พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1654 ไม่ค่อยรู้จักประมาณตน
พอพูดถึงตอนท้าย เขาก็โบกแผ่นหยกในมือด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจอีก
ฟังจากความหมายและปฏิกิริยาของเขา เสวี่ยหลิงหลงจึงถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาของประมุขดาวหนึ่งในสิบแปดคนที่ทำเคล็ดวิชาหายไป?”
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “หนึ่งในสามสิบสองประมุขดาว ชื่อว่าประมุขดาวหุ้นตุ้น เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาก็คือมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ ดีไม่ดีอาจจะเป็นวิชาที่มาอยู่ในมือพวกเราแล้วก็ได้”
เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้ว “ท่านสามี ในเมื่อมันเป็นเคล็ดวิชาที่หายไปนานแล้ว เจ้าเองก็ไม่เคยเห็น แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์เป็นของประมุขดาวหุ้นตุ้นท่านนั้น?”
“บทนำ! บทนำของเคล็ดวิชาไง ข้าจะอ่านให้เจ้าฟังสักหน่อยแล้วกัน” สวีถังหรานยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านทีละคำ “ผู้รวมศูนย์ ยามปราณหยวนยังไม่ถูกแบ่ง หุ้นตุ้น[1]เป็นหนึ่งเดียว เป็นจุดเริ่มต้นของปราณหยวน! ปราณหยวนกำเนิดจากหุ้นตุ้น อยู่ในแสงสว่าง อยู่นอกความมืด ระหว่างความมืดและความสว่างเกิดเป็นช่องว่าง ในช่องว่างเกิดเขตแดนว่างเปล่า เขตแดนว่างเปล่าแบ่งออกเป็นปราณสามชนิด ได้แก่ปราณเสวียน ปราณหยวน ปราณสื่อ ปราณสามชนิดรวมกันเป็นหุ้นตุ้น เมื่อเกิดแดนอนัตตาจึงเกิดช่องว่าง เมื่อเกิดช่องว่างจึงเกิดความว่างเปล่า เพราะว่างเปล่าจึงมีอยู่ เพราะมีอยู่จึงว่างเปล่า เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่ว่างเปล่า เกิดเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติแห่งธรรมะ เรียกว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์…ฮูหยิน เจ้าฟังเข้าใจหรือเปล่า?”
“ในนั้นเหมือนจะเอ่ยถึง ‘หุ้นตุ้น’ สามองครั้ง อิงจากสิ่งนี้ก็เลยเกี่ยวข้องกับประมุขดาวหุ้นตุ้นนั่นเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยถามเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
สวีถังหรานจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฮูหยินฉลาดล้ำเลิศ วัตถุประสงค์ของบทนำกล่าวไว้หนึ่งร้อยตัวอักษรพอดีไม่ขาดไม่เกิน แต่ในหนึ่งร้อยคำนี้กลับเอ่ยถึง ‘หุ้นตุ้น’ ถึงสามครั้ง ดูจากแก่นแท้ของวัตถุประสงค์นิดหน่อยก็รู้แล้วว่าเป็น ‘หุ้นตุ้น’ นั่น กุญแจสำคัญอย่างนี้จะไม่สอดคล้องกับฉายานามของประมุขดาวหุ้นตุ้นได้ยังไง? บังเอิญได้ยินว่าประมุขดาวหุ้นตุ้นในตำนานฝึกมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี้พอดี ทุกอย่างล้วนเชื่อโยงได้ ถ้าจะไม่ให้แน่ใจว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์คือเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขดาวหุ้นตุ้นก็ยากแล้ว! แล้วอีกอย่างนะ อสุราอัคนีที่เป็นอาจารย์ต่างยุคของนายท่านเป็นตัวละครแบบไหนกันล่ะ? ถึงแม้จะเป็นตัวละครที่ผงาดขึ้นมาหลังจากหนึ่งเทพ สามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาวถูกกำจัดไปแล้ว แต่จ้าวของหกลัทธิในตอนนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด เคล็ดวิชาที่ควรค่าให้อสุราอัคนีเก็บซ่อนไว้จะธรรมดาเหรอ?”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้ เสวี่ยหลิงหลงก็เชื่อแล้วเช่นกัน ถึงไม่ถึงว่าสองสามีภารรยาจะได้รับเคล็ดวิชาอย่างนี้ “ท่านสามี ไม่รู้ว่าหลังจากฝึกสำเร็จแล้วจะมีพลังเป็นยังไง?”
