พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1657 สมบัติที่สำนักหนานอู๋
ในตอนแรก เหมียวอี้ก็แค่อยากจะทำความเข้าใจเรื่องระบำมารสวรรค์ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ใครจะคิดว่าจะได้รู้เรื่องสำนักหนานอู๋จากปากจินม่านอีก
ก่อนหน้านี้เม่ยจีเอ่ยถึง ‘สำนักหนานอู๋’ เขาก็ยังนึกว่าตัวเองทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ตอนปัดกวาดซากสำนักหนานอู๋ ตอนนี้พบว่าสำนักหลัวช่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋ ก็ทำให้เขาต้องสงสัยว่าคำพูดนั้นของเม่ยจีมีความหมายล้ำลึกอีกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตรงหน้าเหมียวอี้ก็มีเรื่องที่ต้องรับมือ ยังไม่อยากไปเกี่ยวข้องอะไรกับเม่ยจี ในสถานการณ์ปกติแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์จะไม่เกี่ยวข้องกัน คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน เขาไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้ตัวเองมากกว่านี้
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจใยดีทางนั้นเลย เขาสั่งให้หยางเจาชิงแอบเตรียมคนให้ไปจับตาดูทางวัดพระกษิติครรภ์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีความผิดปกติก็ให้รายงานทันที
ทางนี้เพิ่งจะกำชับลงไปได้ไม่นาน หยางชิ่งก็เป็นฝ่ายติดต่อมาซักถามเขาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงสั่งจับตาดูทางวัดพระกษิติครรภ์
แค่ได้ยินเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าหยางเจาชิงบอกหยางชิ่ง เขารู้สึกโมโหนิดหน่อย ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เพราะนี่คือสิ่งที่เขาตอบตกลงไว้แล้วในตอนแรก รับปากหยางชิ่งไว้แล้วว่าสามารถจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นหยางเจาชิงก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอก คิดไปคิดมาก็เล่าเรื่องที่เม่ยจีมาวัดพระกษิติครรภ์ให้หยางชิ่งรู้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังต้องปิดบังไว้ ย่อมไม่บอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซากสำนักหนานอู๋ ความลับที่เกี่ยวกับจุดซ่อนสมบัติ บอกเพียงว่าเม่ยจีอาจจะอยากมาล้างความอัปยศ
ข้ออ้างนี้หยางชิ่งจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าหลังจากหยางชิ่งรู้สาเหตุที่จับตาดูแลววัดพระกษิติครรภ์แล้วก็ไม่ถามอะไรมากอีก
ตลาดผี มีเรือแล่นสัญจรไปมา ใต้ผิวทะเลสาบที่คลื่นสะท้อนแสงระยิบระยับซ่อนความลับเอาไว้มากแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้
บนถนน ชายเคราหยิกคนหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในซอย พอมาถึงทางน้ำที่อยู่ปลายทางก็สังเกตการณ์โดยรอบครู่หนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจ ก็รีบถลันตัวเข้ามาในทางน้ำ แล้วผ่านมากลางทะเลสาบเพื่อดำน้ำต่อไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงกลางทาง จู่ๆ ตรงก้นทะเลสาบขมุกขมัวก็มีเงาคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ชายเคราหยิกยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็ถูกก่อกวนจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
รอจนกระทั่งเขาโผล่ศีรษะขึ้นสู่ผิวน้ำ ก็ได้กลายเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ผมเปียกยาวสยายคลุมบ่าแล้ว ข้างกายมีหน้ากากของชายเคราหยิกลอยขึ้นมา
ผู้หญิงสวยมองไปรอบๆ ไม่รู้แล้วว่าคนที่ลอบจู่โจมตนไปไหนแล้ว นางพลันก้มหน้ามองหน้าอกตัวเอง เสื้อผ้าถูกดึงออกจนเผยหน้าอกขาวอวบอิ่มออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว พอดึงเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอก สายตาก็ไปหยุดอยู่บนข้อมืออย่างงุนงง นางรีบยกข้อมือขึ้นมาดู พบว่ากำไลเก็บสมบัติได้หายไปแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนปล้น! ผู้หญิงสวยทุบหมัดบนผิวน้ำอย่างโมโห
ทว่าเรื่องแบบนี้พบเจอได้บ่อยมากที่ตลาดผี ปลาใหญ่กินปลาเล็กคือเรื่องปกติมาก ตอนนี้ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ปล้นนางหายไปไหนแล้ว จะไม่ให้อับจนปัญหาได้อย่างไร? แต่การที่อีกฝ่ายปล้นโดนไม่ฆ่าก็นับว่าเป็นโชคดีของนางแล้ว เพราะศพที่ลอยเกลื่อนบนผิวทะเลสายที่ตลาดผีเป็นเรื่องปกติมาก
หลังจากหงุดหงิดในความอับจนปัญญา นางก็คว้าหน้ากากชายเคราหยิกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ แล้วดำน้ำจากไปอย่างรวดเร็ว
บนชั้นกลางของตึกศาลาสัตยพรต ชีเจวี๋ยเดินสาวเท้ามาเคาะประตูห้องเฉาหม่าน
“เถ้าแก่!” เขาเข้าประตูมาทำความเคารพ
เฉาหม่านกำลังนั่งพลิกอ่านแผ่นหยกอยู่หลังโต๊ะยาวตอบ “อืม”
ชีเจวี๋ยเดินเข้ามาใกล้หน้าโต๊ะยาว แล้วรายงานว่า “สืบรู้ประวัติคนที่จับตาดูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีช่วงนี้แล้ว เกรงว่าเถ้าแก่คงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเป็นใคร”
“อ้อ!” เฉาหม่านเงยหน้า แล้วถามอย่างสนใจ “อย่าบอกนะว่าเป็นคนของบรรดาตระกูลที่อาจจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ?”
