งแม่ทัพภาคก็จะต้องเป็นของข้า หนีไม่พ้นหรอก ต่อไปนี้นายท่านก็จะพุ่งไปข้างหน้าตลอดทาง ข้าแค่คอยวิ่งตามหลังเขาก็พอแล้ว เจ้าว่าข้าจะหยุดเดินเพื่อตำแหน่งแม่ทัพภาค หรือว่าจะมุ่งไปข้างหน้าต่อดีล่ะ? ถ้าตอนนี้ข้าทรยศนายท่านเพื่อตำแหน่งแม่ทัพภาค ต่อให้อีกฝ่ายจะให้หลักประกันกับข้าดีแค่ไหน แต่ทั้งชีวิตนี้ข้าก็คงสร้างผลงานลำบากแล้ว คงสิ้นสุดแค่ตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว แต่ถ้าติดตามนายท่าน ผลลัพธ์ก็จะต่างออกไป มีนายท่านคอยแหวกดงหนามเบิกทางอยู่ข้างหน้า ก็ยังมีอนาคตที่ดีกว่าให้ตั้งตารอคอย โอกาสของข้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบโอกาส มีหรือที่จะปล่อยให้พลาดง่ายๆ!”
“ทำไมเจ้าคิดแต่ด้านดี ถ้าล้มเหลวขึ้นมาล่ะ? ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ทำไมข้ารู้สึกว่ามีโอกาสแพ้มากกว่าล่ะ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างหวาดระแวง
“หึหึ!” สวีถังหรานหัวเราะเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นมือไปบีบหน้าอกของนางหนึ่งที “นี่ก็คือสิ่งที่ข้าเพิ่งถามเจ้าไง เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่างบนตัวนายท่านสักนิดเลยเหรอ?”
เสวี่ยหลิงหลงผลักมือเขาออก แล้วถามว่า “อะไรล่ะ? เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้ากำลังกังวลอะไร? ล่อให้อยากรู้อยู่ได้!”
สวีถังหรานเดาะลิ้นอีก “ศึกที่น่านฟ้าระกาติง นายท่านก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น! แต่นายท่านไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไรนะ ทั้งยังมีคนออกหน้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้นายท่านด้วย สี่อ๋องสวรรค์กับฝ่าบาทมาแย่งตัวกันเลยนะ แย่งมาเป็นพวกเลย แต่ละคนต้องการจะส่งลูกสาวตัวเองให้เขา แบบนี้มันมีเหตุผลที่ไหนกัน? ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าคนเราน่ะ ไม่ว่าจะฐานะสูงหรือต่ำต้อย แต่ก็จะต้องมีมูลค่าในตัวเองเข้าไว้ จะต้องมีคนมองเห็นมูลค่าในตัวเจ้าแน่นอน! ตอนนี้ข้าไม่กลัวว่านายท่านจะก่อเรื่องใหญ่โตหรอก ข้ากลัวเขาจะไม่ก่อเรื่องใหญ่มากกว่า ยิ่งเขาก่อเรื่องมากเท่าไหร คนที่อยู่ข้างกายเขาก็จะยิ่งโดดเด่นมากเท่านั้น? พอโดดเด่นขึ้นมาก็จะมีมูลค่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ใครจะไปรู้จักว่าข้าสวีถังหรานคือใคร ดีไม่ดีตอนนี้ชื่อข้าอาจจะไปถึงหูบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์เยอะแล้วก็ได้!”
เมื่อเห็นเขาลำพองใจอย่างนั้น เสวี่ยหลิงหลงกลับตกใจ “เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ยังกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอ? เจ้าไม่รู้รึไงว่าเรื่องนี้อันตรายขนาดไหน?”
“อันตราย? มารดาเจ้าเถอะ หลังจากติดตามรับใช้นายท่าน มีครั้งไหนบ้างที่ไม่อันตราย? เจ้ายังไม่ชินเหรอ? ครั้งแรกจะรู้สึกแปลกใหม่ ครั้งที่สองจะรู้สึกคุ้นเคย นี่มันเกิดขึ้นตั้งกี่ครั้งแล้ว? ถึงยังไงข้าก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เอะอะก็ตกใจเหมือนเมื่อก่อนหรอก ความกล้าหาญน่ะฝึกกันได้ แล้วอีกอย่าง เจ้าคิดว่าทรยศนายท่านแล้วจะไม่อันตรายเหรอ? นายท่านโหดขนาดไหน ข้าได้ก็เคยได้บทเรียนมาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว อาจจะไม่ได้เอาปลีกตัวไปอย่างปลอดภัยก่อนที่เขาจะตายก็ได้…”
“ข้าว่าเหมือนเจ้าจะค่อนข้างกลัวนายท่านนะ?”