“อันนี้…” สวีถังหรานลังเล อ่านแผ่นหยกที่อยู่ในมืออย่างช้าๆ “ตามที่ระบุไว้บนบทนำ ‘ปราณเสวียน ปราณหยวน ปราณสื่อ ปราณสามชนิดรวมกันเป็นหุ้นตุ้น’ คงจะหมายถึงขั้นตอนการฝึก หมายความว่าหลังจากฝึกจนะเกิดปราณเสวียน ปราณหยวนและปราณสื่อแล้ว ก็จะหลอมรวมกลายเป็นหุ้นตุ้น หลังจากหุ้นตุ้นรวมเป็นหนึ่ง ก็จะฝึกมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์สำเร็จแล้ว ส่วนที่ถามว่าหลังจากฝึกแล้วมีพลังเป็นยังไง ข้าก็ไม่รู้จริงๆ บนนี้ไม่ได้บอกไว้ ข้าเองก็ไม่รู้จักประมุขดาวหุ้นตุ้นนั่นด้วย แค่บังเอิญได้ยินมาก็เท่านั้นเอง แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะได้เคล็ดวิชาที่เทียบเท่ากับสิบปราสาทดำเนินลี่อ๋องสวรรค์ รู้ไว้แค่ว่าหลังจากฝึกสำเร็จแล้ว พลังจะต้องไม่แย่แน่นอน”
ไม่นานเสวี่ยหลิงหลงที่พยักหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจก็เริ่มกังวลอีก “นายท่านหนิวไม่รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้จริงเหรอ? ถ้าเขากำลังทดสอบพวกเราอยู่จะทำยังไง?”
สวีถังหรานส่ายหน้าอย่างรู้สึกขำ “ช่างมีความคิดอ่านแบบผู้หญิงจริงๆ เอาแต่หลับหูหลับตากังวลสิ่งที่ไร้ประโยชน์! ฮูหยินเอ๊ย เจ้าคิดมากไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมากี่ปีแล้ว? ก่อนหน้านั้นยังมีจ้าวหกลัทธิปกครองใต้หล้าอยู่ตั้งกี่ปี ต้องย้อนต่อไปอีกถึงจะเป็นช่วงเวลาที่มีเคล็ดวิชานี้ เรื่องที่ผ่านไปนานขนาดนั้น คนที่ยังไม่ถึงระดับสำแดงฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็ตายไปหมดแล้ว คนที่รู้มีไม่เยอะหรอก นายท่านจะมาทดสอบพวกเราทำไม? เขาไม่รู้เลยว่าพวกเราอาจจะรู้ที่มาของเคล็ดวิชานี้ จำเป็นต้องทดสอบด้วยเหรอ? ต่อให้จะทดสอบอีกแต่ก็คงไม่ทดสอบเรื่องนี้หรอก”
เสวี่ยหลิงหลงตบหน้าอกเขาเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็กางแขนคล้องคอเขา พร้อมกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ท่านสามี งั้นพวกเราก็เก็บได้โชคใหญ่แล้วจริงๆ” ขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวล เป็นความกังวลเล็กๆ ที่เก็บได้ของดีมาจากคนอื่น
เมื่อก่อนนางไม่ใช่คนประเภทนี้เลย แต่เมื่ออยู่กับสวีถังหรานนานๆ ไป สามีเป็นผู้นำภรรยาเป็นผู้ตาม กอปรกับหลายๆ ด้านนางก็สู้สวีถังหรานไม่ได้จริงๆ ในสถานการณ์ที่พิสูจน์ได้หลายเรื่องแล้วว่าสวีถังหรานทำถูก แนวคิดของนางจึงเปลี่ยนตามทีละนิด เรียกได้ว่าอยู่ใกล้สีหมึกแดงย่อมติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกดำย่อมติดสีดำจริงๆ ถูกสวีถังหรานชักนำไปในทางที่แย่แล้ว เมื่อเข้าประตูบ้านเดียวกัน สุดท้ายก็กลายเป็นคนบ้านเดียวกัน
สวีถังหรานที่กำลังกอดนางก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มสิบเช่นกัน เรื่องหาร้านค้ายี่สิบร้านก่อนหน้านี้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าเหมียวอี้จงใจหาเรื่องเขาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว กำลังคิดว่าจะใช้วิธีการอะไรถึงจะทำภารกิจที่นายท่านมอบหมายให้สำเร็จได้