“ไม่ใช่ขอรับ เป็นคนของแดนสุขาวดี” ชีเจวี๋ยส่ายหน้า
“แดนสุขาวดี?” เฉาหม่านตกตะลึงนิดหน่อย วางแผ่นหยกในมือลงแล้วถามว่า “ทำไมถึงเป็นคนของแดนสุขาวดีได้? คนของแดนสุขาวดีจะจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อทำไม?”
ชีเจวี๋ยตอบว่า “สาเหตุที่จับตาดูนั้นไม่ทราบแน่ชัด หลังจากพบว่ามี ‘คนกลุ่มหนึ่ง’ จับจ้องจวนแม่ทัพภาค ฝั่งพวกเราก็เฝ้าจับตาดูทันที ตอนหลังถึงได้พบว่าอีกฝ่ายมีการไปมาหาสู่กับทางวัดพระกษิติครรภ์ แค่เกี่ยวข้องกับแดนสุขาวดีก็เหลือเชื่อมากแล้ว ใครจะไปคาดคิดว่า หลังจากหาทางยืนยันแล้วถึงได้พบว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า และตามที่สายลับวัดพระกษิติครรภ์รายงานมา อุโบสถที่ใช้รับแขกผู้มีเกียรติของวัดพระกษิติครรภ์ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อเคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า คงจะมีบุคคลฐานะสูงส่งอะไรสักอย่างมาที่วัดพระกษิติครรภ์ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นตัวละครสำคัญของสำนักหลัวช่า”
“สำนักหลัวช่าจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” เฉาหม่านแปลกใจ แล้วลุกขึ้นยืน เดินอ้อมออกมาจากโต๊ะยาว แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด “หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับคนของสำนักหลัวช่าที่แดนสุขาวดี ไม่รู้ว่าท่านไหนของสำนักหลัวช่ามาที่นี่? คนที่เคยเจอกับหนิวโหย่วเต๋อทางนั้นคือเม่ยจีใช่มั้ย หรือว่าเม่ยจีจะมาแล้ว?”