พูดถูกแล้วจริงๆ สวีถังหรานถูกเหมียวอี้วางกับดักจนกลัวแล้วจริง ภายใต้ความน่าเกรงขามที่เพิ่มขึ้นตามเวลา แค่คิดว่าต้องสู้กับเหมียวอี้เขาก็ขนลุกแล้ว แต่ปากเขาไม่มีทางยอมรับหรอก เขากลอกตาแล้วบอกว่า “ฮูหยินเอ๊ย เจ้านี่ช่างไม่เข้าใจอะไรจริงๆ ตอนนี้คนที่นายท่านสู้ด้วยมีแต่บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ทั้งนั้น โดนคนใหญ่คนโตเพ่งเล็งแล้ว ห่างไปไม่รู้ตั้งกี่ระดับ ไม่เหมือนกับตอนที่ก่อเรื่องในตลาดสวรรค์ปีนั้นแล้ว ถ้านายท่านสู้กับคนที่ระดับพอๆ กัน พอแพ้ขึ้นมา จุดจบของคนอย่างข้าก็จะอนาถมาก อีกฝ่ายไม่มีทางอดกลั้นไม่ลงมือกับลูกน้องคนสนิทของคู่ต่อสู้ได้หรอก แต่สำหรับพวกคนใหญ่คนโตของตำหนักสวรรค์ จุดจบก็จะไม่เหมือนกันแล้ว คนระดับล่างอย่างพวกเราน่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสถูกคนใหญ่คนโตเบื้องบนเพ่งเล็งนะ ขอเพียงแสดงผลงานให้ยอดเยี่ยม
พอถูกอีกฝ่ายจดจำได้แล้ว ต่อไปก็อาจจะมีอนาคต เรื่องนี้พูดคำสองคำเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ข้าจะพูดสิ่งที่เจ้าพอจะเข้าใจไหวก็แล้วกัน ถึงยังไงนายท่านหนิวก็เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว เจ้ารู้แล้วว่าอ๋องสวรรค์โค่วกำลังจะทิ้งนาย ท่านแต่หลังจากจบเรื่องแล้วอ๋องสวรรค์โค่วจะแสดงออกยังไงล่ะ? ลูกน้องเก่าของนายท่านอย่างพวกเราจะต้องได้รับการวางแผนอนาคตไว้อย่างเหมาะสมเรียบร้อยแน่นอน ทั้งยังวางแผนไว้ดีด้วย ต่อให้ทำเพื่อแสดงให้คนอื่นดูเฉยๆ แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคก็หนีไม่พ้นข้าหรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าตอนนี้ทรยศนายท่านแล้วได้ตำแหน่งแม่ทัพภาคไป ต่อไปข้าก็จะไม่มีเบื้องบนให้พึ่งพาแล้ว แต่ถ้ารอให้อ๋องสวรรค์โควเตรียมให้เอง ผลก็จะแตกต่างออกไป ในภายหลังนายท่านจะปฏิบัติต่อลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีอย่างพวกเราไม่ดีเหรอ? ถ้ามีนางช่วยพูดกับอ๋องสวรรค์ให้พวกเรา แบบนั้นก็จะมีน้ำหนักมากกว่าที่พวกเรามุมานะทำงานมาหลายปี ในอนาคตอาจจะได้กลายเป็นหัวหน้าภาคที่ไหนสักแห่งก็ได้”
เสวี่ยหลิงหลงทำท่าครุ่นคิดพลางพยักหน้า แต่ก็ยังขมวดคิ้วถาม “แต่ถ้าประมือกับคนระดับนั้น ก็ไม่รู้ระดับลึกตื้นเลยนะ ถ้านายท่านล้มลงแล้ว อีกฝ่ายจะปล่อยเจ้าไปได้เหรอ?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ได้สู้กันซึ่งๆ หน้าเสียหน่อย สู้กันอย่างลับๆ ไม่ว่าเบื้องบนจะมีใครมาสู้กับนายท่าน แต่ก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ทั้งนั้น เป้าหมายของพวกเขาคือกำจัดนายท่าน ขอเพียงทำสำเร็จก็จะถอยทันที ใครจะมัวมาเสียเวลาลงมือกับลูกน้องของนายท่านต่อไปล่ะ ส่วนที่เจ้าบอกว่าข้าสังหารคนคนนั้นที่ติดต่อกับเจ้าน่ะ สำหรับเบื้องบนแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ขอเพียงกำจัดนายท่านได้ เรื่องก็จะผ่านไป ใครจะเสี่ยงโดนเปิดโปงมาหาเรื่องข้าล่ะ ขอเพียงทำงานให้ดีอยู่ข้างกายนายท่าน ไม่ว่านายท่านจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ การซื้อขายนี้พวกเราก็จะมีแต่ได้กำไร ไม่มีขาดทุน สิ่งเดียวที่ข้าต้องทำตอนนี้ก็คือ ตอนที่อันตรายกำลังจะมาถึง จะทำยังไงให้รอดพ้นจากการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตไปได้ ตราบใดที่รักษาชีวิตไว้ได้ อนาคตก็รออยู่!”
…………………………