จะเป็นภารกิจหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากจวนแม่ทัพภาคเตรียมให้คนของจวนอ๋องสวรรค์ไปส่งเฟยหง หลินผิงผิงและเสวี่ยหลิงหลงแล้ว เหมียวอี้ก็มีงานดีๆ ให้สวีถังหรานไปจัดการอีก เป็นงานที่เขาชอบ เพียงพอที่จะทำให้เขาสุขสำราญ
บนถนนของตลาดผีอันเจริญรุ่งเรืองและมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ในความมืด จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้น ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ มาล้อมโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเอาไว้
ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนยืนหลีกทางให้ กำลังมองดูทหารสวรรค์ที่โหดเหี้ยมดุร้ายพวกนี้ ผู้จัดการร้านที่เบียดอยู่ตรงประตูร้านฝั่งตรงข้ามเก็บสองมือไว้ในกระบอกแขนเสื้อ ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถ่ายทอดเสียงบอกคนงานที่อยู่ข้างกัน “เป็นเรื่องยากที่จะเห็นเหตุการณ์แบบนี้ที่ตลาดผี แม่ทัพภาคท่านนั้นยังกลับมาจากแดนสุขาวดีไม่ถึงสามเดือนเลยใช่มั้ย?”
“เกือบจะสามเดือนแลวขอรับ” คนงานตอบ
“คงจะมาจับคนอีกแล้ว ยังไม่ถึงสามเดือนเลย นี่เป็นรอบที่สี่แล้วกระมัง?” ผู้จัดการร้านถาม
คนงานตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ ผู้จัดการร้านช่างความจำดี นี่เป็นรอบที่สี่แล้ว”
ผู้จัดการร้านเดาะลิ้น “แม่ทัพภาคท่านนี้ช่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็ทำเอาทั้งไก่ทั้งสุนัขที่ตลาดสวรรค์อยู่ไม่สุข ทำให้คนตระหนกตกใจ ตอนนี้เริ่มมาก่อเรื่องที่ตลาดผีซะแล้ว”
“ผู้จัดการร้าน แล้วตึกศาลาสัตยพรตนี่จะเอายังไงกันแน่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ข่มจวนแม่ทัพภาคตลอด ทำไมปล่อยให้จวนแม่ทัพภาคทำเรื่องอย่างนี้ได้?” คนงานแปลกใจ
ผู้จัดการร้านเหล่ตามองมา “ศักยภาพของตึกศาลาสัตยพรตกับอำนาจเบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ยังต้องพูดอีกเหรอ น้ำที่นี่ลึกมาก ตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเราไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนหรอก จะไปมองเข้าใจได้ยังไง สรุปก็คือเทพเซียนข้างบนทะเลาะกัน แต่ตัวละครเล็กๆ ข้างล่างรับเคราะห์…อ้าว ออกมาแล้ว” เขาเชิดคางไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ตรงประตูโรงเตี๊ยม สวีถังหรานที่สวมชุดเกราะสีม่วงทั้งตัวเอามือไขว้หลังเดินวางมาดออกมาแล้ว ไม่ได้ปลอมตัวใดๆ แสดงตัวให้ผู้คนในตลาดผีเห็นอย่างเปิดเผย
กำลังพลกลุ่มที่อยู่ข้างหลังลากตัวผู้ต้องหาสามคนที่โดนซ้อมจนสาหัสปางตายออกมาแล้ว
พอผู้ต้องหาสามคนเผยโฉมหน้า กลุ่มคนที่มามุงดูด้านนอกก็กล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจทันที “รีบมาดูสิ ด้านหลังคือกานกงเจิ้ง นักโทษหลบหนีที่ฆ่าผีหลักเมืองไปเป็นร้อยใช่มั้ย?”