“เข้าใกล้ไม่ได้ จึงไม่อาจยืนยัน หนิวโหย่วเต๋อน่าจะเคยพบแล้ว บางทีอาจจะถามหนิวโหย่วเต๋อได้ หรือไม่ก็สืบจากฝั่งแดนสุขาวดีสักหน่อย” ชีเจวี๋ยตอบ
“ยังไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีอะไรในกอไผ่ ถ้าบุ่มบ่ามถามหนิวโหย่วเต๋อจะไม่เหมาะสม ข้าขอให้ทางแดนสุขาวดีช่วยตรวจสอบก็แล้วกัน” เฉาหม่านพูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปหาใคร
ชีเจวี๋ยจ้องระฆังดาราในมือเขาแวบหนึ่งแล้วเก็บสายตากลับมา คนที่รับผิดชอบข่าวอยู่ทางแดนสุขาวดีนั้นไม่รู้ว่ามีอยู่กี่กลุ่ม ก็เหมือนกับคนที่รับผิดชอบอยู่ทางตำหนักสวรรค์ที่ไม่ได้มีแค่กลุ่มของเฉาหม่านกลุ่มเดียว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางรวมอำนาจไว้ในมือของคนคนเดียว การทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อตระกูลมากเกินไป และสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว เฉาหม่านก็นับว่ามีอำนาจค่อนข้างมาก รับผิดชอบอำนาจใต้ดินทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้ว นับว่าเปิดเผยตัวตนได้ครึ่งหนึ่ง
ส่วนฐานะของผู้รับผิดชอบคนอื่นๆ นั้นไม่อาจเปิดเผยได้ คาดว่านอกจากบุคคลที่สำคัญของที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ฐานะของคนพวกนั้น
และคนพวกนั้นก็ไม่ยอมรับการควบคุมจากเฉาหม่านเช่นกัน ดังนั้นชีเจวี๋ยจึงไม่รู้ชัดว่าเฉาหม่านกำลังติดต่อกับใครทางแดนสุขาวดี
สรุปก็คือ หลังจากติดต่อแล้ว เฉาหม่านก็กลับมานั่งอ่านแผ่นหยกหลังโต๊ะยาวอีกครั้ง โดยที่ชีเจวี๋ยอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ
รออยู่ไม่นานเท่าไรนัก เฉาหม่านก็หยิบระฆังดาราออกมารับข่าว หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ทางนั้นก็ยืนยันไม่ได้ว่าเม่ยจีออกมาหรือยัง บอกว่ากำลังเก็บตัวฝึกวิชา แต่คนที่มักติดตามเม่ยจีออกมาก็กำลังเก็บตัวฝึกวิชาเช่นกัน แบบนี้ไม่ค่อยปกติแล้ว สงสัยคนที่ซ่อนตัวอยู่ดพระกษิติครรภ์คงจะเป็นเม่ยจี หึหึ ผู้หญิงคนนี้จับตาดูหนิวโหย่วเต๋อซะแล้ว หมายความว่ายังไง?”
“ให้ทางแดนสุขาวดีตรวจสอบได้หรือไม่ว่าทำไมถึงจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยถาม
เฉาหม่านตอบว่า “ข้าเคยเอ่ยขอแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ใช่ว่าใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวแล้วจะสืบได้ ทางนั้นบอกมาว่า เม่ยจีเคยไปพบพุทธะหน้าหยก หลังจากกลับมาก็เริ่มเก็บตัวฝึกตน”
“หรือว่าได้รับความอับอายอะไรที่ดาวพิษ แล้วอยากจะมาคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยถาม
เฉาหม่านโบกมือ “แบบนั้นนับว่าเป็นความอับอายอะไรล่ะ ถูกอำนาจของตระกูลโค่วข่มเหงไม่นับว่าเสียเปรียบหรอก มีผู้ชายแบบไหนบ้างที่เม่ยจีไม่เคยนอนด้วย หนังหน้าด้านมาตั้งนานแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ถึงขั้นใจกว้างไม่ได้หรอก แต่ประเด็นสำคัญคือนาง ‘เก็บตัวฝึกวิชา’ หลังจากไปพบพุทธะหน้าหยก ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับคนระดับพุทธะหน้าหยกด้วย…ไม่รู้ว่านายท่านจะมีความเห็นอย่างไร” เขาพลิกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อเซี่ยโห้วท่า
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เฉาหม่านก็เก็บระฆังดาราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เถ้าแก่ เป็นอะไรไป?” ชีเจวี๋ยถามหยั่งเชิง
เฉาหม่านกล่าวเสียงต่ำ “นายท่านเตือนอะไรบางอย่างมา สาเหตุที่พระปีศาจหนานโปฆ่าล้างสำนักหนานอู๋ในปีนั้น การล้างแค้นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง แต่สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เหมือนสำนักหนานอู๋จะมีบางสิ่งที่สามารถสยบพระปีศาจหนานโปได้ มีข่าวแว่วมาว่าสำนักหนานอู๋เหมือนจะมีห้องซ่อนสมบัติอะไรสักอย่าง เพียงแต่พระปีศาจหนานโปหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตระกูลเซี่ยโห้วเครียดกับเรื่องนี้มาก ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพุทธะหน้าหยกอาจเป็นผู้รอดชีวิตจากสำนักหนานอู๋ ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับสำนักหลัวช่าที่แดนสุขาวดี ก็เกี่ยวข้องกับการขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวอะไรสักอย่าง ตอนนี้ก็เม่ยจีก็อาจจะได้รับคำสั่งจากพุทธะหน้าหยกให้มาจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ เมื่อนำเรื่องพวกนี้มาเชื่อมโยงกัน นายท่านสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสมบัติในสำนักหนานอู๋ตามข่าวลือในปีนั้น ให้พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์เอาไว้”
ชีเจวี๋ยจัดระเบียบความคิดครู่หรึ่ง แล้วถามอย่างฉงนใจ “ถ้าสำนักหนานอู๋มีของที่ใช้ควบคุมพระปีศาจหนานโปได้จริงๆ ก็น่าจะนำมาสู้กับพระปีศาจหนานโปตั้งแต่แรกแล้วสิขอรับ จะถึงขั้นถูกล้างสำนักเหรอ? เรื่องนี้มีจุดไหนที่ลือกันผิดพลาดหรือเปล่าขอรับ?”