“หึ! หลบหนีมาได้ตั้งหลายปี ครั้งนี้ตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ต้องตายแน่นอน ผีหลักเมืองถึงแม้จะตำแหน่งต่ำต้อย แต่ถึงยังไงก็ฆ่าขุนนางตำหนักสวรรค์ไปเยอะขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะโดนแล่เนื้อเถือหนังต่อหน้าฝูงชนก็ได้”
“ได้ยินว่าฮูหยินของกานกงเจิ้งก็ถูกผีหลักเมือง…เฮ้อ!”
“กานกงเจิ้งไม่ได้มีพลังอ่อนแอนะ จะโดนจับกุมง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ทั้งยังจับรวดเดียวสามคน หลังจากจวนแม่ทัพภาคเป็นกำลังพลชุดใหม่ ก็เปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ!”
“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ การเปลี่ยนคนรอบนี้ไม่ธรรมดานะ ได้ยินว่าอ๋องสวรรค์โค่วส่งแรงสนับสนุนมาให้ลูกเขยด้วยตัวเอง จะเลือกคนแย่ๆ มาได้เหรอ?”
คนที่ไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนมีจำนวนเยอะมาก ส่วนคนรู้สถานการณ์เบื้องลึกที่ยืนดูอยู่เงียบๆ พอได้ยินบทสนทนาของพวกนี้ก็แอบส่ายหน้า เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ต้องหาพวกนี้ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตตั้งนานแล้ว แต่ส่งให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานไปเปล่าๆ ถ้าไม่มีตึกศาลาสัตยพรตคอยช่วย อย่าว่าแต่คนที่อ๋องสวรรค์โค่วส่งมาเลย ต่อให้เป็นอ๋องสวรรค์โค่วมาด้วยตัวเองแต่ก็อาจจะจับไม่ได้อยู่ดี
เหมียวอี้สั่งว่าหลังจากจับผู้ร้ายได้แล้วให้พาเดินในตลาด กับเรื่องโอ้อวดบารมีแบบนี้ สวีถังหรานย่อมไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว ต้องทำให้พวกเพื่อนร่วมงานในตลาดสวรรค์ที่เคยดูถูกเขาได้เห็นสักหน่อย ดูไว้ซะว่าทุกวันนี้สวีเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่ตลาดผีอย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็คิดว่ายิ่งก่อเรื่องให้สะดุดตามากเท่าไรก็ยิ่งดี เหมือนกับหลักการที่เขาบอกเสวี่ยหลิงหลงไว้
ผู้ร้ายหลบหนีติดกับดัก หลายคนที่อยู่ข้างหน้าเบิกทางให้ ผู้ร้ายหลบหนีที่อยู่ข้างหลังถูกลากให้เดิน สวีถังหรานที่เป็นผู้คุมสถานการณ์เอามือไขว้หลังยืดอกเชิดหน้าเดินอยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชน ในขณะที่รู้สึกภาคภูมิใจ ดวงตาเรียวเล็กก็มองไปรอบๆ อย่างดุร้ายราวกับเหยี่ยว เผยให้เห็นความโฉดชั่วทมิฬ
สิ่งที่อยู่ภายนอกมีไว้แสดงให้คนดู แต่ในใจกลับรู้จักตัวเองดี เพราะมีผู้ร้ายหลบหนีมาติดกับดักอีกแล้ว จะไม่ให้เขาดีใจไม่ได้หรอก ครั้งนี้จับกุมได้เป็นครั้งที่สี่แล้ว ครั้งแรกได้รางวัล ครั้งที่สองก็ยังได้รางวัล ครั้งที่สามได้เลื่อนยศหนึ่งขั้น ครั้งที่สี่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้อะไร เคยเห็นคนสร้างผลงานมาก่อน แต่ก็เคยเห็นการสร้างผลงานแบบนี้เลย
ประเด็นสำคัญคือเป็นการสร้างผลงานที่ผ่อนคลายมาก ท่านแม่ทัพภาคระบุสถานที่ให้ ส่วนเขาก็รีบพาคนบุกเข้าไป ผู้ร้ายหลบหนีที่อยู่ในจุดหมายถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด แค่หิ้วตัวมาเลยก็สิ้นเรื่อง ไม่มีอันตรายใดๆ เลย เรียกได้ว่านอนสร้างผลงาน ขนาดสวีถังหรานยังรู้สึกเลยว่าเรื่องนี้เกินจริงไปหน่อย
ส่วนเหมียวอี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ยศกระโดดขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้น และเหมียวอี้ก็ไม่สนด้วยว่าเบื้องหลังจะตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกัน โอกาสแบบนี้หาได้ยาก ขอเพียงจับตัวผู้ร้ายหลบหนีให้ได้ แล้วก็นำลูกน้องรายงานผลงานขึ้นไปด้วยกัน เขาต้องฉวยโอกาสดึงหญ้าตีกระตาย เลื่อนยศลูกน้องคนสนิทขึ้นมาด้วยกัน ทุกครั้งที่มีผลงานก็จะพ่วงเหยียนซิว หยางเจาชิงและพวกสวีถังหรานไปด้วย
แม้แต่คนที่ตระกูลโค่วส่งมาที่ตลาดผีก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย เหมียวอี้สลับหมุนเวียนรายงานผลงานของทุกคนขึ้นไป ด้งนั้นช่วงนี้แต่ละคนในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจึงฮึกเหิมเต็มเปี่ยม ทุกคนพบหน้ากันด้วยความร่าเริง คนเราพบเจอเรื่องน่ายินดีก็ย่อมอารมณ์ดี ตอนหลังพบว่ายังสร้างผลงานได้ด้วย ช่างเหมือนการละเล่นของเด็กเสียจริง พวกเขาย่อมเข้าใจเช่นกันว่าได้อาศัยบารมีใคร ดังนั้นเมื่อเห็นเหมียวอี้ก็ล้วนแสดงความเคารพนอบน้อม
ส่วนลับลมคมในที่อยู่ในนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนคือคนที่ตระกูลโค่วคัดเลือกมา เมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง ก็ย่อมไม่มีใครพูดซี้ซั้วจนทำลายเรื่องราวดีๆ ของตัวเอง ท่านแม่ทัพภาคสั่งให้พูดอย่างไร ทุกคนแค่พูดไปตามนั้นก็พอ
จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่ในสังกัดของตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง คนนอกยื่นมือเข้ามาแทรกไม่ได้ ด้านหนึ่งมีตระกูลเซี่ยโห้วแอบส่งผลงานให้ อีกด้านหนึ่งมีราชินีสวรรค์ที่รู้อยู่แก่ใจคอยแกล้งปิดตาข้างเดียวให้ กอปรกับราชินีสวรรค์เพิ่งตั้งครรภ์โอรสสวรรค์พอดี ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือสถานการณ์ก็ล้วนอยู่ในช่วงที่คึกคักมีชีวิตชีวา เมื่อท้องยื่นอยู่ตรงหน้าราชันสวรรค์ แม้แต่ราชันสวรรค์ที่ได้ลิ้มรสการมีโอรสเป็นครั้งแรกก็ยังต้องลูบเคราแกล้งโง่ ดังนั้นกลุ่มขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์จึงทำได้เพียงดูความเคลื่อนไหวของตลาดผีเฉยๆ มองดูพวกกลุ่มทหารตัวเล็กตัวน้อยเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งกันอย่างสำราญบานใจ มองดูเหมือนเป็นเรื่องตลก!