เฉาหม่านพยักหน้า “เหมือนที่เจ้าบอก นายท่านก็รู้สึกว่ามีจุดที่ไม่สอดคล้องเช่นกัน เพียงแต่เรื่องที่สำนักหลัวช่ากำลังจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้ค่อนข้างแปลก ทำให้นายท่านต้องนึกเชื่อมโยงไปสักหน่อย ก็เป็นเพราะไม่มีทางยืนยันได้นี่แหละ นายท่านจึงทำได้เพียงให้พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์ไว้”
“บ่าวจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ขอรับ” ชีเจวี๋ยพยักหน้า
เฉาหม่านเอามือลูบคางหัวเราะ “น่าสนใจ! แม้แต่แดนพุทธก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว หนิวโหย่วเต๋อนี่ยิ่งนับวันก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น…”
“อ้าว! คุณชายชี ไม่ได้เจอท่านมานานแล้วนะ”
เมื่อเรือในอุโมงค์น้ำเทียบฝั่ง เหมียวอี้เดินออกจากห้องโดยสารเรือแล้วเห็นชีเจวี๋ยมาต้อนรับด้วยตนเอง ก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริงทันที
“บ่าวยุ่งอยู่กับงาน นายท่านหนิวให้เกียรติกันเกินไปแล้ว” ชีเจวี๋ยกุมหมัดคารวะตอบ แล้วหลีกทางยื่นมือเชิญ เขาชำเลืองมองสวีถังหรานที่ตามหลังมาแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีแต่เหยียนซิวที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนคนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะมองสองครั้ง
สวีถังหรานได้ติดตามเหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง ประกอบกับหน้าตาโดยธรรมชาติ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโจรอยู่หลายส่วน แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ตามธรรมเนียมเดิม บางสถานที่ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าไปได้ ทำได้เพียงรอคอย ยืนอยู่นอกทางเดินและมองส่งเหมียวอี้เดินจากไป
ในโถงรับแขก หลังจากเจ้าบ้านกับแขกนั่งลงและทักทายกันตามมารยาทแล้ว เฉาหม่านที่ยกถ้วยจิบน้ำชาเนิบๆ ก็เอียงหน้าบอกใบ้
ชีเจวี๋ยก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ผลักแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือสถานที่และเวลาปรากฏตัวของผู้ต้องหากลุ่มสุดท้ายขอรับ”
เหมียวอี้หยิบขึ้นมาอ่าน แล้วพูดเย้ยตัวเอง “ดูเหมือนวันดีๆ ของข้ากำลังจะจบสิ้นแล้ว”
“เหตุใดต้องกลัว นายท่านออกจะหน้าใหญ่” เฉาหม่านเป่าไอร้อนของน้ำชา แล้วกล่าวอย่างผ่อนคลายสบายใจ “ยกตัวอย่างเช่นสำนักหลัวช่าส่งคนจำนวนหนึ่งมาเฝ้าอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค ก็ไม่ใช่ว่ากำลังปกป้องนายท่านหรอกเหรอ?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย สำนักหลัวช่าจับตาดูตนแล้ว แต่ตนกลับไม่รู้ตัวสักหน่อยเลยเหรอ? คิดจะทำอะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่ากล้าทำซี้ซั้วที่ฝั่งตำหนักสวรรค์?
พอชำเลืองมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้แวบหนึ่ง เฉาหม่านก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้? นายท่านไปเจอกับเม่ยจีที่วัดพระกษิติครรภ์มาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้เหลือบตามอง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ เขาเคยเห็นท่าทีของจี้คงที่รักษาความลับอย่างเข้มงวดมาแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาบังพร้อมยิ้มเจื่อน “โลกนี้มีเรื่องอะไรบ้างที่ตึกศาลาสัตยพรตไม่รู้?”
เมื่อได้พิสูจน์การคาดเดาแล้ว เฉาหม่านก็ยิ้มบางๆ พบว่าเป็นเม่ยจีจริงๆ ด้วย
…………………………