คนที่ตามองเห็นชัดล้วนรู้ดี ว่านี่คือการตอบแทนที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบให้ตระกูลโค่วเป็นครั้งสุดท้าย ต้องการจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อกลับสู่ตำแหน่งเดิม เมื่อสำเร็จตามเป้าหมายเมื่อไร ระยะเวลาการคุ้มครองที่หนิวโหย่วเต๋อได้รับจากตึกศาลาสัตยพรตก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้นทุกคนจึงอดทนรอ ต่อไปได้ถึงคราวที่หนิวโหย่วเต๋อต้องร้องไห้แน่!
“เจ้าหมอนั่นพาผู้ต้องหาเดินเที่ยวอีกแล้วเหรอ?”
เฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่ทอดสายตามองผิวทะเลสาบระยิบระยับใต้โคมไฟ
ชีเจวี๋ยที่ยืนรายงานสถานการณ์อยู่ข้างกันพยักหน้าตอบ “ใช่แล้วขอรับ สวีถังหรานลูกน้องเขานำผู้ต้องหาเดินร่อนที่ตลาดผีอีกแล้ว”
เฉาหม่านสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย การที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำอย่างนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดผีไม่มากก็น้อย คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกคงจะเคลือบแคลงใจกับการควบคุมตลาดผีของตึกศาลาสัตยพรต จะเพิ่มอิทธิพลให้จวนแม่ทัพภาคที่ตลาดผีอย่างที่ตาเปล่ามองไม่เห็น การกระทำนี้ทำให้ไฟโกรธสุมอยู่ในใจเขารางๆ เขาอยากจะสั่งสอนเหมียวอี้มาก แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้ ได้แต่แสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าหนุ่มนี่ช่างไม่รู้จักประมาณตน! สงสัยจะวางอำนาจบาตรใหญ่ที่ตลาดสวรรค์จนชินแล้ว ทำนิสัยเดิมอีกแล้ว!”
“จะให้บ่างสั่งสอนเขาสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม
“เฮอะ!” เฉาหม่านทำเสียงฮึดฮัด “ไม่ต้องแล้ว กระต่ายหางยาวไม่ได้หรอก ปล่อยให้เขาลำพองใจไปอีกสักพัก มิหนำซ้ำเขาก็ลำพองใจไปแล้ว ถ้าไปดักเขากลางทางจะทำให้คนที่รู้สถานการณ์หัวเราะเยาะเอาได้ อำนาจในการควบคุมเล็กน้อยแค่นี้ ตึกศาลาสัตยพรตจะไม่มีเลยเชียวเหรอ?”
“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์ ณ ดาวหยกงาม
ในตำหนักใหญ่ มีเพียงโค่วหลิงซวี ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิง
“หนิวโหย่วเต๋อนำผู้ต้องหาเดินอวดในตลาดผีอีกแล้วเหรอ?” โค่วหลิงซวีที่ฟังรายงานจบแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
ถังเฮ่อเหนียนตอบอย่างจนใจเล็กน้อย “ใช่แล้วขอรับ เหมือนกับครั้งก่อนๆ ท่านเขยทำอย่างนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า หรือว่าจะทำเหมือนตอนที่เคยอยู่ตลาดสวรรค์? บ่างกังวลว่าเขาอาจจะทำให้ตึกศาลาสัตยพรตไม่พอใจ จะต้องเตือนท่านเขยให้สำรวมสักหน่อยมั้ยขอรับ?”
“ข้าจะติดต่อไปคุยกับหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยแล้วกัน” โค่วเจิงกล่าว
โค่วหลิงซวียกมือขึ้น “ช่างเถอะ! ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะปล่อยอำนาจให้เขา ก็ให้เขาทำต่อไปแล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ถือว่าเขาทำตัวเอง แล้วอีกอย่าง ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร แล้วพวกเราจะมีอะไรน่าร้อนใจล่ะ แต่เจ้าเด็กนั่นก็ไม่ค่อยรู้จักประมาณตนจริงๆ!”
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร
หลังจากฟังซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานจบ “หึหึ!” ประมุขชิงก็เลิกคิ้วนิดหน่อย เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักใหญ่ “ตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้ห้ามเหรอ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าลูกลิงนั่นไม่ค่อยรู้จักประมาณตนเลยนะ ตึกศาลาสัตยพรตกำลังทุ่มหินใส่เท้าตัวเองหรือเปล่า?”
ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างกายส่ายหน้า “ตึกศาลาสัตยพรตรู้ถึงสถานการณ์ของเขาชัดเจน รู้ว่าเขากำลังดิ้นรนเอาตัวรอด จึงขี้คร้านจะสนใจก็เท่านั้นเอง”
ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “แม่ทัพภาคตลาดผีใต้สังกัดข้าทำให้ตึกศาลาสัตยพรตว่าอะไรไม่ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเหมือนกัน”
เกาก้วนที่เป็นผู้ริมเริ่มกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าต่อให้จับหนิวโหย่วเต๋อไปโยนไว้ที่ตลาดผี เขาก็ไม่ทางอยู่สงบๆ หรอก จากที่ข้าน้อยรู้จักเขา ข้าน้อยเดาว่าเขากำลังทดสอบท่าทีของตึกศาลาสัตยพรต ตอนนี้ตึกศาลาสัตยพรตไม่ว่าอะไร ก็เท่ากับช่วยเติมไฟให้เขากำเริบเสิบสาน มีความเป็นไปได้สูงว่าต่อไปเจ้าหนุ่มนั่นจะก่อเรื่องใหญ่กว่านี้ ดูจากนิสัยของเขาตอนอยู่ตลาดสวรรค์ เขาไม่เหมือนคนที่จะยอมปล่อยให้ตัวเองไร้สิทธิ์ไร้เสียงในอาณาเขตตัวเองง่ายๆ หรอกขอรับ”
ประมุขชิงรู้สึกสนใจทันที หันกลับมาถามว่า “หรือเจ้าคิดว่าเขากล้าฉีกหน้าตึกศาลาสัตยพรต?”
เกาก้วนถามเสียงเรียบ “ตึกศาลาสัตยพรตก็เป็นแค่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เท่านั้นเอง ตอนที่อยู่ตลาดสวรรค์ เขายังกล้าลงดาบกับคนของผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักเลย เจ้าหนุ่มนั่นมีแต่จะต้องลูบตามแนวขนเท่านั้น ถ้าไปลูบย้อนแนวขนเขาเมื่อไร เขาก็ไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิต ยังมีอะไรที่เขาทำไม่ได้อีก หากฝ่าบาทอยากดูอะไรสนุกๆ ก็ลองแอบให้ความช่วยเหลือสักนิดก็ได้ ข้าน้อยเชื่อว่าตลาดผีจะเกิดเรื่องน่าสนุกมากแน่ๆ ขอรับ!”
…………………………
[1] หุ้นตุ้น 混沌 คือสภาวะที่สิ่งต่างๆ ยังปะปนกันอย่างไร้ระเบียบก่อนที่โลกจะถือกำเนิดขึ้น เป็นความเชื่อตามตำนานการสร้างโลกของชาวจีน